ตอนที่ 273 ความสับสน
ตอนที่ 273 ความสับสน
ฉีเฉิงเฟิงรีบตามไปในทันที ทุกคนเดินด้วยความเร่งรีบ ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อพวกก็มาถึงทะเลสาบ ด้านข้างของทะเลสาบรายล้อมไว้ด้วยฝูงชนจำนวนมาก
หากมองจากที่ไกล ๆ ก็เห็นศพที่สวมใส่อาภรณ์ปักลายดอกโบตั๋นด้วยสีทองนอนอยู่บนพื้น เมื่อนึกถึงชุดที่แม่จ้าวใส่ในวันนี้ก็เป็นลวดลายโบตั๋นเช่นกัน หัวใจของนางพลันรู้สึกไม่ดีขึ้นมา และรีบวิ่งเข้าไปดูทันใด
ผู้คนที่ยืนรายล้อมอยู่ต่างแหวกทางให้เมื่อเห็นซูหวานหว่านเดินเข้ามา ร่างของผู้เสียชีวิตเปียกปอน ดูเหมือนเพิ่งจะเอาขึ้นมาจากน้ำ ใบหน้าเปื้อนเลือด ผมเผ้ารุงรัง ไม่มีเครื่องประดับและเงินติดตัว ถึงแม้จะเป็นศพไร้หน้า หากดูเพียงการแต่งตัวแน่นอนว่าคือฮูหยินตระกูลร่ำรวยแน่นอน
“คุณหนูใหญ่ อย่ามองเลย ฮูหยินตายแล้ว!” สาวใช้ยกมือขึ้นปิดใบหน้า ไม่กล้ามองศพที่อยู่บนพื้น
“ใช่แล้ว! ข้าไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนฆ่า แต่ว่าพวกมันขโมยเงินและเครื่องประดับไปหมด พวกมันช่างโหดเหี้ยมจริง ๆ!”
“…”
คนใช้พยายามเอ่ยเกลี้ยกล่อม ซูหวานหว่านจึงเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล นี่ไม่ใช่ศพของฮูหยินจ้าว”
ซูหวานหว่านชี้ไปที่ร่างนั้นและกล่าวว่า “มือคู่นี้ดูบอบบาง มองดูแล้วน่าจะอายุเพียงยี่สิบกว่า ๆเท่านั้น อายุไม่เท่ากับฮูหยิน นอกจากนี้ฮูหยินมักจะสวมแหวนปานจื่อ*[1]เอาไว้ตลอดเวลา สีผิวที่มือของคนคนนี้ยังเรียบเสมอเท่ากัน ไม่มีร่องรอยของการสวมใส่แหวนใด ๆ”
ซูหวานหวานหว่านพยักหน้าพลางเอ่ยการสันนิษฐาน ทำให้เหล่าคนรับใช้รู้สึกศรัทธาในตัวนางขึ้นมา ฉีเฉิงเฟิงเองก็มองหญิงสาวด้วยแววตาชื่นชม และกล่าวกับพ่อบ้านว่า “ไปรายงานเรื่องนี้กับทางการ เพื่อจะได้พิสูจน์ว่านางคือผู้ใดมาจากตระกูลไหน”
“ขอรับ” พ่อบ้านรับคำสั่งอย่างทันท่วงที ส่วนซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงยังคงยืนรออยู่ที่เดิม พร้อมกับคนใช้ของพวกเขาสองสามคน
ซูหวานหว่านใช้เวลาที่เหลือในขณะรอ สำรวจเสื้อผ้าของร่างนั้นอย่างละเอียด พลันรู้สึกหงุดหงิดมาก เมื่อสำรวจเสื้อผ้าอย่างละเอียดดีแล้วก็มั่นใจว่านี่เป็นเสื้อผ้าของแม่จ้าวอย่างแน่นอน จึงเอ่ยออกมาอย่างหงุดหงิดว่า “ชุดนี้เป็นชุดของฮูหยินจริง ๆ หากใครอยากได้มันก็มาถอดเอาไปได้”
คนใช้ที่ฟังอยู่ต่างรู้สึกกลัว แต่ว่าชุดนี้มันมีมูลค่าหลายตำลึง!
ว่ากันว่าย่อมต้องมีผู้กล้าภายใต้ทองหลายตำลึง ในที่สุดก็มีคนใจกล้าเดินเข้ามาถอดเสื้อผ้าให้กับศพนี้ หลังจากนั้นซูหวานหว่านก็พบว่าศพนี้ไม่มีเสื้อผ้าอะไรเหลืออยู่บนตัว
นอกจากนี้ยังมีรอยแดง ๆ ตามร่างกายด้วย
ดูเหมือนว่าศพนี้จะตายแบบผิดปกติ!
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของแม่จ้าว ซูหวานหว่านก็คงจะไม่ยืนรออยู่ที่นี่อย่างแน่นอน เมื่อเหล่าพลลาดตะเวนปรากฏตัว ซูหวานหว่านก็เอ่ยถึงเรื่องการหายตัวของแม่จ้าวก่อน และมอบเงินอีกหนึ่งพันตำลึงสำหรับการสืบคดีนี้ เมื่อเห็นแบบนี้ก็ต่างดึงดูดความสนใจของเหล่าพลลาดตระเวนได้ทันที พวกเขาตอบรับคำว่าจะช่วยเรื่องนี้ และจะมาแจ้งให้ซู หวานหว่านรับรู้ทันทีหากมีความคืบหน้าอะไร
ฉีเฉิงเฟิงส่งคนออกไปตามหาแม่จ้าวอีกแรง แล้วส่วนตัวเขานั้นก็คอยอยู่ข้าง ๆ หญิงสาวตลอดเวลา เพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับนางอีก
ก่อนพลบค่ำ ก็มีคนของพลลาดตระเวนเข้ามาส่งข่าวบอก ซูหวานหว่านเกี่ยวกับความคืบหน้าของคดี “คุณหนูจ้าว เรื่องศพหญิงสาวที่เสียชีวิตใกล้ ๆ ทะเลสาบบ้านของท่าน นางเป็นอนุคนที่หกของตระกูลหลิว เพราะวันนี้ตอนเช้าข้าได้รับแจ้งข่าวมาว่าก่อนที่นางจะตาย นางได้ทะเลาะกับฮูหยินหลิว และนางก็ออกจากบ้านมาและไม่รู้ว่าตอนนี้นางไปอยู่ที่ไหน อีกทั้งนางไม่ได้พาคนใช้ติดตามไปด้วย แล้ว…สุดท้ายก็กลายเป็นศพอย่างที่เห็นนั่นแหละ”
ซูหวานหว่านยังรู้สึกไม่พอใจกับเบาะแสนี้ นางหยิบเงินขึ้นมาแล้วใส่เอาไว้ในมือของพลลาดตระเวนคนนั้นแล้วพูดว่า “ข้าขอถามอะไรเจ้าสักอย่างสิ ข้าขอดูคดีไร้หน้าทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ได้หรือเปล่า?”
“เอ่อ…” ซูหวานหว่านไม่ได้เป็นคนของทางการ! คดีทั้งหมดเป็นความลับทางราชการ! พลลาดตระเวนคนนั้นรู้สึกเป็นกังวล แต่ว่าเงินที่อยู่ในมือมันน่าดึงดูดมากกว่า “คุณหนูจ้าว เรื่องนี้…”
“พูดออกมาเถอะ คุณหนูจ้าวนางเป็นคนฉลาด บางทีนางอาจจะช่วยพวกเจ้าตามจับฆาตกรได้” ฉีเฉิงเฟิงกล่าวขึ้น
เมื่อพลลาดตระเวนคนนั้นได้ยินแบบนี้ก็ยอมรับเงินเอาไว้ องค์ชายสามถึงกับเอ่ยปากด้วยตนเอง เขาจะไม่พูดออกมาได้อย่างไรกัน!
“คุณหนูจ้าวคงยังไม่รู้ว่าเหตุการณ์นี้มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อเดือนก่อน แต่…ฆาตกรกลับหายไปแบบไร้ร่องรอย ตามตัวไม่ได้ และทางการก็ยังไม่รู้ว่าฆาตกรนั้นเป็นชายหรือหญิง…”
“เป็นผู้หญิง” ซูหวานหว่านพูดแทรกพลลาดตระเวนคนนั้นขึ้นมา และพูดออกมาอย่างมั่นใจ หากแต่นางก็ไม่ได้อธิบายอะไรเกี่ยวกับสือฉินเอ๋อร์ให้เหล่าพลลาดตระเวนฟัง นางจึงกล่าวต่อ “คนที่ลักพาตัวแม่ของข้าไปแน่นอนว่าต้องเป็นผู้หญิง และนางก็พรางตัวเก่งมาก วันนี้ข้าและองค์ชายสามเพิ่งจะมาแน่ใจกันเอง เพราะว่าคนใช้นั้นบอกว่านางเห็นข้าเข้าไปในห้องแม่ของข้า แล้วต่อมาข้าก็หาแม่ไม่พบ และแล้วก็มาพบว่าเสื้อผ้าของแม่ข้าอยู่บนร่างของหญิงสาวคนนั้น ข้าคิดว่าแม่ของข้าอาจจะยังไม่ตาย แต่ฆาตกรคงจะลักพาตัวแม่ของข้าไป!”
ซูหวานหว่านคิดว่าลักษณะนี้ต้องเป็นการลงมือของสือฉินเอ๋อร์แน่! เพราะนางมักจะทิ้งสัญลักษณ์ไว้บนร่างของศพ และนางก็เอ่ยเตือนว่า “เจ้าได้ตรวจสอบไหมว่าก่อนที่คนเหล่านั้นจะตาย พวกเขาไปที่ใดกันมาบ้าง?”
“เอ่อ…” เขายังไม่ได้ตรวจสอบ! พลลาดตระเวนคนนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตบหัวตนเองทันที “คุณหนูจ้าวเป็นเพราะว่าเจ้าได้เตือนข้า! น่าเสียดายที่ตอนนั้นมัวแต่คิดเรื่องอื่น ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเลย!”
พลลาดตระเวนคนนี้มีชื่อว่า หลี่ถัง เขาถือว่าตัวเองเป็นคนฉลาด พอคิดได้เขาก็กล่าวออกมาว่า “ผู้หญิงที่เสียชีวิตในวันนี้ ข้าได้ยินข่าวมาว่านายท่านหลิวนั้นไม่รักนางเหมือนเมื่อก่อน และเมื่อเร็ว ๆ นี้ท้องของนางก็เริ่มใหญ่ขึ้น และก็มีข่าวลือว่านางลอบทำเรื่องน่าอายลับหลังของนายท่านหลิว วันนี้ข้าได้เพิ่งจะสอบสวนอย่างละเอียด แล้วพบว่านางตั้งท้องอยู่จริง ๆ! แต่ว่าตระกูลหลิวกลับไม่ยอมรับ!”
ดูเหมือนว่า ผู้หญิงคนนี้จะไปทำเรื่องไม่ดีลับหลังเอาไว้จริง ๆ ซูหวานหว่านครุ่นคิดแล้วพูดว่า “แล้วแม่ของข้าล่ะนางอยู่ที่ไหน? มีใครเจอนางบ้างหรือเปล่า?”
“เอ่อ…”
ใบหน้าของหลี่ถังเผยความลำบากใจขึ้นมาทันที ทำให้ซูหวานหว่านรู้คำตอบ นางถอนหายใจออกมา และแอบคิดในใจว่าดูเหมือนว่านางจะยังต้องหาเป้าหมายต่อไปของสือฉินเอ๋อร์ เพื่อที่จะสามารถจับตัวนางได้! มันเป็นวิธีเดียวที่จะหาตัวแม่จ้าวพบ!
แต่… ใครจะไปคาดเดาได้ว่าสือฉินเอ๋อร์จะทำเรื่องอะไรต่อไป! นางจะต้องรีบหาตัวของสือฉินเอ๋อร์ให้พบ ไม่อย่างงั้นแม่จ้าวอาจจะต้องตาย!
ซูหวานหว่านคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่นางก็ได้ยินเสียงของหลี่ถังพูดขึ้นมาว่า “ก่อนหน้านี้ เคยมีคดีลักษณะนี้เกิดขึ้นมาแล้ว มันดูเหมือนจะมีความคล้ายคลึงกับศพหญิงสาวรายนี้ด้วย ได้ยินมาว่ามีตระกูลหนึ่งตอนที่เมียของเขาตั้งท้องอยู่ เขาก็ไปแต่งงานรับอนุมาเลี้ยงดู และเมียหลวงของเขาโกรธมาก ก่อนที่วันต่อมาจะพบศพในสภาพไร้หน้าและแท้งลูก!”
หลังจากนั้น ซูหวานหว่านก็ฟังหลี่ถังเล่าเรื่องที่ผู้ชายคนนั้นทำเลวทรามอะไรกับหญิงสาวเอาไว้บ้าง โลกนี้มันมักจะถูกบิดเบือนเสมอ หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน นางก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มันจะต้องเกี่ยวข้องกับฆาตกรอย่างแน่นอน
ดูเหมือนฆาตกรต้องการลงโทษพวกเขาจึงลงมือฆ่าคน แล้วทำไมถึงจะต้องการลอกเอาหนังคนออกมา? มันไม่จำเป็นเลยสักนิด
ซูหวานหว่านยังคงรู้สึกไม่เข้าใจ และหลี่ถังเองก็ยิ่งรู้สึกงุนงง ทันใดนั้นนางก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงสั่งให้คนใช้เดินออกไปส่งหลี่ถัง
หลังจากที่หลี่ถังออกไป ซูหวานหว่านก็ได้บอกกับฉีเฉิงเฟิงถึงแผนการของนาง หญิงสาวกะว่าจะใช้เวลากลางดึกเพื่อตามจับฆาตกร แน่นอนถ้าเป็นปกติฉีเฉิงเฟิงคงจะไม่ยอมให้ซูหวานหว่านทำเรื่องที่เสี่ยงต่ออันตรายแน่นอน แต่ว่าซูหวานหว่านจะไม่คิดถึงความปลอดภัยของแม่จ้าวแม่ของนางได้อย่างไรกัน?
พอตกกลางดึก ซูหวานหว่านก็ออกจากบ้านตระกูลจ้าวอย่างเงียบ ๆ และปีนขึ้นไปยังบนหลังคาบ้านอย่างรวดเร็ว เมื่อขึ้นมายืนอยู่บนจุดสูงสุดของหลังคาบ้านของตระกูลจ้าว ทันใดนั้นนางเห็นเงาบางอย่างอยู่หลังกำแพง
ร่างสีดำสวมเสื้อคลุมสีดำ ซูหวานหว่านจำร่างนั้นได้อย่างรวดเร็วว่าเงานั้นก็คือสือฉินเอ๋อร์!
ซูหวานหว่านพลันกระโดดข้ามไปในทันที แต่เมื่อนางไปถึงที่นั่น ก็ไม่เห็นสือฉินเอ๋อร์แล้ว นางเริ่มกวาดสายมองไปรอบ ๆ ทันใดนั้นก็มีมือหนึ่งพาดมาจับไหล่ของนาง!
นางถูกเจอตัวแล้ว!
[1] แหวนปานจื่อ หรือ อังคุฐธำมรงค์ 扳指 bānzhi คือแหวนขนาดใหญ่ที่ใช้สวมที่นิ้วหัวแม่มือของบุรุษชั้นสูง