บทที่ 148 : บาทหลวงเฒ่า
วินเซนต์โตมาในโบสถ์แห่งจุดสูงสุด ชีวิตสมัยเด็กของเขาถูกใช้ไปในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่โบสถ์อุปถัมภ์ และเหมือนกับเพื่อน ๆ ของเขาหลายคน เขาก็กลายมาเป็นสมาชิกสมณเพศที่รับใช้โบสถ์ด้วยเช่นกัน
ในช่วงวัยรุ่น หลังจากที่เขาได้เข้าพิธีชำระบาปและกลายเป็นบาทหลวงเต็มตัวแล้ว วินเซนต์ก็ได้ทำงานที่วิหารแห่งกุศลกรรม คอยช่วยเหลือผู้ยากไร้และใช้ชีวิตที่เรียบง่ายกับบาทหลวงเฒ่า
ชื่อของบาทหลวงเฒ่าคือเทอร์เรนซ์ เขาเป็นชายธรรมดาผู้ยิ่งใหญ่ในสายตาของวินเซนต์เพราะความเอื้อเฟื้อช่วยรักษาพยาบาลผู้ยากไร้
แม้ว่าระดับมาตรฐานของศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ที่เทอร์เรนซ์ใช้ได้จะนับว่าเป็นหางแถวของระดับผิดปกติก็ตาม แต่ทักษะด้านการรักษาพยาบาลของเขานั้นหาตัวจับยากมาก…
วิหารแห่งกุศลกรรมนั้นเป็นสิ่งปลูกสร้างจากไม้ที่ไม่ค่อยได้เห็นในหมู่วิหารเพราะความขัดสนของพวกเขา มันเป็นเพียงกระท่อมไม้ธรรมดา ๆ ที่ประสบปัญหาหลังคารั่วและถูกตัวมอธแทะ สถานที่นี้ซอมซ่อพอ ๆ กับที่เห็นและคุณภาพการใช้ชีวิตที่นี่นั้นบางทียังแย่เสียกว่าคุณภาพชีวิตของผู้ยากไร้ที่เข้ามาใช้บริการอีก
ทว่าเทอร์เรนซ์ไม่ยอมให้เรื่องนี้ทำให้เขาหมดไฟ บ่อยครั้งเขามักจะปรารภให้กับสมาชิกสมณเพศที่รับใช้เขาอยู่ประมาณว่า ‘มันเป็นความรับผิดชอบของเราที่จะคอยช่วยเหลือผู้อื่น’ และ ‘เมื่อดวงจันทร์เฝ้ามองเราอยู่ คำขอบคุณนั้นเป็นรางวัลที่ดีที่สุดแล้ว’
ในขณะที่คำพูดเหล่านี้อาจจะทำให้คนบางคนรู้สึกกระชุ่มกระชวยในทีแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไป สมาชิกส่วนใหญ่ก็จะอดทนต่อสภาพความเป็นอยู่อันแร้นแค้นนี้ไม่ไหวแล้วเลือกที่จะขอย้ายไปที่วิหารอื่นแทน…
แม้แต่วินเซนต์ที่อยู่กับบาทหลวงเฒ่ามานานที่สุดยังทำเช่นนั้นเช่นกัน ทว่าเขามีความสามารถที่จะออกไปแล้วประสาทพรให้กับสาวกที่มากยิ่งขึ้นไปอีกด้วย
บาทหลวงเฒ่านั้นมีบทบาทสำคัญมากในชีวิตสมัยเด็กของวินเซนต์ ดังนั้น ในตอนที่วินเซนต์ปฏิบัติภารกิจนักบวชของเขา เขาจึงพยายามอย่างสุดความสามารถ ต่างจากเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ของเขาที่มักหลีกหนีหน้าที่ ดังนั้นวินเซนต์จึงเป็นที่รักของเหล่าผู้ศรัทธาและได้รับชื่อเสียงพอตัวในสังฆมณฑลที่ 7
ถ้าจะมีที่ไหนในโลกนี้ที่วินเซนต์จะรู้สึกผ่อนคลายได้อย่างเต็มที่ ก็คงจะเป็นวิหารแห่งกุศลกรรมอันเล็กจ้อยนี้นี่แหละ…
บางทีบาทหลวงเฒ่าเทอร์เรนซ์อาจจะไม่เชื่อวินเซนต์ก็ได้ แต่เขาจะต้องปกป้องวินเซนต์อย่างแน่นอน
เราจะซ่อนที่นี่คืนหนึ่งแล้วออกไปทันที ไม่สิ แค่พอให้ตัวเราหายดีพอที่จะเคลื่อนไหวอย่างอิสระได้ก็พอ เราต้องไม่ก่อเรื่องให้คุณพ่อเทอร์เรนซ์ แต่เราก็ยังต้องบอกเขาเรื่องแก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้ระวังตัวไว้อยู่ดี เขาจะได้ไม่ถูกควบคุม…
วินเซนต์หอบหายใจขณะเอนตัวพิงประตู เสียงตะโกนและเสียงเคาะประตูอย่างเร่งรีบดังมาไกล ๆ เมื่อผู้คนตื่นขึ้นแล้วแสงจากในบ้านหลังต่าง ๆ พากันเปิดขึ้น
หัวใจของวินเซนต์ดิ่งวูบ ในฐานะของบาทหลวงคนหนึ่ง เขารู้ว่ามันเป็นคำสั่งที่ออกมาเพื่อจัดการกับบุคคลนอกรีต สังฆมณฑลถูกปิดผนึก และผู้คนจะได้รับการแจ้งข่าว
เสียงเหล่านี้ดังมาจากที่ไกลเป็นไมล์ แต่สำหรับวินเซนต์แล้ว เสียงเหล่านี้ฟังราวกับว่ามาจากข้าง ๆ เขา
วินเซนต์เข้าใจว่าร่างกายของตัวเองเปลี่ยนไปอย่างไร้เค้าเดิมแล้วในตอนนี้ ในขณะที่สัมผัสดวงตาที่ยังแผดเผาด้วยความเจ็บปวดของเขา
แม้ว่าการมองเห็นของเขาจะมืดดำ แต่เขาก็ยังบอกได้ว่ามีแสงสว่างถูกเปิดขึ้น
ไม่มีใครเข้าใจอำนาจของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดได้เท่าเขา…และตอนนี้ เขาก็กำลังต่อสู้กับยักษ์ใหญ่นั้นอยู่
เสียงโซ่ถูกปลดดังออกมาจากด้านในประตู แม้ว่าสลัมจะย่ำแย่เสียจนไม่มีอะไรในวิหารที่มีค่าน่าขโมยก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังต้องล็อกมันไว้ให้ดีอยู่ดี
แอ๊ด…
ประตูเปิดออกแล้วเทอร์เรนซ์ก็ออกมาในขณะที่สวมชุดนักบวชโทรม ๆ ของเขาอย่างลวก ๆ เขาสะดุ้งเมื่อเห็นร่างดำ ๆ ที่ล้มอยู่ที่ประตู
“ใคร…วินเซนต์เหรอ?!”
บาทหลวงเฒ่าจำเด็กที่เขาเคยชี้นำได้ แล้วเขาก็สังเกตเห็นเลือด บาทแผลและรูโบ๋สองรูในจุดที่ดวงตาควรจะอยู่
“วินเซนต์ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากัน?!”
“เจ้าไปพบสัตว์มายา วิญญาณร้าย หรือปัดรังควานล้มเหลวกัน? หรือเจ้าไปเจอบุคคลนอกรีตที่ทำให้ทั้งสังฆมณฑลต้องถูกปิดผนึกมาเรอะ?!”
บาทหลวงเฒ่าประคองวินเซนต์ให้ลุกขึ้นแล้วพาเขาเข้ามาในวิหาร แล้ววางให้เขานอนลงบนม้านั่งยาว
บาทหลวงเฒ่ามีประสบการณ์โชกโชนด้านการรักษาพยาบาล เขานำกล่องปฐมพยาบาลออกมาจัดการกับบาดแผลของวินเซนต์ทันที ประสานการรักษาเข้ากับพลังศักดิ์สิทธิ์เล็กน้อย
แต่ไม่นานจากนั้นนัก เขาก็ตระหนักได้ว่าบางอย่างผิดแปลกไป
บาดแผลบนร่างของวินเซนต์นั้นประสานตัวอย่างรวดเร็วเสียจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พลังศักดิ์สิทธิ์นั้นทำเพียงเร่งการทำงานนี้ขึ้นเล็กน้อยในขณะที่กระดูกและเลือดเนื้องอกออกมาใหม่ ทอประสานเข้าด้วยกันแล้วก่อเกิดเป็นผลลัพธ์ที่น่าตกตะลึงแก่สายตา
ทว่าแผลที่ไหม้เกรียมนั้นกลับล่อนเป็นเกล็ดแข็ง ๆ เหมือนกับพื้นดินที่แตกระแหง แล้วแสงจาง ๆ สีแดงปนทองก็เรืองออกมาจากทุกรอยร้าว เรืองขึ้นแล้วดับลงเป็นวงจรอย่างช้า ๆ
มันดูราวกับทุกอวัยวะในร่างกายของเขามีชีวิตขึ้นมา และกำลังหายใจอย่างสม่ำเสมอ…
เทอร์เรนซ์ผงะถอยหลังไปแล้วชนเข้ากับกล่องปฐมพยาบาลจนล้มกลิ้ง “วินเซนต์ ลูกเอ๋ย มะ…มันเกิดอะไรขึ้น?”
ไม่ใช่อะไรที่สาวกแห่งดวงจันทร์ควรจะเป็นอย่างแน่นอนที่สุด ดวงจันทร์นั้นมืด สงบและลึกลับอยู่เสมอ มันไม่มีทางมีการแสดงออกอันครึกโครมแบบนี้แน่!
เขาระลึกถึงเสียงตะโกนจากด้านนอกเกี่ยวกับบุคคลนอกรีตที่กำลังหลบหนีเมื่อไม่นานมานี้ แล้วการคาดเดาที่ไม่น่าเชื่อก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา
วิหารหลังน้อยตกสู่ความเงียบ ด้านนอก ผู้คนได้เริ่มรวมตัวกันแล้ว และบางคนก็กำลังเคาะประตูวิหาร
ก่อนหน้านี้เทอร์เรนซ์ปลดล็อกประตูแล้ว ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็แค่พูดเพียงคำเดียว แล้วคนข้างนอกก็จะเริ่มหลั่งไหลกันเข้ามา
ในความเงียบนี้ วินเซนต์สัมผัสสายตาของบาทหลวงเฒ่าได้ บางทีมันอาจจะเป็นความกลัว หรือบางทีมันอาจจะเป็นความผิดหวัง…
เขาอ้าปาก แต่คอของเขาก็แห้งผากและกลัวขึ้นมากะทันหันที่จะพูดความจริง
บาทหลวงเฒ่าอุทิศทั้งชีวิตของเขาในการทำความดีเพราะความศรัทธาอันมั่นคงของเขา เขาเชื่ออย่างหนักแน่นว่าดวงจันทร์จะนำพาความสงบสุขและความกลมเกลียวมายังผู้คน เขาตั้งมั่นที่จะเผยแพร่คำสอนของดวงจันทร์ให้คนทั่วไปศรัทธาเลื่อมใสกันมากขึ้น และให้ดวงจันทร์ชำระล้างบาปภายในของพวกเขาเพื่อที่…โลกจะเป็นที่ที่ดีกว่านี้ได้
หากบาทหลวงเฒ่าเชื่อสิ่งที่วินเซนต์พูด มันจะลบล้างความหมายของทุกสิ่งที่เขาเคยทำมาตลอด
“ผมขอโทษครับ…”
วินเซนต์ลงมาจากม้านั่งแล้วคุกเข่าลงตรงหน้าบาทหลวงเฒ่า ค้อมศีรษะของเขาลงแล้วพูดปนสะอื้น “ผมทำให้ท่านผิดหวังและทรยศต่อดวงจันทร์ ผู้นอกรีตทุศีลที่โบสถ์กำลังต้องการตัวอยู่…คือผมเองครับ”
เทอร์เรนซ์แทบลมจับ ด้วยสายตาจับจ้องอันสั่นเทา โกรธและท้อใจ เขาสูดหายใจลึก ๆ สองสามครั้งแล้วตบเข่าที่บ่าของวินเซนต์
“เจ้าคิดจะให้ข้ากลบเกลื่อนความผิดให้อย่างที่ข้าช่วยให้เจ้าเล่นซนได้ในอดีตหรือไง?!”
“ข้าคือสาวกแห่งดวงจันทร์นะ!”
วินเซนต์ก้มหัวลงต่ำลงกว่าเดิม เปิดทางให้บาทหลวงเฒ่าผลักเขาได้แรงขึ้น
“จำไว้นะ! นี่…นี่เป็นครั้งสุดท้าย”
เทอร์เรนซ์กระชากคอเสื้อของวินเซนต์อย่างโกรธเคือง ดูเหมือนเขาจะแก่ลงไปอีกสิบปีในพริบตา เมื่อมองไปที่เบ้าตากลวงโบ๋ของวินเซนต์แล้ว เทอร์เรนซ์ก็ผลักเขาไปทางห้องภาวนาอย่างขุ่นเคือง
“เข้าไปซ่อนในนั้นซะ!”
“ถ้าเจ้าถูกเจอ ข้าจะให้เขาจับเจ้าไปทันทีเลยนะ!”
วินเซนต์รู้อยู่นานแล้วว่าบาทหลวงเฒ่าจะช่วยเขาแน่ แต่ตัวเองก็ไม่สามารถรู้สึกยินดีได้ เขาหันกลับมาแล้วพูดว่า “ผมจะไปในเร็ว ๆ นี้แหละครับ แต่มีบางอย่างที่ผมต้องบอกท่านก่อน…”
ชิ้ง!
มีแสงสีดำวาบขึ้นวาบหนึ่ง แล้วสีเลือดก็ปกคลุมในคลองจักษุของวินเซนต์
สายตาของวินเซนต์นิ่งค้างไปครู่หนึ่งเมื่อเลือดสาดกระเซ็นบนใบหน้าของเขา กลุ่มลมร้อนลอยออกมาจากแผลที่เปิดอยู่บนอกของเขา
อัครสาวกเดือนเสี้ยวข้างแรมบัคลอยอยู่กลางอากาศ หน้ากากสีดำปกปิดใบหน้าของเขา เปิดเผยเพียงดวงตาที่เย็นชาราวน้ำแข็ง ด้วยเคียวยักษ์สีนิลที่หนาหนักในมือเขา ส่งให้เขาดูราวกับยมทูตที่มารับวิญญาณในขณะที่สายโซ่พลันผนึกห้องทั้งห้องเอาไว้
ศีรษะของบาทหลวงเฒ่ากลิ้งไปที่มุมห้อง หยาดน้ำตายังคงเด่นชัดอยู่ในดวงตาแสนเศร้าที่ไร้แววของเขา