บทที่ 187 : พวกเขาจะพบว่าเรื่องนี้ยากจะเข้าใจ
หลินเจี๋ยชะงักไปครู่หนึ่ง สูดลมหายใจลึก ๆ แล้วเขาก็ยิ้มเฉื่อย ๆ ให้โจเซฟ “นั่งก่อนสิครับ จะว่าไป คุณอยากบอกอะไรกับผมเหรอครับ? ลูกค้าที่คุณพูดถึงคือจี้จือซู่ใช่ไหมครับ?”
หลินเจี๋ยตรงไปหลังเคาน์เตอร์แล้วนั่งลงก่อนอย่างเป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ แล้วทำท่าทางให้โจเซฟเข้ามานั่งเหมือนกัน
โจเซฟมองไปรอบ ๆ เมื่อเขาเข้ามา แล้วสัมผัสร่องรอยอีเธอร์ที่ยังไม่สลายตัวดีได้อย่างชัดเจน
มีการต่อสู้เกิดขึ้น ถึงจะเป็นการต่อสู้เล็กน้อยก็เถอะ แต่คลื่นอีเธอร์แข็งแกร่งมาก…
นี่คงเป็นสิ่งที่ตกค้างจากการต่อสู้ระหว่างเจ้าของร้านหลินกับมือสังหารคนนั้น
มีร่องรอยบนกำแพงและร่องรอยของการต่อสู้ขัดขืน แต่ไม่มีศพหรือเลือดให้เห็นเลย
โจเซฟอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก
เขาคิดว่าเจ้าของร้านหลินจะอยากได้ความช่วยเหลือของเขาในการจัดการศพและประเมินความเสียหาย แต่ตอนนี้มันดูจะไม่ใช่อย่างนั้น…
นั่นสินะ ทำไมคนระดับเจ้าของร้านหลินจะมาต้องการความช่วยเหลือของเราในเรื่องจิ๊บจ๊อยแบบนั้นด้วยล่ะ เขาคงแค่หาเหตุผลสุ่ม ๆ เพื่อเรียกเรามาที่นี่นั่นแหละ
ส่วนคาเฟ่หนังสือร้านข้าง ๆ นี่มูเอนก็เป็นคนดูแล เธอน่าจะเป็นคนที่บริหารมันอยู่ แต่มูเอนเพิ่งจะถูกเจ้าของร้านหลินส่งไปที่นั่นไม่นาน และยัยหนูนั่นก็ไม่ค่อยพูดมากเท่าไหร่ด้วย
แล้วเจ้าของร้านหลินก็ช่วยเธอแบบนี้นี่เอง
เหมือนเขากำลังคิดเผื่อลูกศิษย์ของตัวเองอย่างจริงจังเลย!
ในแง่นี้ โจเซฟก็รู้สึกว่าเขาเองก็ใส่ใจต่อลูกศิษย์ไม่ต่างกันในตอนที่มอบหมายงานให้คล็อด
ถึงแม้ว่าคล็อดจะมองเขาเหมือนเป็นนายทุนใจดำที่จิกหัวใช้ลูกน้องเป็นทาสก็ตามที แต่โจเซฟทำเช่นนี้ก็เพื่อฝึกความสามารถของเขา
โจเซฟรู้สึกเหมือนว่ากำลังใช้จิตนักคำนวณที่ปกติแล้วใช้โกงขอเงินเพิ่มมาประเมินเจ้าของร้านหลินอยู่
หลังจากเข้ามาในร้าน หลินเจี๋ยก็สาวเท้าตรงไปที่เคาน์เตอร์โดยไม่พูดถึงเรื่องกำจัดศพที่ควรเป็นวาระพูดคุยเลย
กลับกัน เขากลับให้โจเซฟพูดเกี่ยวกับลูกค้าแทนที่จะตักเตือนเขาเรื่องการตัดสินที่คลาดเคลื่อน
ในตอนนี้ คุณลุงโจเซฟที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดจากการเข้าใจผิดนั้นไม่ได้รู้เลยว่าที่จริงแล้วเจ้าของร้านหลินกำลังเหงื่อออกเป็นกะละมัง
บ้าเอ๊ย…ร่างคนทั้งร่างจะหายไปหลังจากที่เราแค่ออกไปแป๊บเดียวได้ยังไงฟะ!
มีใครฉวยโอกาสสั้น ๆ ในการย้ายศพหรือเปล่า หรือที่จริงมิคาเอลไม่ได้ตาย แต่แค่หลอกให้เราตายใจเพื่อหาโอกาสแวบหนี?
หลินเจี๋ยเอนเอียงไปทางข้อหลังมากกว่า…
จากโทนเสียงของมิคาเอลแล้ว มันดูเหมือนว่าสมาชิกในองค์กรจะไม่เป็นปึกแผ่นเดียวกันเท่าไหร่ พวกเขาไม่ได้ใส่ใจสมาชิกคนอื่นเท่าไหร่นัก และดูจะเย้ยหยันต่อความซวยของคนอื่นด้วย
ยิ่งกว่านั้น มันยังดูไม่น่าเป็นไปได้ที่องค์กรที่ไม่สามัคคีแบบนั้นจะเสี่ยงให้คนอื่นมารับซากสมาชิกที่ตายด้วย
เจ้าหนูไมค์ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เห็นจริง ๆ นั่นแหละ ดูเหมือนเราจะดูถูกเขาไปหน่อย แล้วเขาก็ทำแม้กระทั่งหลอกเราได้หนึ่งครั้งตอนที่เราคิดว่าเขากำลังจะตาย หลินเจี๋ยคิดในใจในขณะที่คาดเดาบางอย่างเกี่ยวกับองค์กรนี้
จะเป็นไปได้ไหมว่าการวิจัยขององค์กรนี้ต่อ ‘วิถีแห่งดาบอัคคี’ จะมีผลลัพธ์งอกเงย? หรือบางทีพวกเขาอาจจะเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในอาซีร์ที่ได้ค้นพบประวัติศาสตร์ที่แท้จริงแล้วอยากจะสร้างยุคในตำนานเหล่านั้นขึ้นมาใหม่ เพื่อขยับเข้าไปใกล้ชิดกับ ‘เหล่าเทพ’?
จริงด้วยสินะ หนังสือหนังมนุษย์แปลก ๆ นั่นพวกเขาก็เป็นคนสร้าง นี่หมายความได้ว่าพวกเขามีพลังพิเศษบางอย่างอยู่
หืมม…
แต่จากสิ่งที่เราประสบมาเมื่อครู่ มิคาเอลสู้เราไม่ได้เลย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาก็แค่ตื้น ๆ อย่างในตอนนี้ ความสามารถในการรับส่งข้อมูลของหนังสือหนังมนุษย์นั่นที่จริงแล้วก็ไม่ค่อยต่างกับความสามารถของเจ้าดำที่ใช้น้ำสร้างเป็นคำเท่าไหร่
หลินเจี๋ยอดเหลือบมองบนเคาน์เตอร์ที่ครั้งหนึ่งเจ้าดำเคยใช้สื่อสารกับเขาไม่ได้
แต่พวกเขาสร้างเรื่องขนาดนี้ ทำกระทั่งลอกหนังคนมาทำหนังสือแค่เพื่อใช้งานง่าย ๆ อย่างการรับส่งข้อมูล
ยิ่งกว่านั้น ถ้าโค้ดเนมของพวกเขาเป็นไปตามอัครทูตสวรรค์ทั้งสิบจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นเจ้าหนูไมค์ที่ได้โค้ดเนมมิคาเอลก็คงจะมียศสูงในหมู่พวกเขาอยู่ ส่วนคนอื่น ๆ โดยคร่าว ๆ แล้วก็น่าจะระดับพอ ๆ กัน ดังนั้นเขาจึงไม่น่าจะมีอันตรายอะไรนัก
ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว โจเซฟกับวินเซนต์คงพบว่าสถานการณ์แปลก ๆ นี้ยากจะเข้าใจได้ เฮ้อ…มันไม่มีทางเลือกอื่นจริง ๆ เราต้องลองจัดการกับมันเองแล้ว!
หลินเจี๋ยรู้สึกว่าในเมื่อเขาเป็นคนที่ค้นพบปัญหาของแก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์แล้วให้วินเซนต์ไปลองเชิงโบสถ์แห่งจุดสูงสุด เขาก็ควรเป็นคนรับผิดชอบผลพวงที่ตามมาเหล่านี้…
ยิ่งกว่านั้น มีเพียงเวทมนตร์เท่านั้นที่เอาชนะเวทมนตร์ได้!
จากที่ซิลเวอร์พูด หลินเจี๋ยจะสามารถปกป้องตนเองได้อย่างสมบูรณ์เมื่อเขาสามารถสร้างแดนนิมิตที่สมบูรณ์ขึ้นมาได้ และถ้าเขาสามารถใช้แดนนิมิตพื้นฐานเป็นกรอบในการโปรยละอองมายามาปกคลุมโลกจริงได้ เขาก็จะ ‘บรรลุ’ มันได้อย่างแท้จริง
นับตั้งแต่สิ่งมีชีวิตมายาแปลก ๆ ตนนั้นหลุดเข้ามาในแดนนิมิตของเขาแล้วระเบิดตัวตายไป หลินเจี๋ยก็ตระหนักได้ว่าแดนนิมิตของตัวเองได้มั่นคงขึ้นแล้วพอตัวอย่างบอกไม่ถูก
เขากำลังสร้างกรอบของความฝันของตัวเองอย่างรวดเร็ว แล้วก็คงลองก้าวต่อไปได้ในไม่ช้า…
ดังนั้นในครั้งนี้ โบสถ์แห่งจุดสูงสุดจะกลายเป็นสนามทดสอบของเขา!
ในขณะที่หลินเจี๋ยเสียสมาธิเพราะความคิดของเขาอยู่นั้นเอง โจเซฟก็รู้สึกผิดจบแล้ว แล้วเขาก็ทึ่งในความมองการณ์ไกลของเจ้าของร้านหลิน เพราะลูกค้าคนนั้นก็เป็นจี้จือซู่จริง ๆ
“บริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์แจ้งมาว่าหอการค้าแอชมีการทำธุรกรรมผิดกฎหมายและได้รายงานสถานการณ์กับเราแล้วครับ เขาส่งพยานผู้รู้เห็นและออกคำแจ้งเตือนว่าจะระงับการส่งสินค้าให้กับบริษัทในเครือของหอการค้าแอชครึ่งหนึ่ง และจะขายให้กับสมาคมการค้าสเมลเตอร์แทน”
“พวกเขาต้องได้รับอิทธิพลกับธุรกิจลับ ๆ ล่อ ๆ ของคอนกรีฟมาแน่ ๆ แล้วเข้าใจไปว่าเป็นอุบายของหอการค้าแอชครับ” โจเซฟพูดด้วยน้ำเสียงเป็นทางการตามธรรมเนียม
ชนวนเหตุของเรื่องนี้คือการที่คอนกรีฟสร้างระบบการค้าลับขึ้นมาซึ่งทำให้นักเวทมนตร์ขาวโลภมากบางคนขายวิธีลบตรา ‘ภักดี’ ของพวกเขาให้ แล้วบังเอิญพอดีว่าหนึ่งในนั้นคือนักเวทมนตร์ขาวที่ตระกูลจี้จ้างมาและเป็นลูกน้องของจี้จือซู่
โชคร้ายหนักกว่าเก่าที่จี้จือซู่ก็ถูกทรยศมาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เธอเกลียดเรื่องแบบนี้หนักไปใหญ่
แม้ว่าสถานการณ์นี้จะไม่ลุกลามไปจนถึงการแตกหักกันโดยสมบูรณ์ก็ตาม แต่ครั้งนี้บริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ก็ออกคำเตือนที่รุนแรงมากต่อหอการค้าแอชอยู่ดี
“สถานการณ์ต่อโบสถ์แห่งจุดสูงสุดก็ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ และไม่ใช่ว่าทุกอย่างถูกเผยออกมาหมดแล้ว มันต้องใช้เวลาสักหน่อยก่อนที่จะบอกความจริงให้กับบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ได้ แต่ในระหว่างนั้น หอการค้าแอชจะเจ็บหนักแน่ครับ”
โจเซฟเหลือบมองเจ้าของร้านหลินแล้วพูดต่อ “ผมคิดว่าเราจัดการกับเรื่องนี้ตามปกติได้เพราะพวกเราไม่ได้ไปยุ่งกับเรื่องทางธุรกิจกันเท่าไหร่อยู่แล้ว แต่ว่าในเมื่อหัวหน้าสาขาเชอร์รี่ แชปแมนก็เป็นลูกค้าของคุณ ผมเลยคิดว่าผมควรขอความเห็นจากคุณด้วยครับ”
หรือนี่จะหมายความว่าคุณหนูจี้กับเชอร์รี่จะ ‘รบกัน’ ในไม่ช้า?
หลินเจี๋ยวางคางของตัวเองลงบนมือที่ประสานกันในขณะที่เขาจินตนาการถึงฉากที่เชอร์รี่กับจี้จือซู่ดวลหมัดกันอย่างอธิบายไม่ถูก