ไม่ต้องห่วง นอนหลับฝันดีนะครับ หลังจากที่ทักทายกันแบบนั้นแล้วมูคยอมก็วางสายและจ้องมองจอโทรศัพท์
ที่มืดสนิท พอจบการสนทนาและแตะหน้าจอดูก็พบว่าติดรหัสผ่าน จึงทำได้แค่รับสายโทรศัพท์และไม่สามารถใช้ฟังก์ชันอื่นได้
ครอบครัวที่มีน้องสาวที่เรียนเก่ง อีกทั้งยังดูสดใสและเข้มแข็ง และแม่ที่ดูเหมือนจะพึ่งพาลูกชาย แต่ก็รู้สึกได้ถึงความงดงาม ความรักและความผูกพันที่สั่งสมมายาวนานไม่น้อยจากคำพูดและน้ำเสียง เหมือนครอบครัวที่รักใคร่กันดี
มูคยอมนึกถึงตอนที่เจอฮาจุนเป็นครั้งแรก ใบหน้าขาวราวกับกระดาษที่เหมือนจะเกิดรอยยับได้ง่ายๆ หากออกแรงเพียงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้รู้สึกประหม่ากับการเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวที่รักใคร่กลมเกลียวกันนี้ แต่ก็เป็นเพียงแค่ความรู้สึกเท่านั้น ไม่ได้แสดงอะไรบางอย่างออกมาให้เห็น
“…คิมมูคยอม?”
ในตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาผ่านช่องประตูที่เปิดเอาไว้เล็กน้อย ฮาจุนคงจะตื่นแล้ว มูคยอมลุกขึ้นเปิดประตู
และเดินเข้าไปในห้อง
ฮาจุนไม่ได้เปิดไฟและยืนเหมือนกับกระต่ายป่าที่หลงทางอยู่กลางห้องนั่งเล่นที่มีแสงสลัวๆ ถึงจะดูเป็นการเปรียบเทียบที่ตลกสำหรับผู้ชายที่ไม่ได้ตัวเล็กขนาดนั้น แต่ท่าทางของเขาก็เป็นแบบนั้นเป๊ะๆ มุมด้านข้างของฮาจุน
ที่ใส่เสื้อคลุมสีขาวซีดเหมือนกับวิญญาณและส่องประกายสลัวๆ มูคยอมจึงพูดไม่ออก เอาแต่มองฮาจุนอยู่อย่างนั้น และเปิดปากพูดในภายหลัง
“ตื่นแล้วเหรอ”
ฮาจุนสะดุ้งถอยหลังและหันร่างไปทางมูคยอม คงจะตกใจที่จู่ๆ มูคยอมที่ไม่ได้อยู่ในห้องนั่งเล่นมาปรากฏตัว
“เมื่อกี้อยู่ที่ระเบียงน่ะ”
“อ๋อ…”
มูคยอมยกโทรศัพท์ของฮาจุนขึ้นมาให้ดู ตาของฮาจุนจึงยิ่งโตขึ้นกว่าเดิม
“เห็นว่าที่บ้านโทรมาก็เลยบอกไปว่านายเข้านอนแล้ว”
ฮาจุนเหม่อมองโทรศัพท์ที่อยู่ในมือของเขาและพยักหน้า
“อือ… ขอบใจนะ”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตื่นขึ้นมากลางดึกหรือเปล่า บรรยากาศถึงได้อึมครึมแปลกๆ มูคยอมเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วก็เดินเข้าไปใกล้ฮาจุน เพราะยังไม่ได้อาบน้ำ ดวงตาที่เปื้อนน้ำตาจึงยังแดงอยู่เล็กน้อย พอเข้าไปใกล้ก็ได้กลิ่นของเหลวที่ออกมาจากร่างกาย
ถึงแม้ความร้อนจะแผ่ซ่านไปทั่วร่างเพราะกลิ่นกายและเขาที่ออกมาโดยที่ยังมีร่องรอยของกิจกรรมเมื่อครู่อยู่ แต่ก็
ไม่อยากทำอะไรฮาจุนที่มีสภาพแบบนี้อีกครั้งจึงตัดสินใจอดทนเอาไว้ก่อน
“ออกไปรับลมสักหน่อยสิ”
“ลมเหรอ”
“ระเบียงไง”
ความที่รู้สึกว่าเขาเข้าใจช้าไปหนึ่งจังหวะ ซึ่งแตกต่างก้บตอนทำงาน ทำให้รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นมา ฮาจุนพยักหน้ารับ ส่วนมูคยอมก็เดินนำหน้าและเปิดประตูออกจนสุด
ต้นไม้เขียวชอุ่มในสวนต่างต้อนรับเขาทั้งสองที่ออกมาที่ระเบียง อากาศด้านนอกและภาพนั้นทำให้สติอันเลือนราง
ของฮาจุนตื่นขึ้นมา เมื่อแสงกระทบเข้ากับดวงตาของเขาที่ค่อนข้างเบิกกว้างก็หันไปมองมูคยอมและพูดออกมาราวกับ
ประหลาดใจ
“ก็ว่าอยู่ว่านี่คือชั้น 3 แต่ทำไมถึงเห็นต้นไม้ตรงหน้าต่าง”
“อืม เชื่อมไปถึงนอกหน้าต่างของห้องนั้นเลย”
“สุดยอด… เหมือนลานบ้านสุดๆ เลยนะ ที่ตึกแบบนี้ก็มีสวนอยู่ด้วยนี่เอง”
จากนั้นก็พูดพึมพำออกมา
“ตอนเด็กๆ ฉันเองก็อยากอยู่ในบ้านที่มีสวน…”
“ถ้าชอบที่ที่มีสวนก็ย้ายไปเลยสิ”
“ก็ตั้งใจจะย้ายไปนี่แหละ เลยกำลังเก็บเงินอยู่”
รู้สึกได้ถึงความไร้เดียงสาแปลกๆ จากคำตอบของเขา มูคยอมจึงยิ้มและนั่งลงที่เก้าอี้ตัวยาวอีกครั้ง
“มานี่สิ”
พอกวักมือเรียก ฮาจุนก็มีท่าทีลังเล แม้จะไม่มีการแสดงออกทางสีหน้า แต่ก็เห็นความระแวงที่ปรากฏขึ้นมาแวบหนึ่ง
ในดวงตาสีดำคู่นั้น พอได้รับคำขอว่าให้ทำเบาๆ จึงหลอกล่อไปว่าถ้าเล้าโลมให้ดีก็จะทำเบาๆ แต่ก็แทบจะไม่ได้ทำตามที่ขอเลย จึงไม่แปลกที่จะมีท่าทีแบบนั้น มูคยอมยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาถึงบริเวณหน้าอกและแสดงท่าทียอมแพ้
“ไม่ทำอะไรหรอก”
“…ใครบอกกัน แค่ยังไม่ได้อาบน้ำก็เลยกลัวว่าจะทำให้เก้าอี้สกปรกต่างหาก”
“นายไม่ต้องสนใจเรื่องนั้นเลย ฉันจะไม่บอกให้นายทำความสะอาดหรอกนะ”
พอสังเกตท่าทีด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความระแวงแล้ว ฮาจุนก็เดินวางมาดเข้ามาใกล้ และตอนที่เดินเข้ามาใกล้เก้าอี้ มูคยอมก็ดึงแขนของฮาจุนให้นั่งลง
“สักทีเถอะ”
พอมูคยอมทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจใบหน้าที่หงิกงอเพราะการกระทำที่หยาบคายและเอามือเคาะเก้าอี้เพื่อบอกให้
รีบนอนลงเร็วๆ ฮาจุนที่เหมือนจะไม่ทำตามที่บอกก็ถอนหายใจออกมาและค่อยๆ เอนตัวลงบนเก้าอี้ช้าๆ เก้าอี้สำหรับ
นั่งพักผ่อนที่ปรับเอนพนักพิงได้ กว้างพอสำหรับให้ผู้ชายนอนสองคน
หลังจากมีเซ็กซ์อันรุนแรงและยาวนาน ทั้งสองก็ไม่ได้อาบน้ำและกำลังนอนดูท้องฟ้ายามค่ำคืน และมันก็ตลกดี
ที่รู้สึกได้ถึงลมอุ่นๆ ที่บ่งบอกว่ากำลังจะเข้าสู่ฤดูร้อนในอีกไม่ช้า แต่มันก็ไม่เลวเลย มูคยอมจึงหัวเราะออกมาเบาๆ โดยไร้เสียง ถ้าข้างๆ นี้มีสระว่ายน้ำอยู่ และกระโดดลงไปว่ายน้ำสักหน่อยก็คงดี
“นายคุยกับแม่เหรอ?”
ฮาจุนถามออกมาราวกับเพิ่งนึกกังวลขึ้นมา
“อืม”
“ว่ายังไงบ้าง? มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
“ท่านชอบที่ได้คุยโทรศัพท์กับคิมมูคยอมนะ”
“สนิทกับพวกคนทำอาหารในโรงอาหารด้วย นายนี่ดังในหมู่คุณป้านะเนี่ย…”
ใบหน้าของฮาจุนที่พูดออกมาแบบนั้นเรียบเฉย ไร้การแสดงออกใดๆ ถึงจะเป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่แรก แต่ฮาจุน
ไม่เคยยิ้มออกมาจริงๆ ต่อหน้ามูคยอมเลย คนที่มักจะยิ้มแย้มให้กับผู้คนราวกับเป็นสีหน้าปกติเวลาที่ทำงานอยู่ในทีม กลับมีใบหน้าเรียบเฉยจนดูเศร้าเล็กน้อยแบบนั้นเสมอเวลาอยู่ต่อหน้ามูคยอม
ก็นะ การที่คนเราเอาแต่ยิ้มอยู่ตลอดมันก็คงจะเหนื่อยน่าดู คำว่าแรงงานทางอารมณ์ก็ไม่ได้เกิดขึ้นมาโดยไม่มี
เหตุผลนี่นา ถ้าทำกับคนที่เจอกันบนเตียงเหมือนกับคนที่เจอกันที่ที่ทำงาน แบบนั้นยิ่งแปลกกว่าอีก
ในตอนแรกฮาจุนมักจะหลบหน้ามูคยอม และการทำหน้าเคร่งเครียดก็เป็นการเลือกปฏิบัติในฐานะโค้ช ถึงจะทำให้มูคยอม
อารมณ์ไม่ดีเหมือนกับว่าสิ่งที่ฮาจุนทำเป็นการละเลยหน้าที่ แต่ในตอนนี้ที่ได้รู้แล้วว่าฮาจุนสนใจเขาไม่ว่าจะแง่ไหนก็ตาม เขาก็ยินดีที่จะได้เห็น
ใบหน้าที่ไร้ซึ่งการแสดงออกของฮาจุน พอคิดว่าไม่ว่าจะเป็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มที่ได้เห็นบ่อยๆ ในทีม หรือใบหน้าที่ดูเฉยเมย
อย่างตอนนี้ก็ต่างกับสีหน้าที่แสดงออกมาตอนอยู่บนเตียงโดยสิ้นเชิงแล้วก็ยิ่งยินดีเข้าไปใหญ่
พอคิดแบบนั้น ส่วนล่างของร่างกายก็ร้อนขึ้นมาอีกแล้ว
“นี่”
ฮาจุนส่งเสียงตกใจออกมา
“หนะ ไหนบอกว่าจะไม่ทำอะไรไง”
เสื้อคลุมยาวที่ด้านหน้าเปิดออกง่ายมากที่จะสอดมือเข้าไป พอใช้นิ้วหยอกล้อ สิ่งเล็กๆ ที่ยื่นออกมา
ที่ถูกรังแกอย่างเต็มที่ก็ลุกขึ้นชูชัน
“โค้ชคนนี้นี่ เชื่อใจคนง่ายกว่าที่คิดแฮะ”
น่าตลกที่พูดออกมาราวกับว่าลืมเรื่องที่เมื่อกี้ที่ถูกหักหลังครั้งหนึ่งบนเตียงไปแล้ว พอกระซิบเข้าที่ข้างหู ฮาจุนก็ยักไหล่ขึ้นพร้อมกับถดตัวหนีด้วยความจั๊กจี้ ถ้าไม่อยากทำหรือทำไม่ได้ก็แค่บอกกันก็พอ แต่ถึงฮาจุนจะดูมีท่าที
ลำบากใจแต่ก็ไม่ได้พูดคำนั้นออกมาจึงดูเหมือนเอาแต่ดิ้นไปดิ้นมาอย่างไร้ประโยชน์เท่านั้น
มูคยอมปกปิดร่างกายครึ่งหนึ่งของฮาจุนด้วยร่างกายของตัวเอง มือของเขาลูบไล้หลังต้นขา และเมื่อริมฝีปาก
สัมผัสเข้ากับหน้าอก ฮาจุนก็ได้แต่พูดออกมาเช่นนี้เพื่อห้ามเขา
“ฮึก คิมมูคยอม ตรงนี้มันข้างนอกนะ…”
“ไม่ใช่สักหน่อย เป็นด้านในของบ้านจนถึงตรงนี้เลยต่างหาก”
ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์ของฮาจุนที่วางเอาไว้ข้างๆ ก็ดังติ๊ดขึ้นมาสั้นๆ ด้วยความอยากรู้ว่าใครส่งอะไรมาในเวลานี้ มูคยอมที่กำลังเล่นอยู่จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก่อนฮาจุนเสียอีก บนหน้าจอมีตัวอย่างข้อความปรากฏอยู่
‘ลูกชาย~ ช่วงนี้ทำงานหนักเลยนะ~~~♡♡ แต่ถ้าวันหลังจะกลับช้าก็โทรมาบอกกันก่อนก็ดีนะ~^^♡♡♡ สู้ๆ แล้วเจอกันพรุ่งนี้♡♡’
ฮาจุนแย่งโทรศัพท์คืนทันที
“ทำไมถึงดูโทรศัพท์ของคนอื่นตามอำเภอใจเนี่ย”
มูคยอมไม่ตอบ มือที่สอดเข้าไปในเสื้อคลุมก็หยุดลงทั้งอย่างนั้น พอเสียงอันอ่อนโยนของหญิงวัยกลางคนที่ฝากฝัง
ด้วยความกังวลว่า ‘ฝากโค้ชอีของเราด้วยนะคะ’ ดังขึ้นมาในหู จิตสำนึกที่มักจะเกิดขึ้นมาเป็นครั้งคราวก็ดันปรากฏตัวขึ้นมา
“…เข้าไปกันเถอะ แล้วก็อาบน้ำด้วย”
“อือ…”
มูคยอมลุกขึ้น ถึงดูเหมือนจะไม่เข้าใจที่จู่ๆ บรรยากาศก็เปลี่ยนไป แต่ฮาจุนเองก็รีบลุกขึ้นและเข้าไปในห้องนั่งเล่น
ด้วยความรู้สึกโล่งใจ
พวกเขาแยกย้ายกันไปอาบน้ำ มูคยอมไม่เซ้าซี้ต่อและขึ้นไปบนห้องนอนที่อยู่บนชั้นสองของตนเองทันที เตียงนอนถูกจัดเอาไว้ระหว่างที่ฮาจุนกำลังอาบน้ำเหมือนกับครั้งก่อน และฮาจุนก็ผล็อยหลับไปบนเตียงที่ปูผ้าปูที่นอนนุ่มๆ ผืนใหม่
เช้าวันต่อมายุ่งวุ่นวายกว่าครั้งก่อนเล็กน้อย เพราะไม่ใช่การฝึกซ้อมในช่วงบ่าย หลังจากรีบกินอาหาร อาบน้ำ และใส่เสื้อผ้าแล้ว มูคยอมที่เดินลงมาที่ลานจอดรถด้วยกันก็บอกให้เลือกรถอีกเช่นเคย ครั้งนี้ฮาจุนไม่ปฏิเสธและเลือกรถออดี้
ที่มักจะใช้ไปทำงานเป็นปกติ
“ไม่ชอบมีเซ็กซ์ในรถขนาดนั้นเลยเหรอ”
“พูดอะไรของนาย ฉันก็แค่เลือกอะไรที่มันง่ายๆ แค่นั้นเอง”
รถคันที่มูคยอมที่บ่นอุบอิบและฮาจุนที่เถียงกลับนั่งเคียงคู่กันแล่นออกไป ฮาจุนที่เอาแต่มองไปข้างหน้า
เหลือบมองมูคยอมที่กำลังขับรถอยู่เป็นครั้งคราวเพื่อไม่ให้โดนจับได้
วันแรกมูคยอมก็เตรียมอาหารให้ฮาจุน ขอให้เลือกชุดให้ แล้วก็ให้เลือกรถด้วย เมื่อวานเอาโต๊ะหนังสือมาวางให้ที่ห้อง เอาแปรงสีฟันที่ฮาจุนใช้มาวางไว้ให้ แล้วก็เอาเสื้อคลุมที่จะใส่มาวางไว้ให้อีก คุยโทรศัพท์กับแม่ด้วย และถึงทั้งสองจะมีสภาพ
เละเทะก็ตามแต่ก็นอนมองท้องฟ้ายามค่ำคืนด้วยกัน
ถึงจะไม่รู้ก็เถอะ… แต่ความสัมพันธ์แบบที่มีแค่เซ็กซ์กันเท่านั้น ปกติเขาทำกันแบบนี้หรือเปล่านะ…
มูคยอมกำลังปฏิบัติต่อเขาเป็นพิเศษจริงๆ หรือให้ความหมายกับสิ่งที่ไม่ได้สำคัญอะไรกันแน่ สำหรับฮาจุนที่ประสบการณ์ความรักเท่ากับศูนย์นั้นไม่สามารถรู้ได้เลย ฮาจุนว้าวุ่นอยู่กับความสับสน ท่ามกลางความดีใจ ความคาดหวังเล็กๆ ที่เกิดขึ้นมาในหัวใจบ่อยๆ โดยที่ไม่สัมพันธ์กับความตั้งใจ จู่ๆ ก็มีสายเข้าผ่าน
อุปกรณ์แฮนด์ฟรีในรถที่เชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือของมูคยอม เขาเหลือบมองว่าใครโทรมา หลังจากสบตากับฮาจุนและเอานิ้วชี้วางไว้ที่ริมฝีปาก
พร้อมกับส่งเสียง ชู่ว แล้วก็กดรับสาย
“อืม”
‘คุณมูคยอม ฉันเอง’
เสียงของผู้หญิงดังก้องอยู่ในรถ
“กำลังขับรถอยู่”
‘อ๋อ อย่างนั้นเหรอ โทษที ไว้จะโทรมาใหม่นะ’
“โอเค”
ถึงบทสนทนาจะสั้น แต่แค่บรรยากาศก็เพียงพอที่จะรู้ได้ว่าเป็นอะไรกัน มูคยอมที่วางสาย ฝืนยิ้มออกมาพลางพูดว่า
“ปกตินั่งคนเดียวก็เลยตั้งเป็นลำโพงเอาไว้”
“รถของนาย มันก็เป็นเรื่องของนายสิ”
ฮาจุนที่มองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมกับตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก รู้สึกแปลกขึ้นมาเล็กน้อยจึงต่อว่าเขา
“ไหนบอกว่าจะไม่คบผู้หญิงแล้วไง”
“บอกตอนไหน” ฉันบอกว่าจะไม่นอนด้วยไปสักพัก จำเป็นต้องไม่รับสายที่โทรมาด้วยเหรอ”
“ก็จริงแฮะ”
ฮาจุนเห็นด้วยและหัวเราะออกมา มูคยอมพูดถูก อาจจะกลับไปคบกับผู้หญิงพวกนั้นอีกเมื่อไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นจำเป็นต้องตัดขาดการติดต่อเลยนี่
พอคิดดูแล้วมันก็จริง มูคยอมนอนอยู่บนเตียงเดียวกันกับคนอื่น ทั้งๆ ที่ใส่เสื้อคลุมแบบเดียวกัน นอนดูดาวบนเก้าอี้ตัวยาวบนระเบียง และกินมื้อเช้าที่โต๊ะตัวเดียวกัน แล้วก็ขอให้เลือกชุดและบอกให้เลือกรถด้วย คงจะมีเรื่องอื่นๆ อีกมากที่ตัวเขาเองไม่รู้
ทำไมถึงไม่ใช่ล่ะ สำหรับฮาจุนที่ไม่เคยมีคนรักมาจนถึงตอนนี้แล้ว สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ล้วนพิเศษ แต่สำหรับคนที่สนุกกับการมีใครสักคนอยู่ด้วยตลอดแล้วนั้น คงจะเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป
มูคยอมเป็นคนที่เอาใจใส่มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงมักจะทำตามอารมณ์ และเฉยเมยกับคนที่ไม่ได้สนใจ ใช้คำพูดกวนประสาทกับฝ่ายตรงข้ามโดยไม่สนอะไรทั้งนั้นจนเสียความนิยม แต่ฮาจุนก็รู้ดีเพราะฮาจุนคือคนที่
สัมผัสกับความใจดีของมูคยอมด้วยตัวเอง
ถ้ามูคยอมเป็นไอ้คนกากจอมเฮงซวยอย่างที่คนเขาพูดกันจริงๆ จะล้มเลิกบทบาทในพรีเมียร์ลีก เพื่อกลับมาทำหน้าที่
ในลีกพื้นที่ไกลโพ้น และยอมรับความเสียหายครั้งใหญ่ด้วยเหตุผลที่ว่าอยากร่วมงานกับอาจารย์ ถึงแม้จะแค่หนึ่งปีก็ตาม
ได้ยังไงกัน ถึงจะมีคนที่ตีความว่าการตัดสินใจนั้นเป็นพฤติกรรมของคนที่ทำตัวตามอารมณ์อย่างสุดขั้ว แต่ฮาจุนไม่คิดแบบนั้น
คำว่า ‘สักพัก’ ของมูคยอม คือเวลาที่มูคยอมมอบให้เขา ในระหว่างนี้ การสนองตัณหาของมูคยอมเป็นหน้าที่ของเขา พอหลุดออกจากความสับสนที่รู้สึกไปชั่วขณะได้ จิตใจก็กลับสงบลง