บทที่ 194 : นายพูดถึงเจ้าของร้านหลินใช่ไหม?
ไวลด์จ้องสมุดโน้ตและปากกาที่ถูกส่งมาให้เขา
“ชื่อจริงของนายล่ะ?” เขาถามแทนคำตอบ
ในตอนนี้ มังกรทะยานมีความรู้สึกทั้งหวาดหวั่นและตื่นเต้นปนเปกัน
ความหวาดหวั่นนั่นแน่นอนว่าเป็นเพราะแรงกดดันของกลุ่มเส้นหนวดที่รอโจมตีอยู่ทุกขณะ
กะโหลกหมาป่าดุร้ายที่ซุกซ่อนอยู่ในก้อนเนื้อยักษ์และดวงตาที่มองตามทุกการเคลื่อนไหวของเขาย้ำเตือนเขาซ้ำ ๆ ถึงคำสบประมาท ‘หมาสีขาว’ ที่เขาพูดออกไปเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา
สัมผัสอันตรายที่เขาเคยรู้สึกอย่างผิวเผินนั้นไม่ได้โผล่มาลอย ๆ!
ในตอนนี้ เขาทำได้เพียงดีใจที่ตัวเองสัมผัสไว เห็นได้ชัดว่าคำชมส่ง ๆ ที่เขาชมเจ้าสุนัขนั่นก่อนหน้านี้มีส่วนช่วยเขา ไม่อย่างนั้นคงโดนฉีกเป็นชิ้น ๆ ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
…ทว่าตอนนี้ชะตากรรมนั้นก็ดูจะอยู่ไม่ไกลแล้วเช่นกัน
ในขณะเดียวกัน เขาก็ตื่นเต้นเพราะคนที่เขาชื่นชมมาเป็นปี ๆ มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ห่างออกไปแค่เมตรเดียว และมังกรทะยานก็ถึงขนาดขอลายเซ็นเขาไปแล้วด้วย!
ยิ่งกว่านั้น เขายังได้เห็นการวางตัวของไวลด์ด้วยตาตัวเอง จากท่าทางสง่างามไปจนถึงนิสัยที่เด็ดขาดของเขา ทุกการกระทำของเขาต่างตรงกับสิ่งที่มังกรทะยานวาดฝันไว้ทั้งนั้น
ในขณะนี้ มังกรทะยานรู้สึกราวกับแฟนบอยแถวหน้าสุดในคอนเสิร์ตที่ได้จับมือกับไอดอลในดวงใจของตัวเองในระยะประชิด และได้พูดคุยกันเป็นการส่วนตัว
แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกอับอายด้วยเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เขามองไอดอลของเขาไม่ออก ไปคิดว่าไวลด์เป็นคนอื่นที่แต่งตัวเลียนแบบไวลด์ แล้วยังไปพูดเหยียดเขาเป็นชุดอีก…
แน่นอนว่าคำพูดเหยียดพวกนั้นเป็นความคิดที่คิดกับตนเองคนเดียว แต่ความจริงก็เห็นกันอยู่ทนโท่ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่มังกรทะยานคิดว่าเขาจะทำในตอนที่เขาพบกับไอดอลของเขาเลยสักนิด
ไม่ว่าแฟนตัวยงคนใดที่วาดฝันถึงการได้พบไอดอลตัวเป็น ๆ ย่อมนึกถึงการพบกันที่สมบูรณ์แบบ แบบที่พวกเขาดึงดูดความสนใจของไอดอลของพวกเขาและได้รับคำชมกลับมาแบบปัง ๆ กันทั้งนั้น
ไม่ใช่การพบกันแบบปังปิ๊นาศแบบนี้!
มังกรทะยานรู้สึกยิ่งกว่าอับอาย แต่เดิมเขาเชื่อว่าตัวเองถูกเมินไปเพราะอสรพิษดำไม่อยากแสดงความแฟนบอยออกมาต่อสาธารณะ แต่สุดท้ายแล้วเป็นมังกรทะยานเสียเองที่เผยไต๋โป๊ะแตก… แล้วตอนนี้เขาก็อยากจะฆ่าตัวตายมันตรงนี้เลย
แต่เรื่องตายไว้ทีหลัง ตอนนี้เขาต้องขอลายเซ็นนั่นมาให้ได้ก่อน!
มังกรทะยานที่กำลังรู้สึกเช่นนั้นในใจตระหนักขึ้นได้ว่าตอนนี้ไอดอลของเขากำลังถามชื่อเขาอยู่! แล้วเขาก็ตอบออกไปทันทีโดยเก็บความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ “ดันลอปครับ ดันลอป กัลครับ!”
“นายเป็นนักเวทนอกระบบ?” ไวลด์ถามต่อ
มังกรทะยานตะลึงไป “ครับ… รบกวนถามได้ไหมครับว่าคุณรู้ได้ยังไง?”
ไวลด์ตอบอย่างเฉยเมย “ก่อนหน้านี้นายแสดงความเหยียดหยามต่อพวกนักเวท ‘สายวิชาการ’ อย่างชัดเจนเลยนี่”
“ไม่เลยครับ พวกนักเวท ‘สายวิชาการ’ ต่างก็เป็นคนมีฝีมือ อย่าสนใจคำบ่นคิดตื้น ๆ ของผมเลยครับ…” มังกรทะยานพูดพลางโบกมือส่ายหน้าพัลวัน
“ในเมื่อนายเข้าใจเรื่องราวชีวิตฉันทะลุปรุโปร่งขนาดนั้น งั้นนายก็ต้องรู้ว่าฉันเคยมีศิษย์อยู่สองคนสินะ”
ไวลด์ดูกำลังครุ่นคิดแล้วพูดอย่างไม่รีบร้อน “พวกเขาคงเป็นพวกนักเวท ‘สายวิชาการ’ ไร้สมองปัญญานิ่มอย่างที่นายพูดนั่นแหละ”
มังกรทะยานไม่รู้เลยว่าทำไมจู่ ๆ ไอดอลของเขาถึงได้พูดถึงศิษย์ตัวเองขึ้นมา แต่เขาฟังโทนเสียงไม่ชอบใจในน้ำเสียงของไวลด์ได้อย่างชัดเจน สีหน้าของนักเวทระดับภัยพิบัติในตอนนี้ก็ดูกดดันน่ากลัวกว่าเดิมเป็นกอง
จบเห่แล้วตู!
มังกรทะยานรู้สึกบ่อน้ำตาจะแตก
นี่ต้องเป็นกรรมแน่ ๆ เขาคิดในใจ
ในขณะที่เขาสรรเสริญไวลด์ เขาก็เหยียบย่ำศิษย์ของไวลด์โดยไม่ตั้งใจไปพร้อม ๆ กันด้วย
กัลได้ยินมานานแล้วว่าถึงไวลด์จะมีนิสัยเย็นชาไร้ความปรานี แต่เขาโอบอ้อมอารีต่อศิษย์ทั้งสองของเขาอยู่เสมอ และพวกเขาก็เหมือนครอบครัวที่อบอุ่นแน่นแฟ้น
ดังนั้นการดูถูกศิษย์ทั้งสองแล้วไปเรียกพวกเขาว่าสมองนิ่มนี่ไม่ต่างจากการขุดหลุมศพให้ตัวเองเลย!
สีหน้าของกัลแย่ลง เขาไม่เคยคิดฝันเลยว่าคำยกยอไอดอลของเขา… จะพาตัวเองมาสู่จุดจบรวดเร็วขนาดนี้!
ช่างมันเถอะ การได้ตายด้วยมือไอดอลของเราก็เป็นการตายที่คุ้มค่าแล้ว!
“ฉันใช้พลังงานครึ่งชีวิตของฉันไปกับศิษย์ทั้งสอง นอกจากการวิจัยกับศาสตร์เวท การเลี้ยงดูศิษย์ทำให้ฉันต้องจ่ายค่าตอบแทนอันเกินจินตนาการ ดังนั้นฉันจึงจะไม่รับศิษย์คนที่สามอีกต่อไปแล้ว”
‘หยุดเถอะครับ ผมรู้แล้วครับว่าคุณให้คุณค่ากับศิษย์คุณขนาดไหน’
กัลผู้เชื่อว่าเขาตายแน่ ๆ มีสีหน้าบิดเบี้ยวราวกับกำลังไว้ทุกข์ ห่วงเดียวของเขาในตอนนี้คือเรื่องที่เขาจะได้รับลายเซ็นของไอดอลของเขาหรือเปล่า
เขายื่นสมุดโน้ตกับปากกาของเขาอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ “รบกวนด้วย… ได้มั้ยครับ?”
ไวลด์มองกัลแล้วคว้าสมุดโน๊ตกับปากกาไป แล้วจากนั้น ท่ามกลางสายตาที่มองมาอย่างคาดหวังของกัล เขาก็ฉีกกระดาษออกมาหน้าหนึ่งแล้วเซ็นลายเซ็นของเขา ก่อนจะยื่นคืนให้
กัลรับมันไปอย่างลิงโลด แต่ในตอนที่เขาคือกระดาษแผ่นนั้นไว้ในมือนั้นเอง กระดาษแผ่นนั้นก็ระเบิดออกทันที เหลือไว้เพียงกองขี้เถ้าที่ปลิวรอบตัวเขาก่อนจะหายไปในอากาศ
กัลตกตะลึงพรึงเพริด ถึงเขาจะไม่สามารถประเมินผลโดยรวมของมันได้ แต่ก็ยังสัมผัสได้อยู่ดีว่ามันเป็นเวทมนตร์พันธสัญญารูปแบบหนึ่ง!
“นี่คือสัญญานามจริง” ไวลด์อธิบาย “ตอนนี้ฉันขาดผู้ช่วยอยู่ จากนี้ไปนายจะติดตามฉัน”
“โอ้…อะไรนะครับ??”
อารมณ์ของกัลปนเปหลายต่อหลายครั้ง
ตอนแรกเขาตะลึง แล้วเขาก็ตกอยู่ในสภาพไม่เชื่อหูเป็นเวลาสั้น ๆ ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยความอิ่มอกอิ่มใจโดยสมบูรณ์
เมื่อเขาเห็นฝูงหนวดหดกลับไปจากเขา กัลก็ฟื้นสติได้ เขารีบวิ่งตามไวลด์ที่หันหลังจากไปแล้ว กัลถูมืออย่างลิงโลดแล้วเอ่ยถาม “แปลว่า…แปลว่าผมไม่ต้องอ่านหนังสือเล่มนั้นแล้วใช่ไหมครับ?”
“แน่นอน…”
ในตอนที่มังกรทะยานฉีกยิ้มกว้างนั้นเอง หน้าหนังสือก็ถูกยัดเข้าใส่ใบหน้าของเขา แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นตื่นกลัวสุดขีด
“ว่าไม่” ไวลด์ต่อประโยคจนจบ
—
เชอร์รี่ถูกล้อม
สถานการณ์ถูกยกระดับขึ้นจนเลวร้ายกว่าที่เธอคาดไว้แต่เดิม…ไม่สิ มันยิ่งกว่านั้นอีก
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าคอนกรีฟจะได้รับความช่วยเหลือจากคนระดับภัยพิบัติได้
นักล่าระดับภัยพิบัติที่หายตัวไปนานแล้ว
นักล่าระดับภัยพิบัติที่ทำให้ไวลด์เสียโฉมในอดีต ฮาร์เปอร์!
“เธอนี่เป็นหนูน้อยที่น่ารักจริง ๆ นะ”
ชายที่เพ่งพินิจเธอจากหัวจรดปลายเท้านั้นหลังค่อมและมีผ้าพันแผลมัดร่างผอม ๆ ของเขาไว้ ในขณะที่สสารสีดำที่เหมือนน้ำมันดิบซึมออกมาจากผ้าพันแผล
เขามีดวงตาชั่วร้ายสีแดงที่ฉายประกายพยาบาทและถือมีดคู่หนึ่งที่เปื้อนไปด้วยเลือดและสนิม
เขาอ้าปากออก เผยให้เห็นลิ้นเรียวยาวที่แตกเป็นสามแฉกแลบออกมาเลียคมมีดของเขา ในขณะเดียวกันเขาก็จ้องมองเชอร์รี่ด้วยสายตาหิวกระหายน่ารังเกียจ
เชอร์รี่ในตอนนี้ถูกคนระดับสัตว์ประหลาดสี่คนล้อมเอาไว้ ในระหว่างช่วงชุลมุน เธอได้ป่วนพวกระดับสัตว์ประหลาดโดยใช้ผนึกสะกดใจผสานกับคาถาดลใจ ให้พวกเขาตีกันเองได้สำเร็จ
ในตอนนี้พวกเขาหกคนนอนจมกองเลือดตัวเองอยู่บนพื้น
ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าคนระดับภัยพิบัติตรงหน้าเธอคนนี้ ภารกิจของเชอร์รี่คงลอยลำสบายไปแล้ว
โชคร้าย…
“เชอร์รี่… เธอไม่ได้คาดเรื่องนี้ไว้ล่ะสิท่า?!” คอนกรีฟก้าวออกมาจากเงามืดพร้อมเสียงหัวเราะดังลั่น
เชอร์รี่ปิดปากแน่น เงียบสนิท
“เธอคิดจริง ๆ เหรอว่าตัวเองฉลาดอยู่คนเดียว?” คอนกรีฟเยาะเย้ย “ไม่ใช่ว่าเธอควรจะวางแผนเก่งเหรอ?”
“ไม่ใช่ว่าเธอคิดว่าฉันเป็นไอ้งั่งเหรอ?”
“เอางี้มั้ย ฉันจะให้เวลาเธอสิบนาที ลองหาวิธีออกจากสถานการณ์นี้เป็นไง?!”
“รอใครมาช่วยเหรอจ๊ะ?” คอนกรีฟยิ้มเยาะ “จะเป็นสาวใช้คนสวยนั่นหรือเปล่าหนอ? หรือเจ้าของร้านหนังสือที่ว่าแข็งแกร่งไปซะทุกเรื่องคนนั้นกันล่ะ?”
“เฮะ ๆ เธอคิดว่าเขาจะรู้มั้ย? ทำไมไม่ลองกรีดร้องขอความช่วยเหลือดูล่ะ บางทีเขาอาจจะมาช่วยเธอทันทีเลยก็ได้นะ!”
เขาหัวเราะอย่างสะใจก่อนจะทำเสียงแหลมเลียนแบบเสียงเชอร์รี่ “อ๊ายย เจ้าของร้านหลินช่วยด้วยค่า! ช่วยหนูด้วยค่า!”
ตู้ม!
ผนังกั้นห้องที่ติดกันถล่มลง ปรากฏก้อนมหึมาที่เกิดจากชิ้นเนื้อ เยื่อกล้ามเนื้อและหนวดรัดพันกันทะลวงผ่านเข้ามา ในพริบตาเจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์ก็ปรากฏเต็มทัศนวิสัยของทุกคนราวกับอสรพิษยักษ์ที่ประกอบด้วยเลือดและเนื้อเยื่อ แล้วมันก็นั่งลงที่ใจกลางห้องส่วนตัวที่ถูกผนวกรวมกัน
สวบ ฉึก จึ้ก!
ก่อนที่พวกคนระดับสัตว์ประหลาดทั้งสี่จะมีโอกาสได้ถอย กลุ่มเส้นหนวดก็เสียบเข้าร่างพวกเขาไปแล้ว
พร้อม ๆ กันนั้น ชายชราในชุดสูทอย่างสุภาพบุรุษผู้สวมหน้ากากเหล็กสีดำก็ก้าวออกมาจากซากปรักหักพังแล้วเดินทอดน่องไปหาคอนกรีฟ
“เหมือนฉันจะได้ยินใครสักคนพูดว่า ‘เจ้าของร้านหลิน’ ใช่ไหม?”
ไวลด์ยื่นมือออกมาบีบคอคอนกรีฟแล้วยกเขาขึ้นทั้งตัว
“นายพูดถึงเจ้าของร้านหลินใช่ไหม? แต่นายดูจะไม่ใช่ลูกค้าคนหนึ่งของเขานี่”
คอนกรีฟดิ้นรนสุดชีวิตแล้วตะโกนออกมา “คุณฮาร์เปอร์ช่วยด้วยครับ!”
“เจ้าของร้านหลิน? ร้านหนังสือกาก ๆ นั่นอ่ะนะ? ไม่มีทางที่ฉันจะเป็นลูกค้าเขาหรอกเฟ้ย!”