บทที่ 236 : เภสัชศึกษา
มังกรเหรอ?
รอยยิ้มของหลินเจี๋ยค้างบนใบหน้า นี่มันอีหยังวะครับ?
มังกรมีสรรพคุณทางยา? หลี่ฉือเจินใช้ปรัชญานอกรีตพรรค์นี้ด้วยเหรอ?
แทนที่จะส่งเค้าโครงบัญชีโอสถให้ หรือเราเผลอหยิบผิดเอาหนังสือกติกาเกม D&D ให้เธอแทนวะเนี่ย?
หรือคุณหนูน้อยคนนี้พยายามต้มแกงหม้อใหญ่ใส่เราอยู่?
ไม่สิ…เดี๋ยวก่อน!
หลินเจี๋ยมองพรีม่าที่กะพริบตาปริบ ๆ อยู่หลายครั้งอย่างไร้เดียงสาแล้วชื่นชมความงามของดวงตาใสซื่อไร้ที่ติคู่นั้นที่กระหายความรู้
ความกระหายความรู้หลอกกันไม่ได้ ดังนั้นเธอไม่ได้กำลังแกล้งเขาอยู่แน่ ๆ
เมื่อพิจารณาถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมแล้ว เธอน่าจะแปลบางอย่างผิดแหง ๆ
ในขณะที่หลินเจี๋ยยังคงรอยยิ้มแข็ง ๆ เอาไว้ เขาก็เริ่มระลึกถึงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องในเค้าโครงบัญชีโอสถที่เขาเคยอ่านมาเมื่อหลายปีก่อน
ความทรงจำของหลินเจี๋ยต่อเค้าโครงบัญชีโอสถนั้นพร่ามัวไปตามกาลเวลา เพราะชายหนุ่มใช้มันเป็นหนังสืออ่านเล่นตั้งแต่สมัยเรียน โชคดีที่เขายังคงจำเนื้อหาบางอย่างได้ในใจ
มุมปากของเขากระตุกเมื่อตัวเองตระหนักว่ามี ‘มังกร’ อยู่ในหมวดหมู่ยาจริง ๆ
อย่างนี้นี่เอง…
ปรัชญาของหลี่ฉือเจินนอกรีตจริง ๆ ด้วยแหละ
เค้าโครงบัญชีโอสถเป็นหนังสือที่มีการเรียบเรียงไว้อย่างดีมาก
ยกตัวอย่าง มันมีการจัดเรียงยาตามธาตุทั้งห้า คือน้ำ ไฟ ดิน และอื่น ๆ และแน่นอนว่าที่สำคัญที่สุด มันมีการแยกประเภทไว้สำหรับสมุนไพรด้วย
และมันก็มีหมวดหมู่สำหรับพืชที่แยกย่อยเป็นหมวดย่อยอย่างเมล็ดธัญพืช ใบไม้ และผลไม้ด้วย ในขณะที่หมวดหมู่ของสัตว์แตกสาขาออกไปเป็นหมวดหมู่ที่ละเอียดกว่าอย่างแมลง สัตว์มีเกล็ด และอื่น ๆ…
แล้วเจ้า ‘มังกร’ นี่ก็อยู่ในหมวดหมู่ ‘สัตว์มีเกล็ด’
ทว่ามันไม่ใช่ทั้งมังกรในตำนานของยุโรปหรือไดโนเสาร์ใด ๆ (แน่นอน ไม่มีใครรู้วิธีคิดของหลี่ฉือเจินหรอก) แต่มันหมายถึงฟอซซิลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอย่างช้าง แรด ม้า หรืออะไรทำนองนั้นต่างหาก
หลินเจี๋ยเศร้าใจนิด ๆ เขาส่งสัญญาณปลอมให้ตัวเองแท้ ๆ หลังจากที่ตัวเองใช้ชีวิตในต่างโลกนี้อยู่นาน ภาพแรกที่เข้ามาในใจเขาก็กลายเป็นมังกรมีปีกไปเสียแล้ว
มันเป็นแค่การตีความผิดเพี้ยนจริง ๆ
หลินเจี๋ยได้พบต้นตอของปัญหาแล้ว แต่ปัญหาก็ยังอยู่
แล้วเขาจะอธิบายให้เด็กนี่ฟังยังไงล่ะ?
คำว่ามังกรคงจะเป็นสมมติฐานของคนโบราณโดยอิงจากความเข้าใจของพวกเขาต่อสัตว์มีกระดูกสันหลัง แน่นอนว่าหลินเจี๋ยสามารถขึ้นบรรยายและแนะนำหนังสืออ้างอิงต่าง ๆ นานา รวมไปถึงตัวอย่างงานวิจัยได้เป็นชั่วโมง ๆ จนสุดท้ายก็สรุปได้ว่า ‘มังกร’ ในที่นี้ก็คือฟอซซิลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนั่นเอง
แต่สำหรับคนในโลกนี้ มังกรคือสัตว์มีกระดูกสันหลังสี่ขาที่มีเขาบนหัว ปีกบนหลัง และหางที่ด้านหลัง
มันเป็นพื้นที่การวิจัยที่ไม่เคยถูกสำรวจ ทำให้ยากที่หลินเจี๋ยจะอธิบายทฤษฎีของเขาได้
“คุณหลินคะ?”
พรีม่ารอคำตอบอย่างอดทนในขณะที่เธอสังเกตได้ว่าชายหนุ่มกำลังอยู่ในสถานะย้อนระลึกถึงความหลัง
ราวกับคำว่า ‘มังกร’ ย้ำเตือนเขาถึงบางอย่าง พรีม่าคิดเช่นนั้น
การมีอยู่ของมังกรโบราณนั้นสามารถย้อนไปได้ถึงยุคสมัยของแม่มดบรรพกาล ในยุคแห่งความโกลาหลนั้น คุณหลินน่าจะผ่านอะไรมามากมาย
หลังจากง่วนกับการคิดทบทวนอย่างลึกซึ้ง สุดท้ายหลินเจี๋ยก็สะดุ้งกลับมายังความเป็นจริง เขาเหลือบมองพรีม่าอย่างเขิน ๆ แล้วกระแอมให้คอโล่ง “ขอโทษครับ พอดีนั่นเตือนผมถึงความหลังในอดีตนิดหน่อย”
ลึก ๆ แล้ว หลินเจี๋ยมุ่งมั่นมากที่จะคิดหาคำอธิบายแล้วดำน้ำผ่านไป
เพราะถึงอย่างไร อาจารย์หลินผู้ยิ่งใหญ่ ปรมาจารย์ซุปไก่อย่างเขาจะถูกแม่เด็กน้อยนี่ข่มขวัญได้ยังไง? ชื่อเสียงเขาเสียหายหมดพอดี
ทันใดนั้น คิ้วของหลินเจี๋ยก็เลิกขึ้น แล้วเขาก็กะพริบตาปริบ ๆ อยู่หลายครั้ง
เดี๋ยวก่อนนะ…
ถึงเขาจะอธิบายหลักทฤษฎีไม่ได้ แต่เขาก็มีฟอซซิลมังกรอยู่ในครอบครองจริง ๆ นี่หว่า!
ฟอซซิลหัวใจมังกรที่เชอร์รีให้มายังถูกเก็บไว้อย่างดีที่ชั้นใต้ดินของร้านเขา
หลังจากหลินเจี๋ยดูดซับพลังพิเศษที่อยู่ในนั้น หัวใจก็เหี่ยวลงแล้วกลายเป็นก้อนหินไป
แล้วทำไมเราถึงไม่สร้างประโยชน์สูงสุดจากความเข้าใจผิดนี่กันล่ะ!
ในเมื่อมันกลายเป็นก้อนหินไปแล้ว งั้นก็บดมันไปทำยาเลยสิ อย่างมากมันก็แค่ทำให้คนกินปวดท้อง และคงไม่สร้างเรื่องอะไรร้ายแรง
ยิ่งกว่านั้น พรีม่ายังมีความเชี่ยวชาญในการวิจัยเภสัชศาสตร์และต้องมีความรู้มากกว่าเขาแน่ ๆ ดังนั้นเธอจึงไม่น่าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า…
ถ้าสุดท้ายแล้วมันไม่มีผล หลินเจี๋ยก็สามารถพูดได้ว่าวัตถุดิบไม่ได้รับการเก็บรักษาอย่างเหมาะสม
หลินเจี๋ยกระแอมแล้วอธิบาย “จริงครับที่มังกรจริง ๆ ไม่มีอยู่แล้ว แต่ฟอซซิลของพวกเขายังอยู่จนทุกวันนี้ นั่นคือส่วนที่สามารถใช้เพื่อสรรพคุณทางยาได้ครับ”
พรีม่าสัมผัสบางอย่างในน้ำเสียงของเขาได้และตัดสินใจคุยให้จบเรื่อง เธอจึงจ้องมองเขาด้วยแววตาคาดหวังและตื่นเต้น
และเป็นเช่นนั้นจริง หลินเจี๋ยแย้มยิ้มอย่างเยือกเย็นแล้วพูดแบบไม่ถือสา “ที่จริงแล้วผมก็มีฟอซซิลหัวใจมังกรที่หายากอยู่ชิ้นหนึ่ง ผมยินดียกมันให้คุณนะครับ พอดีว่านอกจากปล่อยมันเป็นที่สะสมฝุ่นที่ชั้นใต้ดิน มันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับผมเลยด้วย”
“ขอบพระคุณมากค่ะ! ฉ…ฉันไม่รู้จะตอบแทนคุณยังไง ถ้าฉันสามารถค้นพบการค้นพบใหญ่อะไรได้ ฉันจะส่งโอสถให้คุณแน่นอนถ้าคุณต้องการนะคะ!” พรีม่าที่เต็มไปด้วยความดีใจหน้าแดงอย่างตื่นเต้น
หลินเจี๋ยสังเกตได้ว่าแม่สาวน้อยที่ปกติเรียบร้อยขี้อายนี้จะตื่นเต้นดี๊ด๊าเป็นพิเศษถ้าการวิจัยเภสัชกรรมถูกยกมาเกี่ยวข้อง
เฮ้อ…โตขึ้นมาเป็นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องแน่ ๆ
“ถึงตอนนั้น ผมก็ต้องรบกวนคุณด้วยแล้วกันครับ” หลินเจี๋ยพูดขำ ๆ
พรีม่าเปลี่ยนกลับไปเป็นโหมดเรียบร้อยขี้อายราวกับใบไมยราบอีกครั้ง แล้วเธอก็ก้มหน้าก้มตาพึมพำ “ไม่ค่ะ ไม่มีปัญหาเลย…”
“เอาล่ะ ปัญหาจบแล้ว กลับไปที่หนังสือได้เลยครับ มุ่งเป้าที่การฟื้นฟูตัวเอง ส่วนการสืบเรื่องพี่สาวคุณ ให้ผมจัดการแล้วกันนะครับ” หลินเจี๋ยพูดอย่างเป็นมิตร
พรีม่านิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ความรู้สึกขอบคุณจะถาโถมเข้ามาในใจเธอ แล้วเธอก็รีบซุกหน้าแดง ๆ ของเธอไปหลังหนังสือ เธอสูดหายใจเอากลิ่นเฉพาะตัวของหนังสือเข้าไปลึก ๆ ขณะกล่อมตัวเองให้ใจเย็นลง ก่อนที่จะตั้งหน้าตั้งตาศึกษาต่อ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง…
พรีม่าก็ยกมือขึ้นอย่างใจกล้า
“ครับ นักศึกษาพรีม่า เชิญครับ” หลินเจี๋ยตอบกลับอย่างเป็นธรรมชาติ
พรีม่าโพล่งคำถามที่คาใจเธอมาตลอดนับแต่เริ่มอ่านหนังสือออกมา “การใช้ของอย่างกะโหลกศีรษะมนุษย์ สายรก และเถ้ากระดูกเพื่อทำยาจะชักนำให้เกิดประเด็นอะไรขึ้นมาไหมคะ?”
เห็นได้ชัดว่าเธอลังเล เพราะนี่คือหัวข้อที่ละเอียดอ่อนสุดยอด
มันราวกับว่าเธอกำลังตั้งคำถามในคุณธรรมและจริยธรรมของหลินเจี๋ย
แต่เจ้าของร้านหลินนั้นเป็นมิตรสุด ๆ และเหนือทุกสิ่ง เขาได้รับความเชื่อใจสุดหัวใจจากผู้สืบทอดของวัลเพอร์กิส มูเอน และเพราะเช่นนั้นพรีม่าจึงตัดสินใจเชื่อใจเขาเช่นกัน
และการเชื่อใจอย่างสุดหัวใจนั้นก็ควรเปิดเผย อย่าปิดบังอะไรต่อกัน
…???
มันมีเรื่องเทือกนี้อยู่ด้วยจริง ๆ เหรอ?
หลินเจี๋ยคุ้ยความทรงจำของเขา พยายามนึกให้ออกว่าชิ้นส่วนพวกนี้ถูกบันทึกไว้ในหลืบไหนของเค้าโครงบัญชีโอสถ
กระดูกหุ้มสมอง (กะโหลกศีรษะ) เซลล์มนุษย์ (หรือสายรกมนุษย์) และธุลีเหนือเตาฌาปนกิจ (เถ้ากระดูก)
พวกมันถูกบันทึกไว้ว่าเป็นยา และถูกบันทึกไว้กระทั่งรสชาติและโรคภัยที่พวกมันรักษาได้…ยกตัวอย่างเช่น กระดูกหุ้มสมองสามารถทำให้กระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวา และจากหลักเหตุผลทางเภสัชกรรมจีนแล้ว การบำรุงส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายสามารถทำได้โดยการกินส่วนหนึ่งส่วนเดียวกันของสัตว์…
หลินเจี๋ยถือจรรยาบรรณนักวิชาการที่จะไม่พล่ามเรื่องที่เขาไม่เชี่ยวชาญ ดังนั้นเขาจึงพูดอย่างจริงจัง “สมมุตินะครับว่าพวกมันถูกใช้เป็นยาและได้ผลตามสรรพคุณที่ว่ามาจริง ๆ…ถ้าแบบนั้นก็คงไม่มีประเด็นอะไรถ้าได้พวกมันมาอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม แต่ถ้าของพวกนี้ไม่มีคุณสมบัติที่จับต้องได้ แล้วถูกใช้แค่เพื่อสนองความต้องการผิดจารีต เช่น แค่ใช้เพราะอยากรู้ กระหายอยากจะล่า ถ้าแบบนั้นเราก็ควรหยุดใช้วัตถุดิบพวกนั้นครับ ชัดเจนไหมครับ?”
“สิ่งสำคัญที่สุดคือ คุณต้องมีจิตสำนึกที่ชัดเจนครับ ว่าคุณสามารถสร้างผลงานเชิงบวกให้กับโลก แล้วผลิตยาที่มีสมรรถภาพมากขึ้นเพื่อสร้างคุณค่าของตัวคุณเองหรือเปล่า?”
เจ้าของร้านหลินกลับสู่การเทศนาตามปกติแล้วเปลี่ยนเรื่องพูดด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง “คุณต้องเข้าใจนะครับว่าคุณค่าของทุกสิ่งเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ตลอด สมุนไพรธรรมดา ๆ ต้นหนึ่งอาจกลายเป็นสมบัติประเมินค่าไม่ได้ในมือคุณ และความแตกต่างนั้นอยู่ที่ทุกความพากเพียรที่คุณทำมาจนถึงตอนนี้ครับ”
พรีม่าพยักหน้า ความสับสนที่เธอมีเริ่มหายไปแล้ว
ในที่สุดเธอก็เข้าใจ!
การเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์ซึ่งเกิดขึ้นตลอดเวลาที่ได้ประสาทอำนาจอันแข็งแกร่งให้กับตัวตนชั้นสูงต่าง ๆ และเลือดเนื้อ รวมไปถึงกระดูกของพวกเขาก็จะมีคุณค่าสูงขึ้นเรื่อย ๆ จากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเสมอ
นี่คือคุณประโยชน์ที่ตัวตนชั้นสูงเหล่านั้นมอบให้ผู้คนอื่น ๆ
และพวกเธอในฐานะเภสัชกร คือผู้ที่สร้างผลสรุปของพลังนี้ขึ้นมา