หนึ่งร้อยยี่สิบหก
ค่อยเป็นค่อยไป
เวลาอันล้ำค่าผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อฤดูร้อนกับฤดูใบไม้ร่วงผ่านพ้นไป ฝูงห่านโบยบินไปทางใต้ ลมแรกของต้นฤดูหนาวก็พัดโชยมาจากพื้นที่ราบแถวชานเมือง เสียงใบการบูรในลานเรือนเสียดสีกันดังขึ้นเบาๆ เมื่อลมพัดผ่าน
วันนี้เสวี่ยเจียเยว่ตื่นขึ้นมาในยามเช้าตรู่ เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นว่าน้ำค้างแข็งชั้นบางๆ เกาะอยู่บนใบทับทิม จากนั้นเธอเปิดตู้ใส่เสื้อผ้า แล้วหยิบเสื้อไจ๋อีชวน[1] สีทองออกมาสวม
หลังจากเธอเปิดประตูเรือนและเดินออกมา ก็พบว่าไม่เพียงบนต้นทับทิมเท่านั้นที่มีน้ำค้างแข็งบางๆ ปกคลุมอยู่ แม้แต่ดอกฉาฮวาและดอกเบญจมาศก็ยังเต็มไปด้วยน้ำค้างแข็งเช่นกัน
ดอกไม้เหล่านี้ล้วนเป็นเสวี่ยหยวนจิ้งซื้อมาให้เธอในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าเธอจะไม่ต้องการ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงวางกระถางดอกไม้เอาไว้ในลานเรือน และมาดูแลรดน้ำตัดแต่งกิ่งทุกวัน เมื่อดอกไม้บาน เขาก็นำกระถางมาวางไว้ใต้ชายคาห้องของเสวี่ยเจียเยว่อย่างเงียบๆ เพื่อให้เธอเห็นมันตอนเปิดประตูเรือนออกมา
เพราะความสัมพันธ์ของคนทั้งสองเปรียบเหมือนกระดาษหน้าต่างที่มีรูโหว่ในวันนั้น เสวี่ยเจียเยว่จึงคิดว่าตนไม่สามารถอยู่ร่วมชายคากับเสวี่ยหยวนจิ้งได้อีก ต่างจากตอนที่ยังเป็นพี่น้องกัน ทั้งสองอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข รักใคร่กลมเกลียวและสนิทสนมกัน ซึ่งเธอคิดว่าการที่เป็นเช่นนั้นดีกว่าเป็นไหนๆ แต่ตอนนี้เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเลือกเปิดเผยความในใจของเขาแล้ว เสวี่ยเจียเยว่กลับไม่อาจทำใจยอมรับได้ หากทั้งสองยังฝืนอยู่ด้วยกันต่อไปก็มีแต่จะทำให้รู้สึกอึดอัดใจมากขึ้น ดังนั้นเธอจึงอยากจะออกไปเช่าเรือนอยู่อีกหลัง
คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเช่นนั้น เขามองเธอด้วยความตกใจและเสียใจ ก่อนจะเห็นว่าดวงตาของเขาแดงก่ำ และเอ่ยกับเธอเสียงเบาว่า “อย่าไป”
ท่าทางของเขาราวกับลูกสุนัขที่กำลังจะถูกเจ้าของทิ้งขว้างก็ไม่ปาน เสวี่ยเจียเยว่จึงใจอ่อนลงในทันที แต่จากนั้นก็ทำใจแข็งบอกว่าตนไม่สามารถอยู่ร่วมกับเสวี่ยหยวนจิ้งได้อีกต่อไปแล้ว
สุดท้ายเสวี่ยหยวนจิ้งก็ได้แต่ต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าว และชี้ไปที่เรือนหลักขนาดสามห้อง พร้อมบอกว่าตั้งแต่ป้าโจวจากไป เรือนหลังนั้นก็ว่างเปล่ามาโดยตลอด หากเสวี่ยเจียเยว่ไม่อยากอยู่กับเขาอีกแล้วจริงๆ ก็ย้ายไปอยู่ที่เรือนหลักชั่วคราว เช่นนี้จึงถือว่าอยู่คนเดียวแล้ว
เดิมทีเสวี่ยเจียเยว่ไม่ยอม เธอยังคงยืนกรานว่าจะย้ายออกไปเช่าเรือนด้านนอก แต่เสียงของเสวี่ยหยวนจิ้งเบาลงเรื่อยๆ และยอมรับผิดกับเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า เขาไม่ควรจูบเธอเช่นนั้น ไม่ควรบังคับให้เธอเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อเขาอย่างรวดเร็ว ทั้งยังบอกว่าหากเธอยังยืนกรานว่าจะออกไปเช่าเรือนด้านนอก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางปล่อยให้เธอเดินออกไปแม้แต่ก้าวเดียว สุดท้ายเสวี่ยเจียเยว่ก็จนปัญญา ทำได้เพียงยอมรับข้อเสนอแล้วมาอยู่ที่เรือนหลักเป็นการชั่วคราว
เธอคิดในใจว่าการอยู่ในเรือนที่ป้าโจวเคยอาศัยอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ตอนกลางวันเสวี่ยหยวนจิ้งจะไปเรียนที่สำนักศึกษา ส่วนเธอก็ไปที่ร้านตัดชุด จะได้พบกันอย่างมากก็แค่ช่วงที่กินข้าวเช้าข้าวเย็นด้วยกันเท่านั้น หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จต่างก็ออกไปทำธุระของตัวเอง พอกินข้าวเย็นเสร็จเสวี่ยเจียเยว่จะกลับเรือนของตัวเอง เธอหวังว่าเมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกที่เสวี่ยหยวนจิ้งมีต่อเธอจะค่อยๆ ลดน้อยลงจนสลายไปเอง เมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็จะยังเป็นพี่น้องกันได้ เพียงแต่พวกเขาจะไม่สนิทสนมกันเหมือนอย่างเคยอีกแล้ว
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ทีไรเธอก็รู้สึกหดหู่ในใจเสมอ แต่โชคดีที่พวกเขายังปฏิบัติต่อกันเหมือนเป็นพี่น้องได้ ถึงอย่างไร สุดท้ายเสวี่ยเจียเยว่ก็คิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งคือพี่ชายของเธอ และเป็นญาติเพียงคนเดียวด้วย
แต่เสวี่ยหยวนจิ้งกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น การที่ทั้งสองคนตัดสินใจแยกกันอยู่ในเรือนคนละหลัง เป็นเพราะสถานการณ์บังคับเท่านั้น
ชายหนุ่มเข้าใจดีว่าเสวี่ยเจียเยว่เห็นเขาเป็นเหมือนพี่ชายมาโดยตลอด เมื่อจู่ๆ เขาก็สารภาพความในใจออกมา ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กสาวจะทำใจยอมรับไม่ได้จนถึงขั้นคิดจะจากเขาไป แต่นั่นก็ไม่สำคัญอันใด เขาจะค่อยๆ ให้เวลาอีกฝ่ายเพื่อปรับตัวและยอมรับเขาในที่สุด
ตอนนี้เขาต้องทำให้เสวี่ยเจียเยว่สงบลงก่อน จะให้แม่นางน้อยออกไปจากที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด หลังจากนี้เขาจะใส่ใจและทำให้เด็กสาวยอมรับเขาอย่างช้าๆ
วันนี้เสวี่ยหยวนจิ้งตื่นขึ้นมาในตอนเช้า แล้วนั่งอ่านตำราอยู่ข้างหน้าต่าง พร้อมทั้งคอยสังเกตความเคลื่อนไหวในเรือนหลัก เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่เปิดประตูออกมา เขาก็รีบหยิบถังไม้ออกไปทำท่ารดน้ำดอกไม้ และ ‘บังเอิญ’ เงยหน้าขึ้นมาเห็นเด็กสาวพอดี จึงพยักหน้าให้อีกฝ่ายและเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าตื่นแล้วหรือ”
ยามนี้ชายหนุ่มอายุสิบเก้าปีแล้ว เขายืนอยู่ท่ามกลางแสงแดดสีส้มในตอนเช้าตรู่ ใบหน้าหล่อเหลาดั่งหยก ร่างสูงโปร่งเด่นชัดในชุดคลุมยาวสีฟ้า
หลังจากเสวี่ยเจียเยว่มองเขาครู่หนึ่งจึงพยักหน้า “อือ”
เสวี่ยหยวนจิ้งถามเด็กสาวอีก “ล้างหน้าบ้วนปากเสร็จแล้วหรือยัง มากินข้าวเช้าด้วยกันสิ”
แม้ว่าตอนนี้ทั้งสองจะไม่ได้อยู่ในเรือนฝั่งตะวันออกด้วยกัน แต่ยังกินข้าวด้วยกันเช่นเคย เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำเอง มีเสี่ยวฉานเป็นคนจัดเตรียมไว้ให้แล้ว
เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้าและเดินออกไปจากเรือนหลักอย่างว่าง่าย
เสวี่ยหยวนจิ้งจัดโต๊ะอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว วันนี้มีข้าวต้มถั่วเขียว เซาปิ่งสองแผ่น ผัดผักกวางตุ้งใส่หน่อไม้หนึ่งชาม และไข่เค็มหั่นอีกสองใบ
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่นั่งลงแล้ว เธอก็หยิบเซาปิ่งหนึ่งแผ่นขึ้นมาแล้วบิออกครึ่งหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าอย่างเงียบๆ
เสวี่ยหยวนจิ้งมองเด็กสาวครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบไข่เค็มขึ้นมา และใช้ตะเกียบคีบไข่แดงในไข่ทั้งสองใบวางลงในชาม ก่อนจะเลื่อนชามนั้นไปตรงหน้าเสวี่ยเจียเยว่
เขารู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่ชอบกินไข่แดงในไข่เค็มเป็นที่สุด และแน่นอนว่าส่วนที่ดีที่สุดของไข่เค็มก็คือไข่แดง แต่จะมีสักกี่คนที่ยอมกินไข่ขาวและมอบไข่แดงให้อีกฝ่ายกิน
เสวี่ยเจียเยว่มองไข่สีแดงอมทองที่วางอยู่ในชาม พร้อมกับกัดปลายตะเกียบด้วยความงุนงง
จากนั้นเธอรู้สึกได้ว่าหน้าผากของตนถูกดีดเบาๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังถามเธอด้วยรอยยิ้ม
“เจ้ามัวแต่ตะลึงอันใด เหตุใดถึงไม่กินเล่า”
ราวกับดวงตาของเขามีรอยยิ้มจางๆ สะท้อนแสงแดดยามเช้าตรู่นอกเรือน ยิ่งมองเสวี่ยหยวนจิ้งมากเท่าไรก็ยิ่งตะลึงงันมากเท่านั้น
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เธอถึงได้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “ท่านพี่ ข้าไม่ชอบการที่พวกเราเป็นอยู่ตอนนี้เลย ข้า… ข้ารู้สึกเสียใจมากเจ้าค่ะ”
เมื่อก่อนเสวี่ยหยวนจิ้งก็เคยดีดหน้าผากเธออยู่บ่อยครั้ง ทั้งยังยิ้มและทำดีกับเธอ แต่ตอนนี้สถานการณ์ระหว่างพวกเขาแตกต่างจากอดีตไปแล้ว
เธอมักจะรู้สึกว่าการกระทำ คำพูด รอยยิ้ม รวมไปถึงเรื่องดีๆ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจทำ
ชายหนุ่มอยากให้เธอมีความสุข จึงระมัดระวังเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ แต่เสวี่ยเจียเยว่ไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้ เธอชอบตอนที่พวกเขาทั้งสองคนไม่มีเรื่องคับข้องหมองใจต่อกันอย่างในอดีต
ขณะเดียวกันหัวใจของเสวี่ยหยวนจิ้งก็สั่นไหวเล็กน้อย เขายังคงทำราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น “ถ้าอย่างนั้นเจ้าอยากให้พวกเราเป็นแบบไหน สนิทสนมกันเหมือนอดีตอย่างนั้นหรือ เจ้ายิ้มให้ข้า ทำตัวออดอ้อนข้า ตอนที่เจ้าไม่มีความสุขก็โกรธข้า อารมณ์เสียจนข้าต้องไปเอาใจเจ้าอย่างนั้นหรือ”
เมื่อนึกถึงตอนที่เขากับเสวี่ยเจียเยว่ใกล้ชิดกัน มุมปากของเสวี่ยหยวนจิ้งพลันยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
อันที่จริงเขาเองก็คิดถึงช่วงเวลานั้นเช่นกัน ไม่ใช่อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ระหว่างพวกเขาสองคนเย็นชาเหมือนเดินอยู่บนน้ำแข็งชั้นบางๆ แม้ว่าจะนั่งคุยกันใกล้ๆ เช่นนี้ แต่ก็มักรู้สึกเสมอว่ามีบางอย่างกั้นกลางอยู่ตลอดเวลา
เสวี่ยเจียเยว่ไม่กล่าวคำใด แต่จริงๆ แล้วเธอก็ต้องการเป็นเหมือนเมื่อก่อน
เธอคิดถึงช่วงเวลานั้น…
จากนั้นไม่นานเสียงของเสวี่ยหยวนจิ้งก็ดังขึ้น “อันที่จริงแล้ว หากเจ้าต้องการ… พวกเราสามารถใกล้ชิดกันเหมือนที่ผ่านมาได้ และยังสามารถใกล้ชิดกันได้มากกว่านี้ เยว่เอ๋อร์ เจ้าก็รู้ว่าข้ารอเจ้าเสมอ รอวันที่เจ้าจะมาอยู่ข้างกายของข้า”
น้ำเสียงของเขามักทำให้ผู้คนหลงใหล ยามนี้เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินดังนั้น หัวใจของเธอสั่นสะท้านขึ้นมาทันที จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นและเห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังมองมาที่เธอด้วยความคาดหวังซึ่งไม่ปิดบังแม้แต่น้อย ราวกับว่าเขากำลังรอให้เธอเดินเข้าไปหาก็ไม่ปาน
ชั่วขณะนั้นเสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าหัวใจของเธอเริ่มเต้นแรง ใบหน้าก็แดงเรื่อขึ้นมาในทันใด
เธอวางตะเกียบลงแล้วลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ จากนั้นก็เอาแต่หลบสายตาไม่กล้ามองเสวี่ยหยวนจิ้ง และทำได้เพียงพูดออกไปอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ… พริกในที่ดินที่พวกเราเช่าสุกหมดแล้ว หลายวันก่อนข้าก็บอกท่านผู้เฒ่าอูและครอบครัวของเขาไปแล้วว่าให้เด็ดพริกที่เหลือในวันนี้ทั้งหมด ข้ากำลังจะออกไปดูเสียหน่อย”
เมื่อกล่าวจบเธอก็หมุนตัวและวิ่งออกไปจากประตูราวกับว่ากำลังหนีบางอย่าง
เสวี่ยหยวนจิ้งมองแผ่นหลังของเด็กสาวที่วิ่งหนีออกไป ก่อนจะหัวเราะในใจ
แม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะวิ่งหนีเมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนั้น แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้โกรธเคืองเหมือนครั้งที่เขาสารภาพความในใจ ตอนนั้นเด็กสาวหลีกเลี่ยงที่จะพูดคุยกับเขา กระทั่งเอ่ยว่าจะออกไปเช่าเรือนอีกหลัง
ถึงอีกฝ่ายจะยังไม่ยอมรับเขา แต่ไม่มีทีท่าว่าจะปฏิเสธอย่างเด็ดขาด และการที่เป็นเช่นนี้ก็ดีมากแล้ว เขาคงประสบความสำเร็จขึ้นอีกขั้น
หลังจากมองตามเสวี่ยเจียเยว่อีกครู่หนึ่ง เขาก็ลุกขึ้นเดินไปหยิบกล่องไม้ไผ่ใบใหญ่ที่เตรียมเอาไว้ขึ้นมา จากนั้นหยิบชุดคลุมสีเขียวออกมา และเมื่อปิดประตูเรือนเรียบร้อยแล้ว เขาจึงหอบกล่องกับชุดคลุมเดินไปที่ประตูลานเรือน
เสวี่ยเจียเยว่กำลังยืนมองถนนหน้าประตูลานเรือน ยามนี้รถม้าที่เธอจ้างเอาไว้เมื่อวานยังไม่มา
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกเหมือนมีของบางอย่างร่วงลงมาบนไหล่ทั้งสองข้างจึงรีบหันไปมอง พบว่าเสวี่ยหยวนจิ้งคลี่ชุดคลุมสีเขียวลงบนตัวเธอ
“ที่ชานเมืองลมแรง เจ้าสวมชุดเช่นนั้นได้อย่างไร สวมชุดคลุมตัวนี้เอาไว้เถิด” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน มือเรียวยาวของเขาผูกมัดเชือกด้านหน้าชุดคลุมอย่างคล่องแคล่ว
เสวี่ยเจียเยว่ไม่มองเขาและไม่พูดอะไรสักคำ เธอรู้สึกว่าเสวี่ยหยวนจิ้งใกล้จะกลายเป็นชายที่อบอุ่น แต่อีกใจก็รู้ดีว่าเขาไม่ใช่คนเช่นนี้อย่างแน่นอน
แม้ว่าที่ผ่านมาชายหนุ่มจะตามใจเธอมาตลอด แต่บางครั้งที่เธอทำผิดเขาจะดุและเอ่ยคำพูดร้ายกาจ หากเธอร้องไห้พร้อมกับเรียกเขาว่าท่านพี่ และกอดแขนออดอ้อนสักหน่อยเขาก็จะหายโกรธ กระทั่งหลังจากตันหงอี้กลับไป เขายังพูดให้เธอเสียใจ ก่อนจะกดเธอเข้ากับกำแพงอย่างรุนแรงแล้วจูบอย่างดุดัน…
ไม่ว่าอย่างไรเสวี่ยหยวนจิ้งก็ไม่มีทางอ่อนโยนเหมือนอย่างในตอนนี้
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าเธอไม่ชอบเสวี่ยหยวนจิ้งในตอนนี้ เพราะเขามักสวมหน้ากากที่อ่อนโยนและปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอาไว้ เธอชอบเขาในอดีตที่มักจะตามใจ แต่เมื่อเธอทำผิดพลาดก็ดุอย่างมีเหตุผล
ทว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองในยามนี้ เป็นสิ่งที่เธอคาดหวังเอาไว้หลังจากทั้งคู่เลือกจะเปิดเผยความรู้สึกต่อกันไม่ใช่หรือ แล้วตอนนี้เธอยังต้องโทษสิ่งใดอีก
เสวี่ยเจียเยว่ไม่พูดอะไร และเอาแต่หลุบตาลงมองพื้น
หางตาเธอเหลือบมองเสวี่ยหยวนจิ้งที่คลุมชุดคลุมให้แล้วแต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับห่างออกไป กลับเอาแต่ยืนอยู่ข้างๆ เสวี่ยเจียเยว่จึงอดเงยหน้าขึ้นมองเขาไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยถาม
“วันนี้ท่านไม่ไปสำนักศึกษาหรือเจ้าคะ”
[1] คือเสื้อกันหนาวสองชั้นที่ทำจากผ้าทอ