บทที่ 145 : ทำลายตัวเอง
“เฮ้อ…”
วินเซนต์ผ่อนลมหายใจแรงเมื่อออกมาจากห้องสารภาพบาปแล้วใช้ ‘เนตรจันทรา’ มองไปยังทางเดินที่ทั้งแคบและยาว
ตัดสินจากปฏิกิริยาของวาเนสซาแล้ว เขาคงไม่ได้ความแตก…
อัครสาวกลำดับ 7 ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งนี้ไม่ได้อ่อนโยนอ่อนหวานอย่างที่เธอแสดงออก ส่วนหนึ่งของมันมาจากพลังของ ‘อาณาเขตแห่งความเงียบ’ ในขณะที่เหลือนั้นเป็นการแสดงละครที่แยบยลของเธอต่อลูกน้องและสาวก
การสรุปความของวินเซนต์นั้นไม่ได้ไร้พื้นฐาน กระทั่งภายในโบสถ์แห่งจุดสูงสุดนั้นก็ไม่ได้สิ้นเสียงซุบซิบ ดังนั้นวินเซนต์จึงเคยได้ยินเกี่ยวกับบุคลิกนิสัยของอัครสาวกลำดับ 7 ผู้นี้ก่อนที่เธอจะได้รับเลือกอีก
อัครสาวกแต่ละคนจะเตรียมผู้สืบทอดของตนเองเอาไว้ล่วงหน้า วาเนสซานั้นเคยเป็นผู้ช่วยและคนสนิทของอัครสาวกเดือนดับข้างแรมคนก่อนที่คอยช่วยเหลือเรื่องต่าง ๆ ในสังฆมณฑลที่ 7 แล้วเธอก็ย่อมต้องขึ้นรับตำแหน่งแทนในตอนที่อัครสาวกเดือนดับข้างแรมคนก่อนจากไป ดังนั้นนักบวชทั้งตัวจริงและฝึกหัดส่วนใหญ่ในสังฆมณฑลนี้จึงรู้จักเธอ…
นิสัยของวาเนสซานั้นพูดได้ว่าหยาบกระด้าง โดยพื้นฐานแล้วเธอเป็นคนประเภทที่จะเอาคืนเสมอแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนด้วยความอดทนที่ไม่มีอยู่เลยและการลงมือที่รวดเร็วและเด็ดขาด
หากวาเนสซาค้นพบความคิดและความเคลือบแคลงที่น่าขยะแขยงของวินเซนต์เข้า เธอคงจะให้ลูกน้องของผนึกห้องสารภาพบาปแล้วเรียกเหล่านักเทศน์ของโบสถ์มาปิดปากเขาเพื่อไม่ให้ข่าวที่แก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์มีปัญหารั่วไหลออกไปแล้ว…
แล้วตอนนี้วาเนสซาก็ไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นเลย เธอกลับปลอบโยนวินเซนต์และขอให้เขาใช้แก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์มากกว่านี้แทน นี่หมายความว่าเธอยังไม่ได้สังเกตเห็นความรู้สึกเล็ก ๆ ของวินเซนต์และถูกหลอกให้คิดว่าตัวเขามารายงานด้วยความกลัวสำเร็จแล้ว
แต่ในเวลาเดียวกัน นี่ย่อมหมายความว่ามันมีปัญหากับแก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ มันต้องมีคนอื่นอีกสักสองสามคนที่มีคำถามเดียวกันกับเขาและพฤติกรรมของวาเนสซาก็ถูกจัดเตรียมมาก่อนเป็นอย่างดีแล้ว
ในขณะที่เธอกำลังตอบวินเซนต์ เธอก็ใช้ ‘อาณาเขตแห่งความเงียบ’ เพื่อพยายามทำให้วินเซนต์ ‘เชื่อฟัง’ ด้วย
แต่เธอก็ไม่รู้เลยว่าเมื่อพลังของตัวเองเข้ามาแตะต้องวินเซนต์ บาทหลวงนั้นชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง แต่จากนั้นก็สัมผัสได้ว่าคัมภีร์ตะวันในอ้อมแขนของเขาได้ดูดซับคลื่นอีเธอร์จากวาเนสซาเข้าไปและทำให้เขาฟื้นสติ
หัวใจของวินเซนต์ดิ่งวูบ
ดูเหมือนว่าเจ้าของร้านหนังสือจะพูดถูก บางทีพวกเขาอาจจะหลอกเรามานานเกินไปแล้ว…แต่ทว่าวินเซนต์ก็ยังไม่สามารถตัดขาดจากอดีตได้และยังคงดิ้นรนจะหาข้ออ้างให้กับความศรัทธาชั่วชีวิตของเขาที่พังทลายลง
หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ เขาควรบอกความจริงกับทุกคนไหม? เขามีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้เหรอ? และเขาจะมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรับผลกระทบที่ตามมาหรือเปล่า?
วินเซนต์สับสนและไม่รู้ว่าต้องทำอะไรต่อ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะอยู่ในห้องพักนักบวชที่ส่วนปีกวิหารเพื่อครุ่นคิดถึงมัน
ในค่ำคืนนี้ เขากระสับกระส่ายด้วยความกังวล ก่อนที่ในที่สุดจะผล็อยหลับไปเพราะความเหนื่อยอ่อน
ในห้วงนิทราของเขา วินเซนต์เหมือนจะจำได้ลาง ๆ ว่าตัวเองเหยียบเข้าไปในความฝันที่งดงามอย่างน่าประหลาด
ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ดูราวกำมะหยี่นั้นสะท้อนอยู่บนผิวน้ำใต้เท้าของวินเซนต์ และตรงหน้าเขาก็มีเด็กสาวไร้หน้าผู้หนึ่งในชุดเดรสสีดำยืนอยู่พร้อมกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ขนาดเล็กจิ๋วที่ลอยอยู่เหนือมือของเธอ
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เด็กสาวคนนี้ดูคุ้นตาราวกับเขาเคยเห็นเธอมาก่อนที่ไหนสักที่…
ทว่าความสนใจของวินเซนต์นั้นถูกดึงไปที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ขนาดจิ๋ว
ดวงอาทิตย์นั้นดูราวกับลูกบอลไฟที่เจิดจ้าอันเปี่ยมด้วยพลังอันเดือดปะทุและพลุ่งพล่านจนชวนอึดอัด
ในทางกลับกัน ดวงจันทร์นั้นสงบและเยือกเย็น แผ่รัศมีจาง ๆ ที่ทำให้ดวงวิญญาณสงบ
ที่สำคัญที่สุด พวกมันต่างมีพลังชีวิตของมันเองซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง…
มันต่างกับพลังศักดิ์สิทธิ์ของดวงจันทร์สีซีดนิ่งงันที่วินเซนต์มักจะสัมผัสไปไกลโข!
มันคงไม่เป็นไรหากไม่มีการเปรียบเทียบเกิดขึ้น แต่เมื่อมันมีขึ้นมา อำนาจศักดิ์สิทธิ์ของดวงจันทร์ที่วินเซนต์เคยสัมผัสนั้นค่อนข้างเย็นและชื้น ราวกับว่าเขาถูกมอสปกคลุมซึ่งเป็นความรู้สึกที่น่ารังเกียจ
“ผู้ถูกเลือกเอ๋ย ในที่สุดเจ้าก็มา” เด็กสาวเอื้อนเอ่ย
วินเซนต์ตะลึงไปเล็กน้อย ฉากนี้ดูวิเศษอยู่แล้ว แต่คำว่า ‘ผู้ถูกเลือก’ นั้นกระแทกเข้าใส่บาทหลวงผู้นี้ราวกับถูกค้อนทุบ
สิ่งเดียวที่วินเซนต์สามารถมองได้ว่าตัวเองเป็นผู้ถูกเลือกก็คือการที่เขาได้รับคัมภีร์ตะวันมาจากเจ้าของร้านหนังสือ
วินเซนต์ไม่รู้ว่าตัวเองคิดไปเองหรือเปล่า แต่กิริยาท่าทางของเด็กสาวนั้นดูแข็ง ๆ เล็กน้อยเหมือนเธอเพิ่งจะได้เรียนบทพูดนั้นมาและยังไม่คล่องนัก
ทว่าวินเซนต์ไม่อาจให้ความสนใจกับรายละเอียดปลีกย่อยเหล่านี้ได้อีกต่อไป
“คุณเป็นใคร? เราอยู่ที่ไหน? คุณพยายามจะทำอะไร?” วินเซนต์อุทานอย่างลนลานเล็กน้อย
เด็กสาวตอบ “เจ้ามิจำเป็นต้องรู้นามข้าในตอนนี้ นี่คือแดนนิมิตแห่งข้า เขตแดนแห่งข้า ข้าดึงเจ้าเข้ามาในนี้เพราะเรามีศัตรูเดียวกัน…ใช้หัวใจของเจ้า แล้วเจ้าจักรู้คำตอบ”
ศัตรูเดียวกัน งั้นก็มีได้แค่…ดวงจันทร์!
มีดวงจันทร์อยู่สองดวง ดวงที่โบสถ์แห่งจุดสูงสุดศรัทธา และดวงที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ ดวงหนึ่งเป็นของจริง และอีกหนึ่งเป็นของปลอม
หรือเด็กสาวคนนี้จะเป็นเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ตัวจริง?!
กึ๋นและสัญชาตญาณของวินเซนต์บอกเขาเช่นนั้น ดวงตาของเขาถูกดึงไปที่ดวงอาทิตย์ในมือของเด็กสาวในขณะที่เขาเริ่มถูกความปรารถนาที่รุนแรงครอบงำ
เราอยาก…เราอยากได้มัน…เอามันมาให้เรา!
มือของวินเซนต์เอื้อมออกไปแล้วในขณะที่ความคิดเหล่านี้เข้ามาในใจ นิ้วของเขาแตะที่ดวงอาทิตย์ สัมผัสเข้ากับความร้อนที่แผดเผาก่อนที่เขาจะค่อย ๆ วางฝ่ามือทั้งฝ่ามือลงไปบนนั้น
สายตาของเด็กสาวยังคงนิ่งสงบในขณะที่เธอย้ำเตือนวินเซนต์ “อย่าลืมเสียเล่า หันกลับมิได้แล้วนะ”
เขาเข้าใจว่านี่เป็นอะไรที่อันตรายมาก แต่…เขาคุมตัวเองไม่ได้เลย! ร่างกายของเขานั้นถูกบังคับให้คว้าดวงอาทิตย์มา
ตู้ม!
ความร้อนแผดเผาแผ่จากปลายนิ้วของเขาไปยังทุกส่วนของร่างกาย แล้วระเบิดออกพร้อมด้วยความอบอุ่น และแสงสีขาวอันเจิดจ้าในคลองจักษุของเขาก็ขยายขึ้นทุกทีจนมันกลืนกินทุกสิ่งไป
วินเซนต์รู้สึกราวกับว่าตนเองได้กลายเป็นดวงอาทิตย์ที่เปล่งแสงและความร้อนออกมาไม่รู้จบ
—
ไฮมานลอบตามวินเซนต์อย่างลับ ๆ และเข้ามาในห้องของเขาในที่พักนักบวช เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน ตนเองจึงซ่อนตัวอยู่สักพักเพื่อรอให้วินเซนต์หลับไป แล้วตอนนั้นเขาจึงปรากฏขึ้นแล้วชักมีดสั้นอาบยาพิษออกมาจากในแขนเสื้อ
เขาซ่อนตัวเองไว้ ย่องไปยังบาทหลวงที่หลับปุ๋ยอย่างเงียบเชียบ แล้วจากนั้นก็ยกมีดขึ้นด้วยแววตาเย็นชามาดร้าย
เพื่อพระคุณเจ้า เพื่อโบสถ์ และเพื่อดวงจันทร์อันยิ่งใหญ่!
นี่คือสิ่งที่ไฮมานบอกตัวเองทุกครั้งที่เขาลงมือ
แต่ครั้งนี้ ในตอนที่เขากำลังจะปักมีดลงไปนั้นเอง คัมภีร์ตะวันในอ้อมแขนของวินเซนต์พลันระเบิดออกเป็นเปลวเพลิง!
ไฮมานไม่มีเวลาตั้งตัวเมื่อพลังศักดิ์สิทธิ์ของดวงจันทร์ทั่วร่างของเขาพลันถูกจุดไฟ เปลี่ยนเป็นความร้อนอันเกินจินตนาการ แผดเผาเลือดเนื้อของตัวเองไปพร้อมกับเสื้อผ้า
ตู้ม!
“อ๊ากกกกก!!!”
มีดของเขาหล่นลงพื้นดังเคร้งในขณะที่เขากรีดร้องอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส เขานั้นเป็นราวกับคบเพลิงที่มีเปลวเพลิงอันบิดเบี้ยวลุกโชนขึ้นมา ทำให้เขาดูราวกับผู้มาเยือนจากขุมนรก
—
วินเซนต์สะดุ้งตื่นขึ้นแล้วลืมตา สิ่งแรกที่เขาได้เห็นคือศพที่ไหม้เกรียมศพหนึ่งตามด้วยทะเลเพลิงแดงฉานรอบตัวเขา
ครืน!!
เพดานเริ่มถล่มในขณะที่วินเซนต์กระโจนออกมาจากเตียง เมื่อเขาก็เห็นเศษชุดไหม้ ๆ ที่เหลืออยู่ก็จำได้ว่ามันมาจากบริวารที่รออยู่นอกประตูห้องของอัครสาวกเดือนดับข้างแรม
“เราถูกโจมตี!! เราถูกโจมตี!!”
เสียงตะโกนดังลั่นมาจากข้างนอก ตามมาด้วยเสียงสาวเท้าอย่างเร่งรีบที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ