บทที่ 186 : หายไปอย่างกะทันหัน
ใบหน้าของหลินเจี๋ยมืดทะมึนเมื่อเห็นว่าเกิดความเสียหายขึ้นที่คาเฟ่หนังสือของตัวเอง
แม้ว่าหอการค้าแอชจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด แต่หลินเจี๋ยก็เป็นคนออกแบบมัน!
ทั้งหมดนี้คือผลจากความพากเพียรของเขา!
แล้วตอนนี้ หลินเจี๋ยก็เดือดดาลจริง ๆ เมื่อเห็นหายนะที่เจ้าพวกมือสังหารที่โผล่มาจากไหนไม่รู้พวกนี้ก่อไว้
ยิ่งเข้ามาพัวพันกับเรื่องชั่ว ๆ ของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดมากเท่าไหร่ หลินเจี๋ยก็ยิ่งรู้สึกว่าไอ้เจ้าพวกนี้ไม่คู่ควรจะมีชีวิตอยู่ต่อสักวินาทีเดียว ไม่ว่ากรณีใด สถานการณ์ในตอนนี้ก็เป็นที่ชัดเจนแล้ว และพวกเขาก็ยังลุยต่อตามแผนเดิมได้หากศาสนาใหม่ถูกเตรียมพร้อมไว้แล้ว
ด้วยการสนับสนุนของกำลังตำรวจที่เพียงพอจะเป็นการบอกจุดยืนอย่างเป็นทางการของพวกเขาได้ รวมไปถึงหลักฐานที่รวบรวมมา มันก็ไม่ยากเลยที่แผนจะสำเร็จได้
หลินเจี๋ยก็แค่กลัวว่าโบสถ์แห่งจุดสูงสุดจะมาก่อให้เกิดความไม่สะดวกแบบนี้อีกในอนาคต
ยิ่งกว่านั้น องค์กรที่มิคาเอลสังกัด วิถีแห่งดาบอัคคีก็เข้ามาพัวพันด้วย นอกจากมิคาเอลและกาเบรียลที่ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว ก็ยังมีสมาชิกอีกแปดคนที่ยังแอบวางแผนอยู่ไกล ๆ
เทียบกับโบสถ์แห่งจุดสูงสุดที่ยังสามารถติดตามการเคลื่อนไหวได้แล้ว องค์กรที่คอยชักใยอยู่ในที่ลับนั้นเป็นข่าวไม่ดีเลย…
โจเซฟผู้มีแผนปฏิบัติการตรงกับเขาพยักหน้า “เราเตรียมคนไว้แล้ว เราจะเปิดโปงความชั่วร้ายของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดหลังจากที่เราได้รับข้อมูลจากพวกแชปแมนแล้วนะครับ”
“แล้วจากนั้นเราก็จะให้ความร่วมมือในการผลักดันศาสนาใหม่ ผมแน่ใจว่ามันจะทำให้โบสถ์แห่งจุดสูงสุดแตกตื่นได้แน่นอน แล้วเมื่อพวกเขาถูกต้อนให้จนมุมไร้หนทาง ตอนนั้นแหละที่จะเป็นจุดจบของพวกเขา”
ดวงตาของอดีตอัศวินแห่งแสงผู้ยิ่งใหญ่เย็นเฉียบ แล้วเขาก็ใช้มือทำท่าเชือดคอ
แววตามาดร้ายนั้นทำให้คนมองหนาวสันหลังได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะกับนักเวทที่ถูกอัดน่วมที่พาดอยู่บนบ่าของเขา มันคงไม่ยากเลยถ้าจะนึกภาพเขาชักดาบออกมาตัดหัวคนได้อย่างเฉียบขาด
“อีกอย่างหนึ่ง ช่วยบันทึกเรื่องที่ผมเพิ่งพูดออกมาไว้เป็นพิเศษด้วยนะครับ โบสถ์แห่งจุดสูงสุดไม่ใช่ตัวการใหญ่ ยังมีองค์กรอยู่เบื้องหลังพวกเขาอยู่อีกองค์กรหนึ่ง ดังนั้นกรุณาระวังตัวและอยู่รอดปลอดภัยนะครับ” หลินเจี๋ยว่า
เขาชะงักไปเล็กน้อย แล้วรำพึง “ผมจะเล่าลงรายละเอียดทีหลังตอนที่พวกคุณมาที่ร้านหนังสือของผมนะครับ”
หลินเจี๋ยพยักเพยิดไปที่ฝูงชน ที่นี่มีคนมากเกินไป และยิ่งคนมากก็ยิ่งมีผู้สอดแนมมาก แม้จะอ้างตัวว่าเป็นสาวกของศาสนาดวงตะวัน แต่มันก็อาจจะเป็นแค่การแสดงก็ได้ และมันยากเกินไปที่จะแยกแยะว่าพวกเขาเป็นสายลับแฝงตัวมาหรือเปล่า?
จากคำพูดสุดท้ายของเจ้าหนูไมค์แล้ว องค์กรของพวกเขาได้ควบคุมโบสถ์แห่งจุดสูงสุดอยู่ และแม้กระทั่งให้การสนับสนุนคอนกรีฟที่เป็นศัตรูโดยตรงของเชอร์รี่ในหอการค้าแอชด้วย
ทั้งคู่เป็นองค์กรใหญ่ยักษ์ที่เป็นที่รู้จักดี แต่พวกเขาก็ถูกสปายที่ไม่รู้ว่ามีกี่คนแทรกซึมเข้าไปได้…
มันจะไม่น่าแปลกเลยสักนิดถ้าจะมีไส้ศึกซ่อนอยู่ในหมู่คนเหล่านี้ที่ยังไม่ถูกเปิดโปง
โจเซฟดูหนักใจ “เอาล่ะ ขอบคุณที่บอกเรื่องนี้กับเรานะครับ อ้อ นอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีอีกเรื่องที่ผมต้องคุยกับคุณด้วยนะครับ…มันเกี่ยวกับหนึ่งในลูกค้าของคุณน่ะครับ”
หลินเจี๋ยเลิกคิ้ว ลูกค้าคนหนึ่ง?
เขาไม่ได้มีลูกค้าเยอะมาแต่แรกแล้ว และส่วนใหญ่เขาก็ไม่ค่อยได้ติดต่อด้วย สองคนที่เขาติดต่อด้วยบ่อย ๆ ในช่วงนี้ก็คือไวลด์กับจี้จือซู่
โจเซฟคงไม่พูดด้วยน้ำเสียงที่คลุมเครือขนาดนี้ถ้าเป็นเรื่องของไวลด์…ดังนั้นคงจะเป็นจี้จือซู่มากกว่า
และที่จริง คุณหนูจี้ก็ยังไม่กลับมานับแต่ที่เธอขอกุหลาบของเราไปเมื่อครั้งก่อนเลย เกิดอะไรขึ้นกับเธอหรือเปล่านะ?
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามามัวเดาสุ่ม เราจะคุยลงรายละเอียดกับโจเซฟที่ร้านหนังสือแล้วกัน
“มูเอนเอ้ย”
หลินเจี๋ยกวักมือเรียกมูเอนที่ยืนนิ่ง ๆ อยู่ห่าง ๆ เหมือนเป็นแค่ของตกแต่งให้มาหา แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “มูเอน คำนวณคร่าว ๆ แล้ว ความเสียหายของคาเฟ่หนังสือเราในครั้งนี้คิดเป็นเท่าไหร่ครับ?”
มูเอนคำนวณในใจอย่างเชื่อฟังแล้วตอบกลับ “ประมาณหมื่นเจ็ดค่ะ”
ถึงแม้ว่าหลินเจี๋ยจะดูใจเย็น แต่มุมปากของเขาก็กระตุกให้เห็นอย่างอดไม่ได้เมื่อได้ยินจำนวนตัวเลข
หอการค้าแอชต้องใช้ของคุณภาพสูงขนาดไหนให้ค่าเสียหายบวกกันเป็นหมื่นเจ็ดได้เนี่ย!
เขาเหลือบมองไปทั่วร้านอย่างเร็ว ๆ หนึ่งครั้ง พื้นไหม้ รวมไปถึงโต๊ะเก้าอี้ที่เสียหายต้องเปลี่ยนใหม่ ทั้งหมดนี้ก็ราคาเฉียดสองหมื่น เขาไม่คิดว่ามันจะแพงขนาดนี้เลย และนี่ทำให้เขาใจหายวาบ
ก่อนหน้านี้ เจ้าของร้านสื่อวีดิทัศน์ถูกบีบให้ขายร้านของเขาให้หอการค้าแอชเพราะมีหนี้อยู่หมื่นเหรียญ แล้วหลังจากนั้นร้านก็ถูกส่งต่อมาให้หลินเจี๋ย
และที่จริงแล้ว ด้วยอำนาจการซื้อของค่าเงินนอร์ซิน การซื้อร้านค้าในพื้นที่ห่างไกลยากจนหน่อยด้วยราคาหมื่นเหรียญก็ไม่น่าตกใจเท่าไหร่
แต่ว่าในกรณีนี้มันดูจะเกินไปหน่อย…
หลินเจี๋ยรู้สึกราวกับตนยิงปืนใส่เท้าตัวเอง มันเหมือนว่าเขาใช้ชีวิตอย่างยาจกเพื่อซื้อรถหรู แต่ดูแลรักษามันไม่ได้
“อะแฮ่ม!”
หลินเจี๋ยหันไปบอกใบ้ด้วยสายตาให้กับโจเซฟ
‘ผมให้ศาสนาใหม่ยืมสถานที่และทำตัวเป็นนกต่อเพื่อเปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดให้แล้ว ไม่ใช่ว่าผมก็ให้พื้นที่ตำรวจอย่างพวกคุณในการทำหน้าที่ผดุงกฎหมายซึ่งเป็นการเสียสละเพื่อความยุติธรรมเหรอครับ?’
‘พวกคุณควรแสดงความขอบคุณหน่อยมั้ยครับ?’
‘อย่าปล่อยให้หัวใจผู้มีคุณธรรมต้องเย็นตัวลงสิครับ! หนึ่งหมื่นเจ็ดพันเหรียญที่สังเวยเพื่อความยุติธรรมไปกำลังร้องไห้อยู่นะครับ!’
โจเซฟมองแววตาของหลินเจี๋ยแล้วไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาพยักหน้าแล้วบอกว่า “ไม่ต้องห่วงครับเจ้าของร้านหลิน ทั้งหมดจะเป็นความรับผิดชอบของเรา เราจะช่วยคุณซ่อมมันครับ”
แล้วเขาก็คิดในใจอีกครั้งว่าเจ้าของร้านหลินมีนิสัยแปลกจริง ๆ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ในที่สุดหลินเจี๋ยก็โล่งใจได้
โจเซฟคุยกับคล็อดเพื่ออธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ เขาชมคล็อดเล็กน้อยแล้วตบบ่าศิษย์ของเขา แล้วจากนั้นก็ส่งจุยคาคุให้คล็อดรับไปจัดการ
คล็อดมองจุยคาคุที่ยังคงเพ้อเจ้อ แล้วรู้สึกว่าความกดดันของงานของเขาเพิ่งขยับขึ้นอีกระดับทั้ง ๆ ที่ยังยิ้มน้อย ๆ
เมื่อกี้นี้ หลินเจี๋ยเพิ่งคุยเล่นคุยหัวกับโจเซฟอย่างไม่สนใจอะไรอยู่เลย
พวกอดีตสาวกของโบสถ์แห่งจุดสูงสุด หรือสาวกศาสนาแห่งตะวันในตอนนี้ต่างตกตะลึงทั้งกลุ่ม
ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาก็เป็นแค่ประชาชนธรรมดาและรู้ว่าคล็อดเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจากเขตกลาง มันง่ายที่จะบอกได้ว่าบุคคลธรรมดานั้นมีใจยกย่องพวกตำรวจเขตกลางกันอยู่ ตัดสินจากทัศนคติของอดีตเจ้าของร้านสื่อวีดิทัศน์ก่อนหน้านี้ได้
แล้วตอนนี้ ชายชราตัวสูงร่างบึ้กก็เผยตัวออกมาแล้วว่าเป็นอาจารย์ของคล็อด ดังนั้นเขาจึงต้องเป็นบุคคลในหน่วยตำรวจที่ระดับสูงยิ่งกว่าอย่างแน่นอน…
แต่ตอนนี้ คนในระดับนี้กลับแสดงความเคารพต่อเจ้าของร้านหนังสือเหมือนกับที่พวกเขาเคารพตำรวจเขตกลาง
ยิ่งกว่านั้น คำพูดของเขายังดูจะสื่อว่าโบสถ์แห่งจุดสูงสุดและหอการค้าแอชต่างอยู่ในเงื้อมมือของเขา และตอนนี้พวกเขาก็ต้องพากันคิดถึงฐานะที่แท้จริงของเจ้าของร้านหนังสือไปต่าง ๆ นานาอย่างช่วยไม่ได้
—
ทว่าหลินเจี๋ยนั้นไม่ได้รู้ถึงความคิดสุดโต่งที่แล่นพล่านในหัวของเหล่าสาวกของศาสนาใหม่นี้เลย
เขารอให้โจเซฟเสร็จธุระ แล้วพาอีกฝ่ายไปที่ร้านหนังสือ
ทันทีที่เขาเหยียบเข้ามาในร้านหนังสือ หลินเจี๋ยก็ชะงักคาที่ ดวงตาของชายหนุ่มหรี่ลงในขณะที่มองจุดที่ศพของมิคาเอลเคยอยู่
ตอนนี้ที่นั่นไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย!
ก่อนหน้านี้หลินเจี๋ยโจมตีมิคาเอลโดยสัญชาตญาณ ที่จริงแล้วมันเป็นอะไรที่เขามั่วขึ้นมาเอง ไม่ใช่ทักษะโดยกำเนิด แต่เป็นการยำรวมทุกวิชาที่ซิลเวอร์สอนเขาในความฝันซึ่งโจมตีสวนมิคาเอลและฆ่าเขา
ชายหนุ่มแน่ใจว่ามิคาเอลหยุดหายใจไปแล้ว และหัวใจก็หยุดเต้นไปแล้วด้วย แต่ตอนนี้ เจ้าหมอนั่นกลับหายไปอย่างกะทันหันภายใต้สายตาของเขา
มิคาเอลหายไปแล้ว!