บทที่ 288 : เจ้าดำตัวอ้วน
ร้านหนังสือทิวลิปตั้งอยู่ในศูนย์การค้าที่บริษัทโรลล์เพิ่งสร้างขึ้นใหม่
ร้านนี้เพิ่งได้รับการปรับปรุงใหม่ ยังคงมีเศษขยะกองอยู่ที่ประตู และภายในร้านก็มีลังกระดาษที่เต็มไปด้วยหนังสือมือสองกองระเกะระกะ ดูรกพอตัว
เพราะว่าร้านหนังสือมือสองร้านนี้เพิ่งย้ายมา มันจึงมีของมีค่าที่ต้องจัดเก็บไม่มากนัก ส่วนหนังสือมือสองล้ำค่าจะถูกล็อกไว้ในตู้
ดังนั้น ธีโอดอร์ซึ่งกำลังจะออกจากร้านไปจึงไม่ได้คาดฝันเลยว่า ไม่นานหลังจากที่เขาก้าวเท้าออกจากร้าน นกพิราบสีเทาตาแดงที่เกาะอยู่บนหลังคาจะโฉบเข้าไปในร้านหนังสือทิวลิป ร้อง ‘กรู้’ สองครั้ง แล้วกลายร่างเป็นมนุษย์
และในเงามืดใต้เท้านกพิราบนั้น ร่างสีดำก็ ‘นูนขึ้นมา’ แล้วก็เปลี่ยนเป็นมนุษย์ด้วยเช่นกัน
คนทั้งสองนี้ คนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีเทา มีหมวกคลุมผมสีซีดและหน้าบูดบึ้ง ถือไม้เท้าสั้นหัวหมาป่าสีทองในมือ
ส่วนอีกคนสวมเสื้อรัดรูปสีดำ ใบหน้าของเขาถูกซ่อนอยู่ในความมืด ข้อมือและข้อเท้าพันด้วยผ้าพันแผล สวมปลอกนิ้วโลหะแหลมคม และมีสายหนังร้อยกริชเรียงเป็นแถวคล้องพาดตามร่างกายของเขา และดาบสีดำสามเล่มที่มีความยาวต่างกันถูกตรึงไว้ที่เอว
หากมีคนจากสมาคมแห่งสัจธรรมอยู่ที่นี่ พวกเขาจะรู้ทันทีว่าสองคนนี้เป็นอาชญากรที่ไม่ธรรมดาและเป็นทหารรับจ้างที่ฉาวโฉ่ในบัญชีค่าหัว
คนแรกชื่อวาลลิส ดรูอิดระดับสัตว์ประหลาดจากตระกูลซาพีร์ผู้ใช้โทเทมหมาป่า เชี่ยวชาญในคาถาอัญเชิญและคาถาแปลงร่าง
ส่วนรายหลังคือหนึ่งใน ‘มือสังหารเงา’ อันเลื่องชื่อ นามว่า ‘ลูอิส’ ที่เคยลอบสังหารฆาตกรระดับภัยพิบัติมาแล้ว เขาเชี่ยวชาญศาสตร์การเร้นกายอย่างมาก
วาลลิสมองบรรดาลังกระดาษในร้านหนังสือทิวลิปแล้วกวาดตามองรอบ ๆ อย่างเร็ว ๆ ไปครั้งหนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “ไม่อยู่ที่นี่ ดูเหมือนเราจะมาช้าไป”
ลูอิสไม่ได้พูดอะไร เขาเดินเข้าไปหยุดที่ข้างกล่องใบหนึ่งที่เปิดอยู่ แล้วจ้องเหมือนกำลังหาร่องรอย
วาลลิสก็เดินเข้ามา ยกไม้เท้าในมือขึ้นโบกและมีแสงสีฟ้าอ่อนปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา จากนั้นเขาก็ก้มหัวลงแล้วพูดว่า “เขาออกไปพร้อมกับหนังสือเล่มนั้น”
เขาเดินตามรอยเท้าสีฟ้าอ่อนที่ทอดยาวจากกล่องกระดาษแข็งออกไปด้านนอก และมองขึ้นไปเห็นร้านหนังสือเก่าที่ถนนฝั่งตรงข้าม
“นั่นมัน…ร้านหนังสืออีกร้านเหรอ?”
วาลลิสลังเลเล็กน้อย เขาเคยได้ยินข่าวลือเรื่องร้านหนังสือนิรนามที่อยู่ในละแวกนี้มาบ้างแล้ว แต่เนื้อหาข่าวก็มีไม่มากและไม่ได้สำคัญอะไร แถมส่วนใหญ่ก็พูดเกินจริงไปมาก…ไม่น่าเชื่อเอาเสียเลย
แต่คนที่คิดขโมยหนังสือที่นั่นมีความกลัวเล็กน้อย และไม่กล้าลงมือ
ยิ่งกว่านั้น สายลับที่เขาวางไว้ในตระกูลแชปแมนยังเคยได้ยินเรื่องของแม่มดแชปแมนมาบ้าง ว่ากันว่าเธอได้ความสามารถดังกล่าวจากการสนับสนุนของร้านหนังสือ
นี่ทำให้เขาลังเลพอสมควร
“ทำไมเราไม่รอดักกระต่ายที่โพรงไม้ รอจนกว่าเขาจะออกมา แล้วจับเขามาทรมานเพื่อสอบปากคำล่ะ…”
วาลลิสเพิ่งเสนอความเห็นนี้ออกมา แต่แล้วลูอิสที่อยู่ใกล้ ๆ ก็พูดแดกดัน “นายคิดว่าเขาจะออกมาจากที่นั่นพร้อมหนังสือเหรอ?”
“นี่มัน…”
วาลลิสขมวดคิ้ว ในใจคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะเดินดุ่ม ๆ เข้าไปฉกมันมาจากร้านหนังสือนั้นโดยตรงหรอกใช่ไหม?
ถ้าเกิดว่าร้านหนังสือเป็นไปตามข่าวลือจริง ๆ…
“นายไม่มีทางเลือกหรอก” ลูอิสเปลี่ยนเป็นเงาแล้วหลอมรวมเข้าไปในเงาอื่น ๆ “อย่าลืมนะ องค์กรออกภารกิจให้เรานำหนังสือเล่มนั้นกลับไป ถ้าทำไม่ได้ นายก็รู้ว่าจะเป็นยังไง”
น้ำเสียงไม่แยแสของเขาลอยอ้อยอิ่งบนอากาศ “ยิ่งไปกว่านั้น นายยังทำให้ฉันผิดหวังด้วย การแสดงออกของนายเหลาะแหละมาก การพิจารณารับนายเข้าองค์กรคงต้องเลื่อนไปก่อน”
วาลลิสเองก็อยากพูดบางอย่าง แต่เขาเห็นลูอิสเข้าไปในร้านหนังสือแล้ว
เขากัดฟันแล้วเปลี่ยนร่างเป็นนกพิราบอย่างเร่งรีบ จากนั้นก็บินไปเกาะที่ชายคาร้านหนังสือ แล้วเขาก็ทันเห็นว่าเงาของลูอิสเปลี่ยนรูปร่างไป มันหลอมรวมเข้ากับเงามืดระหว่างชั้นหนังสืออย่างรวดเร็วเพื่อเตรียมลอบโจมตี
แต่ทันใดนั้น เงาก็ดูเหมือนจะเดือดพล่านขึ้นมา…
ดูเหมือนจะมีคนบางคนกำลังดิ้นรนอย่างหนักอยู่ข้างใน
—
ในร้านหนังสือ หลินเจี๋ยกำลังครุ่นคิด
ในเมื่อสมุดบันทึกนี้มาโผล่ในเมืองนอร์ซินเขตล่าง แถมยังเวียนไปหลายต่อหลายที่ก่อนจะมาถึงมือเรา นี่มันคงอธิบายได้ว่าผู้เขียนบันทึกนี้มีการติดต่อกับต่างโลกแล้วจริง ๆ การวิจัยของเขาไม่ใช่ความเท็จ และเนื้อหาของสมุดบันทึกที่ไม่รวมการขีดเขียนไร้สาระพวกนั้นก็เป็นความจริง
ทว่า เพราะความคิดอุปทานและวัฒนธรรมอาซีร์ที่แบ่งออกเป็นยุคต่าง ๆ เรากลับไม่เคยคิดเลยว่าทำไมโลกที่เกือบจะต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงยังคงใช้ตัวอักษรจีนและอังกฤษเป็นภาษาหลักเหมือนแต่ก่อน และแม้แต่รายละเอียดรวมไปถึงโครงสร้างของแต่ละตัวอักษรก็ไม่ได้ต่างจากโลกเลย
ดังนั้น…
หลินเจี๋ยมองสมุดบันทึกที่เปื้อนเลือดในมือ ดวงตาของเขาจับจ้องนิ่ง จิตสำนึกส่วนตัวของเขาถูกดัดแปลงตั้งแต่ที่ข้ามโลกมาจริง ๆ เหรอ?
เหมือนกับมีการเปิดระบบแปลภาษาที่จะเปลี่ยนอักขระที่อ่านไม่ออกให้เป็นภาษาที่เขาเข้าใจได้โดยตรง
เห็นได้ชัดว่ามีเพียงคนเดียวที่สามารถบรรลุ ‘ความสำเร็จอย่างงดงาม’ ดังกล่าวได้อย่างง่ายดายราวใช้มนตร์คาถา และได้ ‘ช่วย’ หลินเจี๋ยในการดำรงอยู่ที่อาซีร์…
เจ้าดำ?
หลินเจี๋ยเลิกคิ้ว เงยศีรษะขึ้นมองข้ามไหล่ของธีโอดอร์โดยไม่รู้ตัว และพบว่ากลางชั้นหนังสือที่อยู่ตรงข้าม ในเงาของช่องว่างลาดแคบ หลังจากดิ้นอย่างน่าขนลุกอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ปรากฏเงามืดดูคล้ายมนุษย์ที่มีเพียงร่างกายส่วนบน
ราวกับว่ามีคนล่องหนยืนอยู่ตรงนั้น…
ในตอนนี้ เงามืดพยักหน้าอย่างสุภาพ จากนั้นยกมือขึ้นโบกซ้ายขวาเหมือนจะพูดว่า ‘ด้วยความยินดี’
…นี่ก็เป็นสวัสดิการของการเดินทางข้ามโลกด้วยหรือเปล่านะ?
หลินเจี๋ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขารู้สึกว่าจะเข้าใจความหมายของเจ้าดำแล้ว และสีหน้าของเขาก็อ่อนลงเล็กน้อย
นอกจากนี้…ถ้าชายหนุ่มไม่เข้าใจภาษาของต่างโลกหลังจากข้ามมาแล้ว สถานการณ์ของเขาเมื่อสามปีที่แล้วคงแย่กว่านี้ อย่าว่าแต่ขายหนังสือประทังชีพเลย แม้แต่การสื่อสารกับผู้คนก็จะเป็นปัญหาด้วย
แม้ว่าจะไม่ได้ขาดเจ้าของภาษามาเป็นแหล่งค้นคว้าเหมือนกับเจ้าของบันทึกนี้จนเดินเข้าสู่ทางตันซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วเกิดเป็นความเข้าใจผิดอย่างสมบูรณ์ก็ตาม และเขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรียนมาตั้งนานเพื่ออะไร
แต่อย่างน้อย หลินเจี๋ยก็อาจต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งปีกว่าจะสื่อสารได้โดยปราศจากอุปสรรค
เขาก็เคยบ่นอยู่บ่อย ๆ ว่าเจ้าดำเป็นผู้ริเริ่มขุดหลุมฝังเขาอยู่ และหลังจากทำตามความปรารถนาของเขาแล้ว ตัวเองก็ถูกพาข้ามมายังอาซีร์ จากนั้นเจ้าดำก็หายตัวไปโดยไม่ได้ให้คำอธิบายหรือเป้าหมายที่ต้องทำเพื่อตอบแทนเลย
นี่ทำให้หลินเจี๋ยเคยคิดว่าราคาของการเติมเต็มความปรารถนาของเขาคือ ‘การถูกเนรเทศไปยังต่างโลก’
ทว่าเขาไม่คิดเลยว่า ‘บริการหลังการขาย’ จะถูกส่งมอบให้เขาแล้วมาตั้งแต่ต้น
ผมใส่ความนายผิดจริง ๆ เจ้าดำ!
และถ้าลองคิดดูอีกครั้ง ภาษาระหว่างโลกและอาซีร์มันมีความแตกต่างกันอยู่ ซึ่งหมายความว่าลูกค้าของเขาไม่ควรจะเข้าใจหนังสือที่เขานำมาเลย
แต่ที่จริงแล้ว ไม่ใช่แค่พวกเขาเข้าใจ พวกเขายังหารือมันกับหลินเจี๋ยอย่างมีความสุขสุด ๆ เลยด้วย
นี่หมายความว่าอย่างไร?
นี่หมายความว่าเจ้าดำไม่ได้ทำการปรับปรุงระบบภาษาของหลินเจี๋ยเพียงอย่างเดียว แต่ยังปรับปรุงการสื่อสารผ่านหนังสือของเขาให้คนจากต่างโลกอ่านเข้าใจด้วย ทำให้หลินเจี๋ยขายหนังสือได้สะดวก…
ช่างคิดและพิถีพิถันดีจริง ๆ…
หลินเจี๋ยพลันแถลงไขอย่างสมบูรณ์ แล้วเขาก็แสดงรอยยิ้มเข้าอกเข้าใจ
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่รู้ว่าทำไม เขาถึงรู้สึกว่าเจ้าดำวันนี้ถึงดูอ้วนขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย?