ส่วนสูงและรูปร่างเติบโตขึ้นอย่างพรวดพราด ส่วนใบหน้าก็ดูดีจนไปที่ไหนก็ได้รับสายตาเป็นมิตรจากผู้คน ถ้อยคำที่ได้ยินตลอดทั้งวันหลังลืมตาตื่นก็มีเพียงคำยกย่องชมเชยเท่านั้น มูคยอมกลายเป็นคนอวดเก่งและทะนงตัวมากขึ้น เขาบอกลาวันอันน่าเข็ดขยาดแล้วเพลิดเพลินกับช่วงเวลานี้อย่างเต็มที่ ขณะที่ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นช่วงเวลาที่เขาตัดสินใจโดยไม่ให้คนอื่นรู้ ว่าจะไม่ยอมตกลงไปในโคลนตมและใช้ชีวิตเกลือกกลั้วกับพวกชั้นต่ำยิ่งกว่ามนุษย์อีกแล้ว
ทว่าเขาเกิดมาโดยมีเลือดของคนที่เหมือนกับปีศาจอยู่ในตัวครึ่งหนึ่ง แล้วใช้ชีวิตในที่สกปรกซึ่งมีปีศาจผู้โลภมากปกครองดูแลมาอย่างเนิ่นนาน เขาต้องทำยังไงถึงจะกลายเป็นมนุษย์ปกติ และใช้ชีวิตในโลกที่มีคนธรรมดาทั่วไปอยู่ร่วมกันได้
มูคยอมไม่มีความสนใจในการเรียนหนังสือ แต่เขาต้องการหาคำตอบในเรื่องที่อยากรู้ จึงไปด้อมๆ มองๆ ห้องสมุดอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเข้าไปในห้องสมุด มูคยอมไม่สนใจสายตาเจือความอยากรู้อยากเห็นที่เหลือบมองมาทางตนเอง เขาเดินไปตามชั้นหนังสือจนทั่ว แล้วเลือกหนังสือที่มีชื่อค่อนข้างเข้าท่ามาเปิดดูหน้าหนังสือนั้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นมูคยอมก็เจอประโยคที่ใกล้เคียงกับคำตอบที่ตนเองตามหามากที่สุด
‘แม้แต่สัตว์ก็ยังรู้จักบุญคุณ เมื่อเป็นมนุษย์ก็ย่อมรู้จักบุญคุณอย่างแน่นอน และต้องทดแทนบุญคุณนั้น’
เขาเพียงต้องการเป็นคนธรรมดา ไม่ได้ต้องการเป็นนักบุญ พอกวาดตาอ่านตามหน้าหนังสือจึงพบว่า อุปสรรคของเรื่องที่จะต้องทำ ‘หากเป็นมนุษย์’ มันมากมายเกินไป ขนาดลุงพัคหรือภรรยาของเขาในตอนนี้ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตโดยทำตามทุกสิ่งทุกอย่างถึงขนาดนั้น ดังนั้นมูคยอมจึงเลือกเรื่องเดียวที่ตนเองน่าจะทำได้ดีที่สุด จากในบรรดาคำตอบหลากหลายอย่าง และเขาก็ตัดสินใจว่าจะทำตามเพียงแค่เรื่องนั้นให้ได้
ถ้าบอกว่าบนโลกนี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย นั่นก็คือความสัมพันธ์ของผู้มีพระคุณแบบเขากับจุนซอง เพราะถ้าหากบุญคุณเกิดขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้ว มันก็จะไม่เลือนหายไปไหน
ถ้าใครมีบุญคุณต่อเราก็ต้องตอบแทนให้ได้ มูคยอมมาจนถึงตรงนี้ โดยยึดเอาคำพูดดังกล่าวเป็นหลักการ อีกทั้งยังเป็นเป้าหมายหรือแรงขับเคลื่อน
ในทางกลับกัน เรื่องที่ทำไม่ได้และเรื่องที่จะต้องระวังที่สุด คือการทำผิดซ้ำรอยเดิมของผู้ชายสติฟั่นเฟือนคนนั้น ดูไม่ค่อยยากเท่าไรนัก เพราะแค่ตัดไฟแต่ต้นลมก็พอแล้ว หากปีศาจตนนั้นไม่เจอแม่แล้วแต่งงานกันจนคลอดเขาออกมา ก็คงจะไม่มีใครเจอเรื่องโชคร้ายเลยสักคน
ผู้หญิงข้างบ้านที่เคยสนิทกับแม่พอประมาณ ทุกครั้งที่เจอมูคยอมโดยบังเอิญเป็นบางครั้ง เธอก็มักจะพูดงึมงำราวกับอุทานหรือไม่ก็ขยะแขยง ว่าเชื้อไม่ทิ้งแถว
มูคยอมโตขึ้น ในขณะเดียวกันก็หน้าตาคล้ายกับไอ้หมอนั่นขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่ชอบใจในเรื่องนั้นเอาเสียเลย ถึงอย่างนั้น เขาก็หน้าตาดีกว่าไอ้หมอนั่น และสิ่งสำคัญคือจิตใจต่างหาก เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่สนใจ แค่ใช้ชีวิตต่างกับหมอนั่นก็จบแล้ว ชีวิตของมูคยอมกำลังเปลี่ยนแปลงวิถีของมันไปจากตลอดทั้งชีวิตที่เคยใช้ร่วมกับพ่อแม่โดยสิ้นเชิง
ความรักซึ่งถูกยกย่องถึงขนาดนั้น จากปากของผู้คนบนโลก จากในทีวี ในภาพยนตร์ รวมถึงในหนังสือ
ความรักเปลี่ยนแปลงง่ายและไม่บริสุทธิ์ อีกทั้งพอก่อตัวขึ้นมาแล้วมันก็จะหายไป จนทำให้ผู้คนเป็นบ้ากันไปหมด สัตว์ประหลาดที่ทุกข์ทรมานในความบ้าระห่ำนั้น แล้วในที่สุดก็ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง คือพ่อบังเกิดเกล้าของเขาเอง
แนวทางแก้ไขปัญหานั้นแสนเรียบง่าย แค่ไม่ไปพัวพันกับตัวกลางที่ก่อให้เกิดความรู้สึกแบบนั้นกับใครตั้งแต่แรกก็พอแล้ว ในอนาคต ทั้งการคบหากัน ความสัมพันธ์แบบแฟนหรือสามีภรรยา และ ‘คนรัก’ จะไม่มีอยู่ในชีวิตของคิมมูคยอมเลยแม้แต่น้อย เพราะถ้าเขายกให้ใครบางคนเป็นคนพิเศษ เมล็ดพันธุ์อันชั่วร้ายที่น่าจะซุกซ่อนอยู่ในร่างกายก็อาจแตกหน่อออกมาจนทำให้เขากลายเป็นเหมือนปีศาจตนนั้นก็ได้
…ทว่า ตอนตัดสินใจแบบนั้นก็ราวๆ เมื่อสิบปีก่อน ในตอนที่เขายังเด็ก
เขาไม่สามารถใช้ชีวิตแบบเดียวกันกับที่เคยตัดสินใจในตอนแรกได้ หลังจากเปิดตัวครั้งแรกในลีกหนึ่งตอนอายุสิบเก้า การยั่วยวนซึ่งเดิมทีก็มีเข้ามาอย่างไม่เคยหยุดยั้งอยู่แล้ว กลับเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น คนมากมายนับไม่ถ้วนต่างยื่นมือมาหา ในช่วงเวลาที่เคยพบเจอความลำบากอย่างสุดขีดเพราะถูกรุ่นพี่เบ่งใส่และเล่นสงครามประสาท บนแผ่นดินอันไกลแสนไกลที่ไม่มีทั้งจุนซองและครอบครัว พวกอุณหภูมิร่างกาย กับสัมผัสจากมือของคนอื่น รวมถึงคำพูดหวานหู คือการล่อลวงที่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้โดยสิ้นเชิง
ในตอนนั้นมูคยอมเร่งฝีเท้าแทบบ้าขณะที่พยายามไต่ขึ้นไปให้สูงกว่าเดิม และร่างกายอันแข็งแกร่งซึ่งเพิ่งเข้าสู่วัยหนุ่มของเขาก็ปรารถนาที่จะทำมันให้ได้ พวกคนที่เข้าหามูคยอมต่างก็สอนวิธีที่จะเอาความต้องการนั้นมาเล่นสนุกอย่างเหมาะสม ส่วนมูคยอมก็ลุ่มหลงเข้าไปใน ‘เกม’ นั้นราวกับเสพติด
ไม่เป็นไร เพราะนี่เป็นแค่การเล่นสนุกเท่านั้น
แค่ไม่เอาใจไปยุ่งเกี่ยว ถ้าใช้แค่ร่างกายก็ไม่เป็นปัญหา แต่ห้ามมากเกินกว่านั้นเด็ดขาด
เขากำชับกับตัวเองแบบนั้น และถ้าพบคนที่เผยความรู้สึกลึกซึ้ง ล้ำเส้นเกินกว่าการเล่นสนุก เขาก็จะหันหลังอย่างเย้ยหยันให้คนโง่เง่าที่เข้ามาแทรกในกระดานทั้งที่ไม่รู้กฎของเกม ระยะเวลาของการสานสัมพันธ์ต่อเนื่องค่อยๆ สั้นลง และในที่สุดก็แทบจะกลายเป็นความสัมพันธ์แบบเจอกันแค่ครั้งเดียว มูคยอมรู้สึกว่ามันยุ่งยากกระทั่งการพบกับคู่นอนที่มีเซ็กส์ไปแล้วหนึ่งครั้งซ้ำเป็นครั้งที่สอง
วันเวลาล่วงเลยทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง คิมมูคยอมแปรเปลี่ยนไปเป็นคนแบบนั้นอย่างต่อเนื่องราวสิบปี เด็กหนุ่มผู้ไม่ต้องการกลายเป็นปีศาจที่สร้างความเจ็บปวดให้คนอื่น จึงตัดสินใจว่าจะไม่สานสัมพันธ์กับใครแม้แต่คนเดียว กลับมีความสัมพันธ์ทางกายแบบคู่นอนคืนเดียวเป็นประจำ เขากลายเป็นผู้ชายที่หัวเราะเยาะความรักของคนอื่น ในขณะเดียวกันก็พูดพร่ำหาข้อแก้ตัวให้ตัวเอง
แต่ในระหว่างที่เขากำลังใช้เวลาในปีที่สิบเฉกเช่นทุกครั้ง ใครบางคนกลับ…
“อีฮาจุน”
เขาเรียกชื่ออีกฝ่าย แต่อีฮาจุนหลับตาอยู่และไม่ได้ตอบกลับมา
“โค้ชอี หลับเหรอ”
การหายใจของคนที่หลับลงไปอีกครั้งในอ้อมแขนของเขาช่างน่ารัก แม้แต่ใบหน้ายามหลับก็ยังดูเรียบร้อย ฮาจุนก็น่าจะฝันหวานอยู่เหมือนกัน
ทว่า ฮาจุนซึ่งกำลังหลับใหลด้วยสีหน้าไร้เดียงสาและอ่อนโยน ราวกับหลีกหนีความทุกข์ยากทั้งปวงในโลกใบนี้ไปได้ ก็มีฝันร้ายเช่นเดียวกัน เรื่องที่พอจะทำให้ฮาจุนสั่นคลอนและเปลี่ยนแปลงไป คงจะเกิดขึ้นมากมายนับครั้งไม่ถ้วน เพราะอย่างนั้น ความเสมอต้นเสมอปลายนี้จึงไม่ใช่สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าฮาจุนโชคร้ายน้อยกว่าเขา แต่เป็นเพียงหลักฐานที่บ่งบอกว่าฮาจุนเป็นคนจิตใจมั่นคงเท่านั้นเอง
มูคยอมมักจะพูดอย่างทำเป็นเก่ง ว่าคนเราจะสามารถมองเห็นเท่าที่ตัวเองรู้ เพราะอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นตอนก่อนแข่งหรือตอนเผชิญหน้ากับผู้คน การทำความเข้าใจลักษณะนิสัยกับกำลังทั้งหมดของอีกฝ่ายให้ถ่องแท้ จึงเป็นเรื่องสำคัญ
ความสามารถของมูคยอมมีความแปลกใหม่ เขาชำนาญในสงครามจิตวิทยา ตอนกลางคืนเขาก็เป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยม การยั่วยวนของเขาไม่สามารถปฏิเสธได้… ในขณะที่เขาฟังถ้อยคำชมเชยและดูหมิ่นสลับกันไป ทั้งจากนักวิพากษ์วิจารณ์ในตอนกลางวัน และจากคนสอดรู้เรื่องชาวบ้านในตอนกลางคืน เขาก็ยิ่งมั่นใจในวิธีการของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้ก็คิดว่ามันไม่ได้ผิดไปซะทีเดียว แต่ในคำพูดนั้นมีกับดักอยู่ หากเป็นแบบนั้นอย่างไม่ผิดเพี้ยน ผู้คนก็จะไม่สามารถมองเห็นเกินกว่าขอบเขตที่ตนเองรับรู้ได้ ต่อให้ยืนอยู่หน้าท้องทะเล ก็จะทำได้แค่มองลอดเข้าไปในแอ่งน้ำเล็กๆ ใต้เท้าเท่านั้น แล้วก็จะทำได้เพียงนับปริมาณของก้อนอิฐซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่คิดที่จะมองออกไปอีกฝั่งของกำแพง
สิบปี ทุกชั่วขณะที่ล่วงเลยผ่านไปไกลจนเลือนราง
ด้วยเหตุนั้น ตอนได้ยินแค่คำพูดปากเปล่า เขาจึงรับรู้ว่ามันเป็นเพียงคำสั้นๆ สองพยางค์ และรู้สึกเหมือนมันเป็นแค่เหรียญอิสริยาภรณ์ที่สามารถติดไว้ตรงหน้าอกเพื่อโอ้อวดคนอื่นเท่านั้น แต่เมื่อมีเครื่องพิสูจน์ที่ตามองเห็นได้ปรากฏขึ้นตรงหน้า ความยาวนานของช่วงเวลาที่เคยรู้สึกแบบนั้นก็ตราตรึงไปทั่วทั้งร่างกายราวกับตอกเสาเข็ม
รู้สึกราวกับสิ่งที่เหมือนกับเปลือกห่อหุ้มดวงตาได้หลุดออกไป รู้สึกเหมือนคิดว่าตัวเองกำลังหนีไปทางฝั่งตรงข้ามเพื่อไม่ให้เป็นบ้า แต่พอลองลืมตาขึ้นมองกลับมาถึงตรงหน้าหน้าผาเสียแล้ว
‘อีฮาจุน สำหรับนาย การชอบคนอื่นเป็นเรื่องแบบนี้สินะ
ขอโทษนะ ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าตาฉันมองเห็นแต่อะไรมา ฉันมัวแต่มองใต้ฝ่าเท้าของตัวเองจนเอาแต่พูดนอกประเด็นออกไป’
ยังไงซะ เขาก็ไม่สามารถใช้ชีวิตโดยทำตามความตั้งใจในตอนแรกได้อย่างหนักแน่นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นหากแสดงออกว่าตัวเองสูงส่งนัก ทั้งที่เคยจมปลักและตะเกียกตะกายอยู่ในความรู้สึกเหมือนทรยศตัวเองก็จะเป็นการกังวลภาพลักษณ์ของตัวเองที่คนอื่นจะมองมามากจนเกินไป พูดง่ายๆ เลยก็คือเขาทำตัวเองทั้งนั้น
มูคยอมอ้างมาตลอดว่า ไม่ว่ายังไง มันก็ไปไม่รอดหรอก คนแบบเขาไม่สามารถครอบครองตำแหน่งคนข้างกายใครสักคนได้ แต่ผลสุดท้าย ความกลัดกลุ้มนั้นก็ถูกโยนให้เป็นภาระของฮาจุนทั้งหมด แล้วเขาก็ทำเพียงแค่ส่วนที่ตัวเองพอใจเท่านั้น
ตอนนี้เขาไม่ได้แค่ดีใจกับความจริงที่ว่าฮาจุนมีเขาอยู่ในใจมาเนิ่นนานถึงขนาดนั้นเพียงอย่างเดียว เขาดึงเอาหัวใจที่ทุ่มเทและสั่งสมเป็นชั้นๆ ลงมาอยู่ในมาตรฐานของตัวเองแล้วตั้งข้อสงสัยมัน ทดสอบมัน อีกทั้งยังพูดจาทิ่มแทงถากถางจนทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดจนถึงที่สุด เพียงความจริงเรื่องนั้นก็รู้สึกว่าสมควรแล้ว
ในระยะเวลาอันยาวนานที่แม้แต่แม่น้ำกับภูเขาก็ยังเปลี่ยนแปลงไป อีฮาจุนกลับรักใคร่เขามาเสมอไม่เคยเปลี่ยน ถึงแม้ว่าจะตื่นขึ้นมาจากความฝันและความเมามายในคืนนี้แล้ว เขาต้องทำยังไง อีฮาจุนถึงจะยอมยกโทษให้
มูคยอมในสายตาของฮาจุนเป็นคนที่ยอดเยี่ยมและมีคุณค่าถึงขนาดนี้ แต่เขากลับเอาแต่ทำตัวไม่น่ามองกับอีกฝ่ายมาเนิ่นนาน เขารู้สึกละอายใจขึ้นมาในตอนที่มันสายไปเสียแล้ว หากเป็นไปได้ เขาก็อยากลบความทรงจะในช่วงล่าสุดมานี้ออกจากในหัวของอีกฝ่ายไปให้หมด
มูคยอมทาบมือลงบนหน้าผากของฮาจุนแล้วทอดสายตามองโดยนึกอยากให้ความทรงจำของอีกฝ่ายถูกลบเลือนไป ราวกับผู้ใช้พลังพิเศษที่เคยเห็นในหนังสักเรื่อง แต่เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นการกระทำไร้สาระ ถึงกลุ้มอยู่คนเดียวก็ไม่มีทางที่จะได้คำตอบในตอนนี้ เพราะอย่างนั้นมูคยอมจึงถอนหายใจสั้นๆ พร้อมกับตัดสินใจว่าจะปล่อยให้คืนนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“ฝันดีนะ”
‘ไอ้คนโง่เง่า แค่ชื่อเรียกจะไปมีประโยชน์อะไรกัน’
ต่อให้เขาหลีกเลี่ยงคำว่าความรัก ผลลัพธ์ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ต่อให้เรียกมันด้วยชื่ออื่น หัวใจของคิมมูคยอมทั้งดวงก็เอนเอียงไปหาอีฮาจุน ทั้งคู่นอน เพื่อน หรือเพื่อนร่วมงาน… ไม่ว่าจะใช้กระดาษแบบไหนห่อหุ้มเอาไว้ สิ่งของด้านในก็ไม่แปรเปลี่ยน
‘ยอมรับซะเถอะ
สายไปแล้วที่จะหลีกเลี่ยง ช่วยไม่ได้ จากนี้ไปทำได้แค่พยายามไม่ให้หัวใจดวงนี้แปรเปลี่ยนไปเหมือนสัตว์ประหลาดตัวนั้น นั่นเป็นเรื่องที่ตอนนี้เขาจะต้องจัดการเอง
นายทำได้ คิมมูคยอม’
จนถึงตอนนี้ มูคยอมทำเรื่องที่คนอื่นเคยส่ายหน้าหัวเราะเยาะ บอกว่าเป็นไปไม่ได้ ให้เกิดขึ้นจริงนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ต่อให้บอกว่าเป็นความรัก ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะทำไม่ได้ตรงไหนสักหน่อยใช่ไหม
มีครั้งหนึ่งที่เขาเคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเกี่ยวกับกีฬาแห่งหนึ่ง ว่าศัตรูของเรา คู่แข่งของเรา ต่างก็เป็นตัวเราเอง ถ้ามีศัตรู แค่สู้ให้ชนะก็พอแล้ว
เตียงเดี่ยวคับแคบและเบียดเสียดเกินกว่าจะรองรับชายหนุ่มโตเต็มวัยรูปร่างดีสองคน แต่เขาก็ไม่คิดจะลงไปนอนบนพื้น มูคยอมประทับริมฝีปากลงบนเส้นผมนุ่มพร้อมกับหลับตาลงเช่นกัน