บทที่ 158 : ดวงจันทร์ดับแสงลงเพื่อคุณ
ผู้อยู่ในระดับภัยพิบัติกลายเป็นผงไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา!
ไม่มีการต่อสู้สะท้านฟ้าสะเทือนดิน ไม่มีเสียงอึกทึก และเหนือสิ่งอื่นใด ไม่มีอะไรไร้สาระที่ไม่จำเป็น…
หนึ่งชั่วโมงแห่งความเงียบอันไร้วาจาหลังจากนั้น…
บัค อัครสาวกเดือนเสี้ยวข้างแรม หัวหน้าสำนักงานสืบสวนผู้อยู่ในระดับภัยพิบัติและเป็นที่รู้จักในนาม ‘อาณาจักรคนตาย’ หนึ่งในขุมพลังสูงสุดของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดได้พบจุดจบของเขาอย่างกะทันหันไปทั้งอย่างนั้น
เขานับได้ว่าเป็นผู้อยู่ชั้นบนสุดของพีระมิดพลังในนอร์ซิน แต่เขากลับตายไปท่ามกลางสายตาที่จับจ้องของคนมากมายอย่างง่ายดายราวกับเป็นแค่ลิ่วล้อที่ไม่สลักสำคัญ
การระเบิดใหญ่สองครั้งที่สังหารอัครสาวกสองคนติด ๆ กันนั้นอาจน่าตกใจสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่มันก็ยังอยู่ในกฎเกณฑ์ของหลักเหตุผล
เพราะถึงอย่างไรมันก็มีการรบกวนอย่างใหญ่หลวง และทุกผู้มีพลังเหนือธรรมชาติต่างก็สามารถมองเห็นได้ด้วยตนเอง…
ไม่ว่าใครก็สามารถสัมผัสได้ว่าการระเบิดสองครั้งนั้นรุนแรงเพียงใด และสามารถมองเห็นความเสียหายที่ทำให้วิหารประจำสังฆมณฑลที่ 7 ราบเป็นหน้ากลองได้อย่างชัดเจน อย่างมากพวกผู้มีพลังเหนือธรรมชาติก็สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมอัครสาวกจึงไม่อาจต้านทานมันได้
เพราะถึงอย่างไร ต่อให้แสนยานุภาพการต่อสู้ของพวกเขาจะถูกเสริมขึ้นอีกหลายเท่า การเผชิญการโจมตีระดับนี้นั้นก็มีแต่ต้องจบด้วยความตายทั้งสิ้น
ความช็อกระดับนี้เป็นการเข้าใจที่ชัดเจนที่สุดถึงความต่างระหว่างพวกตนและอำนาจยิ่งใหญ่เช่นนั้น
ทว่าในสถานการณ์นี้กลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดเลย และความกลัวต่อสิ่งที่ไม่รู้จักนั้นก็น่ากลัวอย่างแท้จริง!
ต่อหน้าต่อตาทุกผู้คน ไร้ซึ่งการกระเพื่อมของอีเธอร์หรือสัญญาณบ่งชี้ ผู้มีระดับภัยพิบัติคนหนึ่งได้ตายลงโดยไม่สามารถขัดขืนอะไรได้แม้แต่น้อย
นี่หมายความว่าศัตรูบดขยี้เขาอย่างไร้ทางสู้กลับ!
การบดขยี้ผู้มีระดับภัยพิบัติ…ไม่สิ การฟื้นคืนชีพของบัคนั้นเท่ากับการหนุนหลังของพระสังฆราชร็อดนีย์ที่คงจะประสาทพรให้บัคด้วยพลังของเขาเพิ่มขึ้นอีก
มันไม่ใช่การพูดเกินไปถ้าจะพูดว่าเขาเข้าสู่ระดับเหนือนภาไปครึ่งก้าวแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น บัคก็ตายลงที่นี่ เขาผ่านประตูร้านหนังสือเข้าไปไม่ได้ด้วยซ้ำ นี่น่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว!
ผลก็คือ เหล่าคนมุงต่างสั่นสะท้านด้วยความกลัว แล้วพวกเขาก็วงแตกราวกับสัตว์ที่หนีจากไฟป่า ทั้งยังปรารถนาอยากได้ขาเพิ่ม หรือกระทั่งติดปีกเพิ่ม
หากพวกเขาหนีช้าเกินไป ก็ไม่มีอะไรบอกได้ว่าพวกเขาจะไม่จบแบบเดียวกับบัค!
ในขณะนั้น คล็อดที่พาคนของเขามาถึงอย่างเร่งรีบก็หยุดลงกับที่แล้วมองเหล่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติแตกตื่นวิ่งหนีรักษาชีวิต…
เขาสั่งคนของตัวเองให้จับมาสักสองสามคนพร้อมถอนหายใจอย่างขุ่นเคือง
พวกผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเหล่านี้ง่วนกับการหนีเสียจนพวกเขาไม่เคยนึกฝันว่าจู่ ๆ กลุ่มคนจากหอพิธีกรรมต้องห้ามจะโผล่มาในเวลาแบบนี้ พวกเขาไม่สามารถจัดการกับมันด้วยความตระหนกได้ และพวกเขาจึงถูกล็อกตัวพามาตรงหน้าคล็อดได้อย่างรวดเร็ว
คนสองสามคนที่ถูกจับมาได้นั้นรู้จักชายหนุ่มผมบลอนด์ตรงหน้าเขาดี และบางคนมีสีหน้าขุ่นเคือง นึกสงสัยว่าใครไปปูดเรื่องของพวกเขา
คนอื่น ๆ ต่างกระวนกระวายอยากจะหนี แล้วขอร้องคนที่จับพวกเขามาให้ปล่อยพวกเขาด้วยสายตาเว้าวอน…
คล็อดไม่มีความประทับใจใดต่อพวกนักล่าค่าหัวที่หากินกับเงินรางวัลนำจับและหวังให้โลกตกอยู่ในความวุ่นวายพวกนี้เลย
เขาสอบปากคำหารายละเอียดจากพวกเขาด้วยสีหน้าเฉยเมย ทว่าหัวใจของตัวเองก็ดิ่งวูบเมื่อรับรู้ว่าบัคตายไปแล้ว
เขามาช้าเกินไปก้าวหนึ่งอีกแล้ว!
แต่เมื่อได้รับรู้ว่าบัคนั้นตายไปอย่างเงียบงันราวกับใบไม้ร่วงที่ถูกสายลมพัดพา ก็ถอนหายใจโล่งอกออกมาอย่างไม่รู้ตัว
คล็อดอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบ ๆ แล้วสังเกตเห็นว่าบ้านเรือนรอบข้างไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ทั้งสิ้น
เจ้าของร้านหลินรักษาคำพูดจริง ๆ เขาไม่ได้ก่อเรื่องวุ่นวายอะไรจริง ๆ และไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนบนสิ่งก่อสร้างใกล้เคียงเลยด้วย…
เทียบกับฉากที่ราวกับมหันตภัยในครั้งก่อนแล้ว วิชาที่ใช้ในครั้งนี้นั้นอ่อนโยนราวกับสายฝนยามฤดูใบไม้ผลิ
ทว่า…จากลักษณะการตายของบัคแล้ว มันดูเหมือนว่าเจ้าของร้านหลินไม่จำเป็นต้องทำเรื่องใหญ่อะไรเลยเพื่อจัดการกับระดับภัยพิบัติสักคนหนึ่ง
นี่ไม่ใช่แม้แต่คู่ต่อสู้ในระดับเดียวกัน
แค่ว่า…
ในตอนที่คล็อดเข้าไปใกล้ร้านหนังสือ ก็พบว่าหน้าต่างของร้านปิดสนิทและไฟก็ดับลงแล้ว อาคารใกล้ ๆ ก็อยู่ในสภาพเดียวกัน แปลว่าผู้อาศัยข้างในนั้นกำลังหลับอยู่
ดูเหมือนว่าเจ้าของร้านหลินจะถูกกวนตอนกำลังนอนแล้วอารมณ์เสียเพราะถูกปลุก
ดังนั้น เขาเลยทำเพียงบดขยี้บุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดโดยไม่แม้แต่จะพูดสักคำ และในขณะเดียวกันก็ไล่พวกมดแมลงที่ล้อมอยู่ออกไป
เราว่าเราก็อย่าไปกวนเขาเลย เราทำแค่กลับมาอีกทีตอนกลางวันในตอนที่ร้านหนังสือเปิดทำการแล้วก็พอ
คล็อดเหลือบมองร้านหนังสือแล้วคิดว่าตัวเองควรทำตามอย่างที่คิด
แม้ว่าตอนนี้เขาจะยืนอยู่ข้างร้านหนังสือแล้วก็ตาม แต่เจ้าของร้านหนังสือนั้นก็เป็นคนที่โทรเรียกเขามา
แต่ไม่มีอะไรการันตีได้ว่าคล็อดจะสามารถรับมือกับอาการหงุดหงิดในตอนเช้าของเจ้าของร้านหนังสือได้ และแน่นอนว่าเขาก็ไม่อยากจะรับมือมันด้วย…
เรื่องราวคงไม่ถึงขนาดที่จะถึงชีวิตได้หรอก แต่บางทีการมาเยือนในตอนนี้ก็คงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก
บังเอิญด้วยว่าเราสามารถจับพวกที่มารวมตัวกันที่นี่ได้สองสามคน เราเห็นด้วยว่ามีพวกอาชญากรที่ถูกประกาศจับบางคนที่คงพยายามจะทำตัวกลมกลืนเข้ามาเพื่อฉวยโอกาสจากสถานการณ์อยู่…เรื่องพวกนี้คงนับเป็นความสำเร็จได้ด้วยล่ะมั้ง
คล็อดเรียกคนของเขามาแล้วแจกแจงงานให้พวกเขาแยกย้ายกันไปทำ พร้อมย้ำเตือนพวกเขาอย่าไปทำให้ประชาชนแตกตื่น
เขาที่ยังคงอยู่ในภวังค์ความคิดพึมพำกับตนเอง ที่แท้นี่ก็คือสิ่งที่เจ้าของร้านหลินหมายถึงตอนที่เขาพูดว่า ‘พวกเขาเป็นฝ่ายที่อ่อนแอไร้พลัง และสถานการณ์ก็อันตรายอย่างมาก’ และต้องการความช่วยเหลือจากตำรวจ
ในสายตาเจ้าของร้านหลินแล้ว เจ้าพวกนักล่าค่าหัวที่แตกตื่นหนีไปนั้นไม่ได้อยู่ในกลุ่มคนอ่อนแอที่ต้องการความช่วยเหลือ
เป็นความจริงที่พวกเขาอยู่ในสถานการณ์อันตรายสุดขีดเมื่อต้องมาเผชิญกับตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวอย่างเจ้าของร้านหลิน
ดังนั้นจึงหวังว่าคล็อดจะรีบมาจับพวกเขาไปก่อนที่พวกเขาจะหนีไปได้ไกล
ในขณะที่เขาไม่เคลื่อนไหวใด ๆ เจ้าของร้านหลินนั้นก็เป็นมิตรและคำนึงถึงคนอื่นอย่างที่คาดไว้เลย
อาจารย์และผู้ประเมินพิเศษที่สภาผู้อาวุโสส่งมานั้นไม่ได้ตัดสินผิดไปเลยจริง ๆ
แต่สำหรับศัตรูของเขาแล้ว เจ้าของร้านหลินนั้นเป็นสัตว์ประหลาดโดยแท้จริง!
คล็อดเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเหนือร่างของเขา ที่นั่นเองที่อัครสาวกเดือนเสี้ยวข้างแรม บัค ได้ถูกกำจัดอย่างสิ้นซาก
แล้วจากนั้น ท้องฟ้ายามราตรีก็ว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยใด ๆ หลงเหลือ
จากปากคำของผู้เห็นเหตุการณ์ ที่นั่นไม่มีการกระเพื่อมใด ๆ ของอีเธอร์เลยสักนิด…
คล็อดสูดหายใจลึก ดวงตาของเขาจับจ้องนิ่ง แล้วก็พ่นลมหายใจออกอย่างช้า ๆ วิชานั้นอยู่ในระดับไหนกันแน่?
เหตุผลที่ทำไมสมาคมแห่งสัจธรรมถึงตั้งระดับผิดปกติ ระดับสัตว์ประหลาด ระดับภัยพิบัติ และระดับเหนือนภาขึ้นมา ก็เพราะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติในอาซีร์จนตอนนี้มีอยู่แค่ในระดับเหล่านี้เท่านั้น ไม่มีใครเคยไปได้สูงกว่านี้มาก่อน
เขาในตอนนี้พอจะมีความเข้าใจบ้างแล้วว่าทำไมสภาผู้อาวุโสจึงยังปิดตัวอยู่จนตอนนี้ พวกเขาคงจะกำลังคิดหาทางรับมือและติดต่อกับเจ้าของร้านหนังสืออยู่…บางทีสิ่งที่พวกเขาต้องการจริง ๆ อาจเป็นระดับที่ไม่เคยมีอยู่นั้นก็ได้
—
“อึ้ก!”
ร็อดนีย์กระอักเลือดออกมาเต็มคำ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
เขาจ้องมองคทาในมือของตัวเอง… ในครั้งนี้มันไม่หลอมละลายแล้ว ในทางกลับกัน เครื่องประดับดวงจันทร์บนนั้นไม่ได้มีอะไรผิดปกติเลย เว้นเพียงแสงจาง ๆ ที่เรืองออกมาราวกับแสงจันทร์ได้มัวลงแล้ว
ในขณะเดียวกัน เขาก็สัมผัสได้ว่าการเชื่อมต่อระหว่างเขาและพลังศักดิ์สิทธิ์ของดวงจันทร์ถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง
และที่เหนือแท่นพิธีศักดิ์สิทธิ์ สายรกสีเงินที่ยุกยิกไปมาหดตัวอย่างรุนแรง เกิดเสียงแหลมราวกับเสียงร้องของทารกในยามที่มันถูกฉีกออก แล้วเลือดจำนวนมากก็ไหลทะลักออกมา
ก้อนเนื้อที่ดูเหมือนเนื้องอกบนสายรกถูกแผดเผาจนกลายเป็นชั้นสีดำไหม้เกรียม
ร็อดนีย์ที่ถลึงตาด้วยโทสะโถมตัวเองไปที่แท่นพิธีศักดิ์สิทธิ์
“ไม่นะ!”