บทที่ 203 : ฉันกำลังรอให้นายโผล่มาอยู่เลย
ครืน!!
ดวงไฟยักษ์ทะลวงผ่านหมู่เมฆแล้วพุ่งลงมา สร้างคลื่นอากาศเป็นสายรอบ ๆ มันในขณะที่ตัวมันเองทำให้ทั้งผืนฟ้าส่องสว่าง แล้วมันก็ขยับเข้าใส่เทพจอมปลอมที่วินเซนต์ลากลงมาที่พื้นพร้อมด้วยแสงจ้า
ทั้งสมรภูมิสั่นไหวราวกับแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง
“แอ้!!!”
ก้อนขนาดยักษ์ที่เกิดจากการรัดพันกันของเส้นหนวดก็ถูกบี้เหมือนเยลลี่ที่ถูกก้อนหินทับ แล้วร่างส่วนหนึ่งของมันก็กระจายกลายเป็นก้อนเลือด
ในขณะเดียวกัน พื้นก็ถูกแยกออกพร้อม ๆ กับที่คลื่นความร้อนรุนแรงและความดันอากาศระเบิดออกมาจากศูนย์กลาง ทำให้สิ่งปลูกสร้างรอบ ๆ ทั้งหมดกลายเป็นเศษซาก ต้นไม้และทุกอย่างอื่น ๆ ต่างถูกระเบิดกระเด็นออกไปกระแทกกับเกราะพลังเวทอย่างรุนแรงจนเกิดคลื่นกระเพื่อม
นี่เป็นเพียงชุดแรกเท่านั้น วินเซนต์ที่ลอยอยู่บนอากาศแล้วกุมมือของตัวเองเข้าหากัน แล้วทำท่าทางเหมือนลากอะไรสักอย่างลงมา
ตู้ม!
ดวงเพลิงที่ดูราวกับดวงอาทิตย์จมลงมาอีก ละลายทุกสิ่งในรัศมีด้วยลมสุริยะ พื้นดินกลายเป็นแมกม่า และไอน้ำในอากาศก็เริ่มส่งเสียงฉ่าเมื่อดวงเพลิงทั้งดวงเริ่มสลายตัวเอง
จุดสีดำปรากฏที่แก่นของดวงไฟแล้วค่อย ๆ ขยายวงออกราวกับโรคราน้ำค้าง ดวงไฟเริ่มหดตัวลงแล้วเปลี่ยนเป็นก้อนสีดำแดงที่ปะปนกันอย่างยุ่งเหยิง แล้วสุดท้ายดวงไฟก็หดลงจนมีขนาดเพียงหนึ่งในสามของขนาดดั้งเดิม
พื้นที่แตกระแหงจมลงราวร้อยเมตร สร้างเป็นหลุมขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยมิติอันบิดเบี้ยว
หน้าผากของวินเซนต์มีเส้นเลือดปูดโปนและเม็ดเหงื่อไหลชุ่ม เห็นได้ชัดเจนว่าเขาบีบอัดดวงไฟจนถึงระดับเล็กสุดที่เขาทำได้แล้ว
เขาสูดหายใจลึก ปล่อยมือแล้วถอยหนีไปอย่างรวดเร็ว
ดวงไฟสีดำแดงระเบิดออกมาจากแก่นในทันที แล้วคลื่นกระแทกวงกลมก็แผ่ออกมา เกิดเสาไฟพุ่งขึ้นสู่ฟ้า และในเวลาเดียวกันก็พุ่งลงใส่เทพจอมปลอมเบื้องล่างด้วย
แผ่นดินสะเทือนแล้วฉีกออกจากกัน เผยให้เห็นรากฐานฝีมือมนุษย์ที่อยู่เบื้องใต้นอร์ซิน เห็นได้ชัดว่าหลังจากแทงทะลุร่างของเทพจอมปลอมแล้ว เสาเพลิงยังคงทะลวงลึกเข้าไปในพื้นอีกไกลโข
“กรี๊ซซซซ!!!”
เสียงกรีดร้องแหลมสูงที่หูมนุษย์รับไม่ไหวดังขึ้นเมื่อดวงตาถูกเสียบทะลุ ผิวชั้นนอกของเทพจอมปลอมเต็มไปด้วยรอยไหม้และกรดสีเหลืองข้น ๆ ที่ทะลักออกมา ทว่าอวัยวะภายในของมันยังพอจะมีพลังชีวิตอยู่
แผละ!
เนื้อเยื่อที่ดูเหมือนขดลำไส้เริ่มฟื้นฟูตัวเองอย่างรวดเร็วในขณะที่เลือดของมันไหลทะลักราวน้ำตก แล้วสร้างเส้นหนวดเรียวบางที่ดูเหมือนริบบิ้นจากดวงจันทร์แทงเข้าใส่วินเซนต์ผู้อ่อนล้าตรึงเขาไว้กับพื้น
เนื้อเยื่อดวงตาที่แหลกสลายเปลี่ยนเป็นดวงตาใหม่นับไม่ถ้วนที่หมุนติ้วและกะพริบอย่างชวนให้ไม่สบายใจสุด ๆ
ทว่านี่คือการดิ้นรนครั้งสุดท้ายของมันแล้ว เสาเพลิงยังคงสร้างความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่องให้กับมัน และดวงตาเล็ก ๆ เหล่านั้นต่างก็ระเบิดทีละดวงสองดวง โปรยสารสีเหลืองหนืดไปทั่วทุกทิศ แล้วหนวดของมันก็แห้งเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว
เทพจอมปลอมกระเสือกกระสนโจมตีสุดแรงโทสะเป็นครั้งสุดท้าย มันยกเส้นหนวดขึ้นสูงหวังจะฆ่าศัตรูคู่แค้นผู้นี้…
ดาบสีทองกวาดผ่าน สร้างเป็นคลื่นอัดอากาศที่ผ่าร่างที่เต็มไปด้วยเส้นหนวดของเทพตัวปลอม แล้วผ่ามันออกเป็นสองท่อน
สุดท้ายแสงสีทองนั้นก็หยุดลง เกิดเป็นรูปกางเขนท่ามกลางเสาไฟที่พุ่งขึ้นสู่ฟ้า ตรึงร่างของเทพจอมปลอมไว้กับที่
การเคลื่อนไหวของเทพปลอมหยุดลง แล้วดวงตาของมันก็มืดมัวไปพร้อม ๆ กับที่เส้นหนวดที่เหลืออยู่ของมันร่วงลงพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง
สิ่งสุดท้ายที่มันได้เห็นคือภาพร่างใหญ่โตของชายชราร่างบึกบึนที่ยกดาบขึ้นสูง เส้นผมสีขาวราวหิมะของเขาตัดกับร่างใหญ่ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่อยู่ท่ามกลางอีเธอร์ที่ลุกไหม้ราวเปลวเพลิงสีขาวที่ไม่อาจดับลง
เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไร้เทียมทานโจเซฟ
เหล่าผู้รอดชีวิตจากหอพิธีกรรมต้องห้ามอพยพไปนอกพื้นที่ที่เกิดศึกใหญ่แล้วทอดสายตามองขึ้นไปยังร่างเบื้องบน ก่อนจะพึมพำชื่อของเขาออกมา…
เขาไม่ได้ถือดาบปีศาจในมือแล้ว แต่วิญญาณของเขาถือดาบที่คมเสียยิ่งกว่านั้น
ครืน!!
เสาเพลิงดับลง รอยดาบก็หายไปด้วย ในท้ายที่สุด เทพจอมปลอมก็ร่วงหล่นสู่พื้น
โจเซฟมองร่างไร้ชีวิตนี้อยู่สักพัก ไม่กล้านิ่งนอนใจแม้เพียงนิด แล้วสุดท้ายเขาก็ถอนหายใจโล่งอกแล้วสลายอีเธอร์ของเขา
การโจมตีครั้งเดียวนี้ทำให้เรี่ยวแรงของเขาหายไปมาก
แม้ว่าจะใกล้ตาย แต่ระดับเหนือนภาก็ยังคงเหนือกว่าระดับภัยพิบัติเป็นร้อยเท่า การจะฆ่าระดับเหนือนภาสักตนด้วยดาบเดียวนั้นทำให้เขาต้องใช้พลังทั้งหมดที่มี
โชคดี…ที่ทุกอย่างจบแล้ว
โจเซฟร่อนลงที่ข้าง ๆ วินเซนต์แล้วโซเซเล็กน้อย เขายื่นมือไปประคองวินเซนต์ให้ลุกขึ้นแล้วเอ่ยถาม “คุณไม่เป็นไรนะ?”
วินเซนต์กลับสู่สภาพปกติของเขาแล้ว แต่ดวงตาของเขายังคงเป็นเบ้ากลวง ๆ และส่วนอกและท้องของเขาก็ถูกฉีกออกทั้งหมด เขาไออยู่สองสามที ฝืนยิ้มแล้วเอื้อมมือออกไป “ผมไม่เป็นไร…เราชนะแล้วนะครับ”
วินเซนต์คว้ามือของเขามาบีบ “ใช่ เราชนะแล้ว” เขาถอนหายใจ
แปะ แปะ แปะ…
จู่ ๆ เสียงปรบมือก็ดังขึ้นในสนามรบที่เงียบงัน
วินเซนต์และโจเซฟต่างหันไปมองที่ต้นเสียงโดยพร้อมเพรียง แล้วดวงตาของพวกเขาก็หรี่ลง เมื่อฝุ่นควันจาง ก็ปรากฏชายหนุ่มรูปงามดวงตาสีเงินคนหนึ่งลอยอยู่บนอากาศพร้อมด้วยรอยยิ้มสว่างไสว
“เป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยม ขอแสดงความยินดีต่อชัยชนะของพวกเจ้าต่อศัตรูระดับเหนือนภา…แม้ว่าจะเป็นแค่ตัวปลอมก็เถอะนะ”
ชายหนุ่มผู้ยิ้มแย้มในชุดคลุมยาวสีดำมีลวดลายดาบอัคคีสบตากับชายทั้งสอง “จริง ๆ ด้วย การคาดเดาของข้าถูกต้อง ดวงจันทร์ที่แท้จริงมิได้ตายลง และเทพที่แท้จริงนั้นสร้างได้เพียงในแดนนิมิต นั่นคือเหตุที่ทำไมเหล่าแม่มดบรรพกาลจึงพากันซ่อนตัวในแดนนิมิตกันหมด…”
“ถูกไหมขอรับ ท่านหญิงวัลเพอร์กิสผู้ควบคุมรัตติกาล?”
ชายผมสีเงินมองไปทางเด็กสาวที่ลอยอยู่ห่าง ๆ พร้อมภาพฉายของหญิงเบื้องหลังเธอ หอกอีเธอร์ไร้ลักษณ์ได้ล้อมทั้งสองไว้กับที่แล้ว
วัลเพอร์กิสเพ่งสายตาพินิจเขา “ข้าจำเจ้าได้”
“เป็นเกียรติของข้าโดยแท้ที่ท่านจำข้าได้ขอรับ” ชายผมสีเงินโค้งตัวเล็กน้อย “บางทีข้าอาจต้องแนะนำตัวเองใหม่ ข้าคือสังฆราชรุ่นแรกของโบสถ์แห่งจุดสูงสุด และในยามนี้อาศัยนาม ‘กาเบรียล’”
“ท่านอาจจะไม่รู้” กาเบรียลเลียปากตัวเองด้วยแววตาบ้าคลั่ง “เจ้าสัตว์ร้ายนี้แต่เดิมก็เป็นแค่เจ้าตัวเล็กที่อยู่ของมันดี ๆ และโง่เง่าไปวัน ๆ แต่เป็นข้าเองที่ยุยงมัน ข้าบอกมันว่าที่ตะวันตกแห่งแดนนิมิตมีชุดอันงดงามอยู่ แล้วมันก็ลอกหนังของดวงจันทร์ออกที่นั่น สวมเข้ากับตนเอง แล้วเอาตัวจริงขังกรงไว้”
“เป็นข้าเอง ข้าสร้างพระเจ้าขึ้นมา!” กาเบรียลพูดด้วยใบหน้าที่ดื่มด่ำในความปีติ
“ข้ามิเคยคิดฝันว่าจักได้พบตัวตนยิ่งใหญ่เช่นท่าน ท่านผู้แสนเมตตาและอ่อนโยน ข้าหวังอย่างจริงใจว่าท่านจักยอมให้ข้าใช้วิธีเดียวกัน… เพื่อเป็นพระเจ้าได้นะขอรับ!”
กาเบรียลฉีกยิ้ม “ข้าวางแผนมาแสนนาน พยายามหาที่อยู่ของท่าน การมาถึงของท่านทำให้ทุกอย่างมิเสียเปล่า”
เมื่อฝุ่นควันบนพื้นสงบลง เส้นข่ายมนตร์ลาง ๆ สีเงินก็ปรากฏขึ้นเหนือแผ่นดินที่มอดไหม้
เห็นได้ชัดว่าเขาใช้อำนาจของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดเพื่อตั้งข่ายมนตร์ที่แข็งแกร่งไว้ที่นี่
ใบหน้าของโจเซฟและวินเซนต์ซีดลง และกระทั่งใบหน้าของวัลเพอร์กิสยังเครียดขึ้นมา มูเอนกัดริมฝีปากแล้วเริ่มประมาณว่าเธอจะหนีด้วยฝีมือของเธอในตอนนี้ได้หรือไม่
แต่ในขณะที่ข่ายมนตร์กำลังสร้างตัวเองอยู่นั้นเอง เสียงอันแผ่วเบาหนึ่งก็สะท้อนออกมา “ฉันกำลังรอให้นายโผล่มาอยู่เลย”
ถึงจะฟังดูทื่อ ๆ แต่เสียงนี้ดูราวกับสายฟ้าที่ฟาดลงมาจากสวรรค์ชั้นฟ้า
กาเบรียลและคนอื่น ๆ ต่างมองขึ้นฟ้าพร้อมกันแล้วพบร่างเงาดำ ๆ ขนาดมหึมาที่บดบังท้องฟ้าที่เมฆกระจ่างออกแล้ว
เงาร่างสีดำนั้นใหญ่เสียจนท้องฟ้ายังดูจะรับมันไว้ไม่ไหว มันดูราวกับว่าตัวตนนี้คือยักษ์ที่มองลงมาบนกระดานหมากรุกและสามารถเห็นได้แค่ส่วนหัว คอ และบ่าเท่านั้น ส่วนอื่น ๆ ของตัวตนนี้ถูกบดบังไปโดยมหาจักรวาลดวงดาวอันกว้างใหญ่เบื้องหลังมัน
ร่างสีดำนั้นยื่นมืออกมา ทะลวงหมู่เมฆแล้วคว้าตัวกาเบรียลทันใด
กริ๊ก เพล้ง!
เสียงแหลมสูงเหมือนแก้วแตกดังขึ้น แล้วโลกทั้งใบก็เหมือนแหลกสลาย พื้นที่แตกระแหง ซากหักพังที่กำลังลุกไหม้ ท้องฟ้าที่มืดมิด และร่างของเทพจอมปลอมต่างแตกสลายเป็นชิ้น ๆ
ทัศนียภาพของทุกคนวูบไปครู่หนึ่ง แล้วพวกเขาก็พบว่าตัวเองยังอยู่ในวิหารกลาง
“เกิดอะไรขึ้น?!”
โจเซฟสะดุ้งตัวผุดลุกขึ้นแล้วสำรวจพื้นที่รอบ ๆ เขาอย่างระแวง แล้วเขาก็ค้นพบว่าตัวเองยังอยู่ในห้องชั้นในของวิหารกลาง ตรงหน้าเขาคือแท่นที่วางสายรกสีเงินที่แห้งเหี่ยว ในขณะที่ศพอันมอดไหม้ของร็อดนีย์ทอดร่างอยู่ข้าง ๆ
ทว่าผนังและสิ่งปลูกสร้างรอบ ๆ นั้นไร้ความเสียหาย และแสงจันทร์อันสงบเงียบก็ฉายผ่านหน้าต่างทรงกลมด้านบนลงมา
ในตอนนั้น โจเซฟมีเพียงความคิดเดียวในใจ…
เสียงนั่น…ฟังดูเหมือนเสียงเจ้าของร้านหลินเลยไม่ใช่เหรอ?