บทที่ 217 : เค้าโครงบัญชีโอสถ
หลินเจี๋ยถึงกับหน้าเขียว
เขาเพิ่งจะนอนหลับสบายแล้วมีสาวงามมาสอนเวทมนตร์ให้ถึงในฝัน แต่ฝันหวานนี้กลับถูกเสียงโครมครามดังขัดจังหวะและปลุกเขาตื่นขึ้นมาทันที
แล้วพอเดินลงมาชั้นล่าง ชายหนุ่มก็พบว่าประตูร้านเขาหายไปแล้ว
นอกจากประตูร้านที่หายไป ยังเกิดเหตุที่อาจเป็นการฆาตกรรมกันในเขตอาศัยของเขาด้วย แล้วฆาตกรก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือแค่เหยื่อที่นอนพะงาบ ๆ
แล้วใครจะรับได้บ้างถ้าเกิดเรื่องแบบนี้กับตัวเอง?
หยุดพูดถึงความผิดอุกฉกรรจ์ของผู้กระทำก่อน ตอนนี้หลินเจี๋ยอยากทวงคืนความยุติธรรมให้ประตูที่อยู่กับเขามาสามปีมากกว่า
พรีม่าตะลึงไปเล็กน้อยแล้วเหลือบมอง ‘แมว’ ที่ยังคงนั่งงอนอยู่ข้าง ๆ ประตูอย่างไม่ตั้งใจ…ที่เรียกมันว่าแมวนี่เป็นการเรียกให้เข้าใจง่าย ๆ เท่านั้น
พูดถึงผู้กระทำผิด…ไม่ใช่ว่าเธอโดนมันงาบไปแล้วเหรอ?
ถ้ามองเรื่องนี้กันตามจริง คนที่พังประตูเข้ามาก็คือพรีม่า
เพราะความเหนื่อยล้าจากการวิ่งของเธอบวกกับมีดที่ถูกเหวี่ยงมาส่งผลให้ร่างของเธอกระแทกเข้ากับประตูอย่างจัง ไม่เพียงทำให้บานพับของมันกระเด็นออกเท่านั้น เธอยังทิ้งรอยบุบขนาดใหญ่ไว้ด้วย
ทว่าสาเหตุหลักก็ยังคงเป็นผลมาจากการโจมตีของผู้กระทำผิดอยู่ดี ดังนั้นตัวการที่แท้จริงจึงเป็นเอลฟ์ดำนักสะกดรอยอย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่าชายหนุ่มตรงหน้าเธอยังคงไต่ถามถึง ‘ตัวการ’ อยู่
เมื่อคิดต่อ ไม่ว่าใครก็บอกได้ว่าคำถามนี้ไม่ได้ตรงตัว แต่เป็นคำถามที่มีความหมายแฝง
ความคิดของพรีม่าทำงานอย่างรวดเร็ว แล้วเธอก็ระลึกถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนที่สติของตัวเองจะดับไป แล้วในทันใดนั้นเธอก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น!
เอลฟ์ดำตนนั้นถูกจ้างมาฆ่าพรีม่า หรือก็คือที่จริงแล้วเธอคนนั้นก็ไม่ใช่สาเหตุหลักเช่นกัน และเป็นเพียง ‘เครื่องมือ’ ที่มีคนอื่นบงการอยู่ ดังนั้น ‘ตัวการ’ ที่แท้จริงก็ต้องเป็นลูกค้าที่จ้างเธอ
ในกรณีนี้ ลูกค้าที่ว่าก็คือเจโรมและพรรคพวกคนในตระกูลที่อยากทรยศวัลเพอร์กิส!
ยิ่งกว่านั้น ชายหนุ่มยังพูดถึงชื่อโบสถ์แห่งจุดสูงสุดซึ่งตรงกับการสันนิษฐานของพี่สาวของเธอด้วย
ในกรณีนี้ ต่อให้เขาจะไม่ใช่วัลเพอร์กิส แต่อย่างน้อยเขาก็ต้องเป็นประมาณผู้ส่งสาส์นหรือทูตของเธอ…สุดท้ายการทำนายก็นำพรีม่ามาที่นี่ หรือว่า…นี่คือเจตนารมณ์ของวัลเพอร์กิส?
วัลเพอร์กิสผู้ควบคุมราตรีกาลไม่ได้ทอดทิ้งผู้ได้รับการเจิมของเธออยู่ดี!
ในระหว่างบทสนทนาก่อนหน้านี้ หลังจากเจโรมได้ยินเรื่องของร้านหนังสือนี้ เขาก็ร้องเตือนเอลฟ์ดำนักสะกดรอยให้หนีไปทันที หรือชายหนุ่มตรงหน้าเธอจะเป็นยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงซึ่งแม้แต่เจโรมยังกลัวกันนะ?
ถ้ามีคนที่แข็งแกร่งขนาดนี้ช่วย พี่ต้องไม่เป็นไรแน่!
หัวใจของพรีม่าเริ่มเต้นแรง แล้วใบหน้าซีดเซียวของเธอก็เริ่มขึ้นสีจากความตื่นเต้น
“ขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะที่ช่วยชีวิตฉัน…” เธอพูดอย่างระมัดระวัง
หลินเจี๋ยขัดจังหวะเธอทันทีโดยชูมือที่ถือขวดยาถอนพิษเปล่า ๆ ของพรีม่าขึ้น แล้วพูดด้วยสีหน้าซังกะตาย “ผมไม่ได้ช่วยคุณหรอกครับ คุณต่างหากที่ช่วยชีวิตตัวเอง ผมแค่ทำแผลให้คุณเท่านั้นเอง”
เขาเอื้อมมือไปลูบหัวเด็กสาว เช็ดตราที่เขาวาดบนหน้าผากเธอด้วยเลือดสด ๆ ออกไม่ให้เหลือร่องรอย
ของอย่างคาถานี่…เปิดเผยไม่ได้หรอก
“…”
ฝ่ามืออุ่น ๆ บนศีรษะของเธอ ขวดยาเปล่าในมือเธอ และสีหน้าจริงจังของหลินเจี๋ย ทั้งหมดนี้ต่างทำให้จมูกของเธอคันยิบ
เธอรู้ตัวดีว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง และเธอก็แน่ใจว่าหลินเจี๋ยต้องรู้แน่ ๆ ว่าเธอก็รู้อยู่
เห็นได้ชัดว่าเขาช่วยชีวิตเธอไว้ แต่ก็ยังยืนกรานว่าเธอต่างหากที่ช่วยชีวิตตัวเอง นี่คือการยอมรับในความพยายามและความมุมานะของเธอ นี่คือการยอมรับในโอสถที่ตัวเองสร้าง!
นอกจากพี่สาวของพรีม่าแล้ว ไม่เคยมีใครยอมรับเธอมาก่อน…
เขาเป็นทูตผู้เมตตาและใจกว้างโดยแท้จริง!
พรีม่าเมามายไปกับการได้รับการยอมรับ แล้วจู่ ๆ ก็ตระหนักได้ถึงการสัมผัสตัวกันระหว่างเธอกับชายหนุ่มที่ไม่คุ้นเคยนี้
เธอพลันหน้าแดงแปร๊ด โบกไม้โบกมือพัลวันแล้วพูดรัวเร็วด้วยโทนเสียงแหลมสูง “ระ…ไร้สาระค่ะ! ถะ…ถ้าคุณไม่อยู่ที่นี่ ป่านนี้ฉันคะ…คงตายแล้วแน่ ๆ พะ…เพราะงั้นยังไงฉันก็ยังต้องขอบคุณค่ะ! ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ!”
สาวน้อยน่าสงสารคนนี้ไม่ได้ถูกเนื้อต้องตัวใครมานานแล้ว เธอเลือกจะปลีกวิเวกแล้วจมจ่อมอยู่แค่กับการวิจัยโอสถ พูดได้ว่าเธอ ‘ปลีกตัวจากโลก’
นอกจากมาร์กาเร็ตแล้ว เธอแทบไม่ค่อยมีโอกาสได้เข้าใกล้ใครในระยะห้าสิบเมตรด้วยซ้ำ โดยเฉพาะผู้ชาย
แล้วเมื่อเธอมาโดนลูบเป็นแมวเหมือนตอนนี้ เธอก็ประหม่าจนอยากจะหดตัวหนีเหมือนใบไมยราบที่หุบใบลงเมื่อถูกสัมผัส
“พูดช้าลงหน่อยก็ได้ครับ บอกผมก่อนดีไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?”
หลินเจี๋ยชักมือกลับ เมื่อเห็นว่าพรีม่ามีท่าทีสับสนพูดจาฟังไม่ได้ศัพท์ เขาก็พูดต่ออย่างยอมแพ้ “ช่างมันเถอะครับ ให้ผมถาม คุณตอบดีกว่า พยายามตอบให้กระชับแล้วตรงไปตรงมาที่สุดนะครับ”
พรีม่าพยักหน้า…
แต่เดิมแล้วหลินเจี๋ยอยากจะ ‘นั่งท่าประจำของผู้บัญชาการอิคาริ ’ เหมือนเดิม แต่หลังจากตระหนักได้ว่ามือเขายังเลอะเลือดอยู่ เขาก็เปลี่ยนไปนั่งโดยวางศอกลงบนเข่าแทน
“คุณชื่ออะไรครับ? แล้วก็ตัวตนของคุณด้วย?” เขาคิดสักครู่แล้วถามออกมา
“พรีม่าค่ะ พรีม่า ซานดร้า” พรีม่าตอบแต่ละคำถามอย่างจริงจัง “ฉันเป็นลูกสาวคนที่สองของลูกชายคนรองของผู้นำตระกูลซานดร้าค่ะ พี่สาวของฉันมาร์กาเร็ตเป็นหัวหน้าฝ่ายเภสัชกรรมที่สมาคมแห่งสัจธรรมค่ะ”
หลินเจี๋ยคิดสักนิดก่อนจะตอบกลับทันที “ผมชื่อหลินเจี๋ย เจ้าของร้านหนังสือนี้ครับ”
อา…เธอมาจากตระกูลซานดร้า… คนจากตระกูลสูงศักดิ์โผล่มาอีกแล้ว อย่างน้อยในครั้งนี้ก็ไม่ใช่ทายาท แต่เป็นเด็กน่าสงสารที่ถูกทิ้ง และดูเหมือนจะโดนหมายหัวด้วย
แน่นอนว่าเหตุผลที่หลินเจี๋ยรู้จักตระกูลนี้ไม่ใช่เพราะเขารอบรู้แต่อย่างใด แต่เป็นเพราะว่า ‘ซานดร้าเภสัชกรรม’ นั้นเป็นที่รู้จักกันดีแม้ว่าคนตระกูลนั้นจะพยายามทำตัวเงียบ ๆ ก็ตาม หลินเจี๋ยเคยกระทั่งได้ยินเรื่องซุบซิบเกี่ยวกับพวกเขามาก่อนด้วย
พวกเขาเป็นองค์กรที่มีกำไรมหาศาลจากการร่วมมือกับหอการค้าแอชมาอย่างเนิ่นนาน ส่วนใหญ่จะเป็นการจัดหายาคุณภาพสูงและยาแพง ๆ ให้กับร้านขายยา โรงพยาบาล หรือกระทั่งเหล่าขุนนางต่าง ๆ
แล้วนี่ก็เป็นเหตุผลที่อธิบายได้อย่างง่ายดายว่าทำไมพรีม่าถึงมียาแก้พิษติดตัว
เธอเกิดมาในตระกูลนี้ และกระทั่งเป็นเภสัชกรเองด้วย
โอ้ แล้วเธอก็พูดเน้นถึงพี่สาวเธอด้วย เป็นไปได้มากว่าเธอจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้
ดังนั้นเขาจึงถามต่อ “พี่สาวของคุณ มาร์กาเร็ต เธอน่าจะเป็นเหตุผลที่คุณถูกหมายหัวใช่ไหมครับ?”
พรีม่ากัดริมฝีปากแล้วพยักหน้า “เธอถูกลอบโจมตีแล้วหายตัวไปค่ะ นี่ต้องเป็นฝีมือของเจโรมกับพวกของเขาแน่ พวกเขาอยากกำจัดเสี้ยนหนามเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองค่ะ”
“ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้าง แต่สถานการณ์ต้องแย่แน่ ๆ ค่ะ! ฉันไม่แน่ใจเรื่องความขัดแย้งในตระกูลเท่าไหร่ แต่…แต่ฉันต้องช่วยพี่สาวของฉันค่ะ!”
หลินเจี๋ยคิดในใจ ฉันก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความขัดแย้งในตระกูลเธอเหมือนกัน…พวกคนจากตระกูลชั้นสูงอย่างพวกเธอนี่คนละชั้นกันจริง ๆ เลยนะ…ลอบโจมตีเอย ลอบสังหารเอย สารพัด
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ที่สำคัญกว่านั้นคือประตูร้านฉันพัง!
“แล้วตัวการที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารคุณเมื่อกี้ก็คือเจโรมกับพวกของเขา ผมพูดถูกไหมครับ?” หลินเจี๋ยพูดต่อด้วยรอยยิ้มเมตตา “ซึ่งก็หมายความว่า พวกเขาคือคนที่พังประตูร้านผมด้วยสินะ”
เมื่อสัมผัสถึงการเปลี่ยนท่าทีของชายหนุ่มตรงหน้าเธอได้ พรีม่าก็กลืนน้ำลายอย่างประหม่าแล้วผงกหัวรัว ๆ
“เอาล่ะ ผมร่วมงานกับสมาคมแห่งสัจธรรมอยู่ เราเริ่มสืบจากตรงนั้นกันเถอะ”
หลินเจี๋ยลุกขึ้นถูเลือดแห้งกรังออกจากมือตัวเอง “คุณเอนตัวนอนรอผู้ช่วยของผมตื่นก่อนแล้วกันนะครับ อ้อ…แล้วดูเหมือนคุณจะกลับไปไหนไม่ได้แล้วด้วย ผมว่าคุณจะนอนห้องเดียวกับเธอไปก็ได้นะครับ”
“ส่วนตอนนี้…” หลินเจี๋ยมองไปรอบ ๆ แล้วหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาจากชั้นวาง
“อ้อ ในเมื่อร้านนี้ไม่มีสิ่งบันเทิงอะไร ถ้าคุณเบื่อ ๆ จะอ่านหนังสือเล่มนี้ฆ่าเวลาก็ได้นะครับ”
หลังจากครุ่นคิดอีกสักพัก เจ้าของร้านหลินก็คาดว่าเธอน่าจะเป็นเด็กเรียนที่ชอบหนังสือที่เป็นวิชาการหน่อย แล้วเมื่อพิจารณาถึงตัวตนของเธอแล้ว สุดท้ายเขาก็เลือกหนังสือที่ชื่อ ‘เค้าโครงบัญชีโอสถ’[1] มาให้เธอ
หวังว่าหนังสือเล่มหนาขนาดนี้จะช่วยพรีม่าฆ่าเวลาได้นะ หลินเจี๋ยคิด
[1] เค้าโครงบัญชีโอสถ หรือ เปิ๋นเฉ่ากังมู่ เป็นตำราเภสัชที่เขียนโดย หลี่สือเจิน หมอสมุุนไพรจีนในสมัยราชวงศ์หมิง เนื้อหาว่าด้วยสมุนไพรจีน สัตว์ และร่างกายมนุษย์ เป็นตำราที่ใช้เวลาค้นคว้าเรียบเรียงกว่ายี่สิบปี ถือได้ว่ามีคุณูปการใหญ่หลวงต่อวงการแพทย์ของจีนรวมไปถึงแขนงอื่น ๆ อีกด้วย