ตอนที่ 387 ความอ่อนโยนจอมปลอม
ถึงแม้เผยอวี้เฉิงจะทรงตัวได้ชั่วคราว แต่ไม่มีใครกล้าชะล่าใจ เผยหนานซวี่และฉินฮวน ซิงเฉินรวมถึงผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ยังคงเฝ้าสังเกตการณ์อยู่นอกห้องตลอดทั้งคืน อีกทั้งได้เตรียมตัวสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินไว้เรียบร้อย
เช้าวันถัดมา นอกจากฉินฮวนแล้วทุกคนเป็นหมีแพนด้าในชั่วข้ามคืน
ฉินฮวนยืดเส้นยืดสายแล้วเอ่ยปากขึ้น “ฉันบอกแล้วไงถ้าผู้หญิงคนนั้นอยู่ก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว! พวกนายชอบทำเป็นเรื่องใหญ่ไปเรื่อย”
ดูท่าทางไร้น้ำใจของฉินฮวนแล้ว ซิงเฉินเหลือบมองเขาด้วยสายตาเรียบนิ่งแล้วขยับมือซ้ายตัวเองด้วยความเคยชิน ทันใดนั้นมือซ้ายของเขามีเสียงอี๊ดเอี๊ยดของโลหะดังขึ้น
นั่นเป็นเพราะว่าฉินฮวนโชคดี ก็เลยไม่เห็นท่าทางน่ากลัวตอนที่พี่อวี้ขาดสติ…
ส่วนเขาผ่านมาหมดแล้ว
ถึงทุกวันนี้เขายังไม่อยากนึกย้อนถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น…
ตอนนั้นเขาอยู่รอดมาได้ เสียไปแค่แขนข้างหนึ่ง ตอนนี้ถึงย้อนกลับไปถือว่าเขาโชคดีจริงๆ
เมื่อมั่นใจว่าสภาพของเผยอวี้เฉิงมั่งคงแล้ว ผู้คนถึงจากไป
…
ณ ห้องนอนอันกว้างใหญ่ที่สว่างไสว
บนเตียงสีขาวล้วนนั้น หลินเยียนนอนอยู่ข้างๆ เผยอวี้เฉิงไม่กล้าหลับตาตลอดทั้งคืน
มือของเธอจับมือเขาไว้อย่างระมัดระวัง ไม่ได้คลายออกตลอดทั้งคืนเช่นกัน
เธอกลัวว่าถ้าเธอปล่อยมือไป นาฬิกามรณะบนข้อมือเขาก็จะเริ่มส่งเสียง ‘ติ๊ดๆๆ ‘ ขึ้น…
เธอผิดไปแล้ว เธอผิดไปโดยสิ้นเชิง…
เธอเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองทำความผิดมหาศาล!
ก่อนหน้านั้นเธอบอกตัวเองมาตลอดว่าให้เชื่อในด้านอ่อนโยนเป็นมิตรของเผยอวี้เฉิง จนกระทั่งลืมด้านมืดแสนน่ากลัวนั้นไป
เธอลืมไปแล้วว่าความอ่อนโยนและเป็นมิตรนั้น…เขาสร้างมันขึ้นมาทั้งนั้น
แต่เขาปลอมได้อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ…
เธอถูกด้านดั่งเทวดาของเผยอวี้เฉิงชักจูงไปสู่นรกทีละก้าว…
แต่นี่ก็โทษเธอไม่ได้จริงๆ บนโลกนี้ไม่มีคนไหนที่จะรับความอ่อนโยนอันจอมปลอมที่ผู้ชายคนนี้ตั้งใจเสแสร้งได้
ที่บอกว่าจะมาอยู่ด้วยนั้น เป็นคำพูดของตัวเธอเอง ตอนนี้จะกลับคำพูดก็ไม่ทันแล้ว…
อีกอย่างเธอก็ไม่กล้ากลับคำด้วย
หลินเยียนเบิกตากว้างแล้วนอนอยู่บนเตียง เธอตื่นตัวตลอดทั้งคืนไม่กล้าหลับตา ขณะที่มือที่ถูกเธอกำไว้อยู่ขยับเล็กน้อย เธอสังเกตได้อย่างทันทีทันใด
หลินเยียนค่อยๆ มองตามมือนั้นขึ้นบนเรื่อยๆ แล้วมองไปยังเผยอวี้เฉิง
เห็นแค่ว่าเขาตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ นัยน์ตาเข้มขรึมคู่นั้นกำลังจ้องไปยังเธอนิ่งๆ …
หลินเยียนตกใจ แทบจะวิ่งหนีภายในเสี้ยววินาทีนั้น เธอเกร็งคอไม่กล้าหายใจแรง กระแอมเล็กน้อยแล้วเอ่ยปากพูดขึ้นอย่างเก้อๆ “คุณเผยอวี้เฉิง…คุณ…คุณตื่นแล้วเหรอคะ”
เผยอวี้เฉิงไม่ได้พูดอะไร แสงจากพระอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องบนหน้าเขา แต่ก็ไม่สามารถกลบเกลื่อนความเย็นชาแสนยะเยือกบนใบหน้านั้นได้
ท่าทางไม่พูดไม่จาของเผยอวี้เฉิงยิ่งทำให้รู้สึกระแวงกว่าเดิม เธอเกรงกลัวและหยุดกลั้นลมหายใจไว้ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ถ้าพูดอะไรผิดเดี๋ยวจะไปกระตุ้นเขาอีกทำไงล่ะ?
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน สายตาของเผยอวี้เฉิงจดจ่อไปบนมือเล็กๆ ของหญิงสาว นิ้วอันเรียวยาวนั้นถูไถกลางฝ่ามือหญิงสาวเบาๆ แล้วเอ่ยปากพูดขึ้นอย่างไม่สนใจ “…มาเสียใจทีหลังเหรอ?”
สิ้นเสียงเผยอวี้เฉิง หัวใจหลินเยียนกระตุกไปวูบหนึ่ง
ขณะนี้ สายตาเผยอวี้เฉิงราวกับว่ามองทะลุผ่านเธอจนไม่มีอะไรหลงเหลืออย่างงั้น
ผู้ชายคนนี้น่ากลัวเกินไปหรือเปล่า?
แค่มองก็รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่?
นอกจากนั้น เผยอวี้เฉิงในขณะนี้ให้ความรู้สึกเหมือนคนแปลกหน้าที่ไม่ค่อยรู้จักกัน ทำให้เธอรู้สึกว่าเธอเหมือนไม่เคยเข้าใจคนตรงหน้าอย่างแท้จริงแต่อย่างไรเลย…
ตอนที่ 388 แล้วจะทำไงได้ล่ะ?
เสียใจทีหลังงั้นเหรอ
เสียใจสิ! เธอจะไม่เสียใจได้ยังไง
แต่ในวินาทีนี้ ต่อให้ตีเธอจนตายเธอก็ไม่กล้าพูดหรอกนะ
เวรกรรมจริงๆ ก่อนหน้านั้นเผยอวี้เฉิงยังดีอยู่เลย แต่ทำไมมาขาดสติกะทันหันแบบนี้ล่ะ?
เพราะแค่ฝันร้ายงั้นเหรอ
เขาว่ากันว่าคิดอะไรตอนเช้า ตอนกลางคืนก็จะฝันแบบนั้น เขาได้รับผลกระทบอะไรหรือเปล่า ทำให้ถึงกับต้องฝันร้ายและขาดสติอีกด้วย…
หรือว่า…ตอนที่เธอซ่อนโปสเตอร์ตอนเช้านั้นโดนจับจนได้? อีกทั้งโดนจับได้ทั้งสองครั้งเลย?
น่าจะ…ไม่…ซวย…ขนาดนั้นหรอกมั้ง?
ไม่ทันได้คิดอะไรมาก ตอนนี้ต้องเอาตัวรอดไว้ก่อน เธอได้แต่กะพริบตาปริบๆ ตีมึน “หืม? สะ…เสียใจเหรอ เสียใจอะไรเหรอคะ”
นิ้วของเผยอวี้เฉิงค่อยๆ ล็อกฝ่ามือของหญิงสาวเอาไว้ จากนั้นพลิกมือมากดเอาไว้ จากนั้นกดเสียงลงต่ำแล้วเอ่ยปากขึ้น “เสียใจที่อยู่ข้างๆ ผม เสียใจที่…ถูกผมกระชากลงนรก”
น้ำเสียงเคร่งขรึม สายตาเย็นเฉียบของผู้ชายราวกับโซ่เหล็กค่อยๆ ฉุดเธอเข้าสู่ส่วนลึกแห่งความมืดมัว
หลินเยียน “…”
เอ่อ…
เสียใจก็จริง แต่ก็นะ คุณใช้ความสามารถหลอกล่อฉันมาได้ ฉันก็ต้องยอม จะให้ทำไงได้ล่ะ
สุดท้าย หลินเยียนกระแอมขึ้นแล้วเงยหน้าพร้อมรอยยิ้มสุดจริงใจ เอ่ยปากขึ้น “เป็นไปได้ไงล่ะคะ! ที่ที่มีคุณอยู่ ต่อให้เป็นทะเลทรายที่แห้งแล้งคุณก็เป็นโอเอซิสสำหรับฉัน! คุณคือแหล่งน้ำที่ปลายสุดของทะเลทราย คุณคือแสงอาทิตย์อันอบอุ่นบนยอดภูเขาหิมะ คุณคือประกายดาวในค่ำคืนที่แสนจะมืดมน!”
หลินเยียนเองคงจะคิดไม่ถึงว่าทักษะการแสดงที่ตัวเองหมั่นเรียนรู้นั้นสามารถเอามาช่วยชีวิตตัวเองได้
นี่บ่งบอกถึงอะไร
บ่งบอกว่าคนเราต้องตั้งใจเรียนรู้ ขยันหมั่นเพียร มีทักษะเพิ่มขึ้นหนึ่งอย่างก็มีวิธีเอาตัวรอดเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่าง!
เธอยังต้องพยายามต่อไป พัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดหย่อนถึงจะสามารถรับมือกับบอสในแต่ละด่านที่มีความยากง่ายต่างกัน
ภายใต้การกดดันมหาศาลในครั้งนี้ ปรับตัวได้เร็วยิ่งขึ้น เมื่อสบตาผู้ชายแล้ว เธอพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงใจมากกว่าเดิม “อีกอย่าง ต่อให้คุณพาฉันไปขุมนรกแล้วจะเป็นไรไปล่ะคะ ตรงนั้นมีคุณอยู่นี่นา!”
เผยอวี้เฉิงฟังที่หญิงสาวพูดแล้ว ลูกตาเคลื่อนที่ไปอย่างรุนแรง ราวกับจมดิ่งลงในห้วงความคิดที่แสนจะซับซ้อน
นี่เป็นคำพูดที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้ยินจากปากหญิงสาวมาก่อนเลย…
ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าจะมีวันที่จะได้ยินเธอพูดออกมาจากปาก
แค่ที่ที่มีคุณอยู่…
ต่อให้จะเป็นนรกแล้วจะไปไรไปล่ะ ตรงนั้นมีคุณอยู่นี่นา
คำพูดนี้วนเวียนอยู่ข้างหู ราวกับเหล้าพิษ ถึงแม้เขารู้ว่ามันมีพิษแต่ก็ยังอยากลิ้มรสอยู่เรื่อย…
เผยอวี้เฉิงชะงักไปสักพักแล้วเสยมุมปากขึ้นเล็กน้อย พลางยิ้มเบาๆ ริมฝีปากบางนั้นขยับขึ้นแล้วพึมพำเอาไรบางอย่าง
โกหก…
เสียงชายหนุ่มเบาเกินไปทำให้หลินเยียนฟังไม่ชัด เธอจึงเอ่ยปากถามขึ้น “หืม? คุณเผยคะ…เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะคะ ฉันฟังไม่ค่อยชัด…”
“คุณหลินไม่ต้องตื่นเต้น…” เผยอวี้เฉิงหัวเราะเบาๆ อยู่ในท่าทางที่จับมือหญิงสาวอย่างอ่อนโยนเหมือนเดิม แล้วเอ่ยปากขึ้น “ไม่ว่าเธอจะพูดเพ้อเจ้อยังไง ฉันเชื่อหมด”
“อ้ะ แค่กๆๆ…” หลินเยียนได้ยินแล้ว แทบจะสำนักน้ำลายตัวเอง เธอรีบพูดขึ้นด้วยความลนลาน “ปะ…เปล่าๆๆ! ฉันไม่ได้พูดเพ้อเจ้อนะคะ! ทุกคำพูดล้วนกลั่นออกมาจากใจหมด!”
เผยอวี้เฉิง “อื้ม ฉันเชื่อ”
หลินเยียน “…”