ในเมื่อมิใช่มารดาผู้ให้กำเนิด ภายใต้อำนาจของราชวงศ์ ความสัมพันธ์ในครอบครัวล้วนจืดจางห่างเหิน ความสัมพันธ์ระหว่างอาหลานที่แนบแน่นเฉกเช่นเซียวเยี่ยนและเซียวจิ่นถือได้ว่าหาได้ยากยิ่งนัก
เซียวจิ่นไม่ได้แสดงออกทางสีหน้ามากมายนัก หลังจากนั้นชั่วอึดใจหว่างคิ้วของเขามีความวิตกกังวลอยู่บ้าง “เสด็จอาไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ยามปกติเขาดีต่อเจิ้นไม่น้อย เวลานี้สุขภาพย่ำแย่ เจิ้นเดินเหินไม่สะดวก เสด็จแม่ไปเยี่ยมแทนเจิ้นย่อมเป็นเรื่องสมควร”
ยามบ่ายหลินชิงเวยช่วยฝังเข็มให้เซียวจิ่นเพื่อกระตุ้นเส้นประสาทและกล้ามเนื้อขาทั้งสองข้างของเขา ดูท่าแล้วเซียวจิ่นได้เตรียมตัวเตรียมใจเป็นอย่างดีแล้ว ไม่ว่าขั้นตอนจะลำบากทุกข์ทนเพียงใดเขาล้วนกัดฟันอดทนอดกลั้นขอเพียงเขายืนขึ้นมาได้
คิดไม่ถึงว่าเมื่อถึงยามบ่ายภายในวังจะครึกครื้นขึ้นเล็กน้อย
เซียวจิ่นไม่รู้เลยว่าเมื่อคืนนี้ถนนสายยาวนอกวังงดงามและน่าชมเพียงใด เขาพูดกับหลินชิงเวยราวกับนำสิ่งของล้ำค่าออกมา “วันนี้เป็นวันเทศกาลเด็กผู้หญิง[1] ในวังจะจัดงานเลี้ยงขึ้น กลางคืนมีการจุดดอกไม้ไฟเพื่อเฉลิมฉลองร่วมกับไพร่ฟ้าประชาชน น่าจะงดงามยิ่งนัก ถึงเวลานั้นเจิ้นพาเจ้าไปชมด้วยกัน”
หากเซียวจิ่นรู้ว่าเมื่อคืนเซียวเยี่ยนและหลินชิงเวยได้ชื่นชมและเล่นสิ่งของแปลกใหม่ตลอดถนนสายยาวนั้นแล้ว เวลานี้มาพูดเช่นนี้ย่อมรู้สึกว่าไม่น่าสนใจ
ที่จริงหลินชิงเวยซื้อของขวัญให้เขาและซินหรูแต่ไม่ได้นำกลับมาสักชิ้น นางกลับคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดี ให้เซียวจิ่นเบิกบานใจในค่ำคืนนี้ จึงตอบรับว่า “ดีสิเพคะ ในงานเลี้ยงของวังหลวงมีของอร่อยกินหรือไม่เพคะ?”
“มีแน่นอน มีให้เลือกมากมายกว่าในยามปกติมากนัก”
“เช่นนั้นเวลาดูดอกไม้ไฟต้องหาสถานที่สูงสักหน่อยเพคะ” หลินชิงเวยถามอีก “จะมีการแต่งโคมไฟดอกกล้วยไม้ที่สระไท่เยี่ยหรือไม่เพคะ? หม่อมฉันได้ยินว่าเมื่อถึงเทศกาลเด็กผู้หญิง ผู้คนนอกวังล้วนประดับดอกกล้วยไม้”
นี่เป็นเรื่องที่นางเพิ่งได้รู้เมื่อคืนเช่นกัน
สีหน้าของเซียวจิ่นปรากฎความตื่นเต้นจางๆ แต่ด้วยฐานะของเขาจึงไม่อาจแสดงออกมากนัก “มีแน่นอน”
เมื่อถึงเวลาบ่ายคล้อยงานเลี้ยงในวังครั้งนี้ตระเตรียมไปได้พอสมควรแล้ว ดูท่าแล้วน่าจะเป็นงานเลี้ยงใหญ่โต ด้วยยังได้เชิญขุนนางในราชสำนักมาร่วมงานเลี้ยง
นางกำนัลของตำหนักซวี่หยางเริ่มทำงานมือเป็นระวิง สรงน้ำและเปลี่ยนอาภรณ์ให้กับเซียวจิ่น เรื่องการปรนนิบัติใกล้ชิดเช่นนี้หลินชิงเวยยังทำไม่ได้จึงได้แต่นั่งรออยู่หน้าประตู
เมื่อนางหรี่ตาลงกลับเห็นว่าภายใต้ดอกไถ่หังที่บานสะพรั่ง มีเงาร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งกำลังเดินเข้าผ่านประตูตำหนักเข้ามาและมุ่งหน้ามาทางนี้
เมื่อแรกนางยังคิดว่าตนเองตาพร่า เมื่อเพ่งมองดีๆ ถูกต้อง เป็นเซียวเยี่ยนจริงๆ
ขณะที่เซียวเยี่ยนเดินเข้ามาใกล้ บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองจึงกลายเป็นประดักประเดิดชั่วอึดใจหนึ่ง เขาเอ่ยขึ้นว่า “ฮ่องเต้เล่า”
หลินชิงเวยชี้ไปที่ประตูด้านหลังตน “ทรงสรงน้ำและเปลี่ยนฉลองพระองค์อยู่ข้างในเพคะ หม่อมฉันว่าเสด็จอามิใช่ควรจะนอนพักผ่อนหรือเพคะ ออกมาเดินเพ่นพ่านอีกแล้ว?”
เทศกาลเด็กผู้หญิงไม่นับเป็นเทศกาลใหญ่สำหรับวังหลวง แต่ก็มิใช่เทศกาลที่จะมองข้ามประหนึ่งเป็นเทศกาลเล็กๆ ได้เช่นกัน อีกทั้งงานเลี้ยงครั้งนี้ยังได้เชิญเหล่าขุนนางมาร่วมงานเซียวเยี่ยนไหนเลยจะไม่ปรากฏตัวได้
เซียวเยี่ยนพูดเรียบๆ “เปิ่นหวางไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้ว”
ต่อมาเมื่อเซียวจิ่นอาบน้ำเสร็จแล้ว เซียวเยี่ยนและหลินชิงเวยจึงเข้าไปด้านใน ร่างกายของเซียวจิ่นยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายชุ่มชื้นบางๆ เส้นผมสีดำยังคงเปียกเล็กน้อย นางกำนัลกำลังสางผมให้เขาแล้วใช้เกี้ยวทองครอบศรีษะ ทั้งด้านหน้าและด้านหลังล้วนมีม่านไข่มุกเก้าสายอยู่บนเกี้ยว ขับให้เซียวจิ่นในวัยเยาว์ดูไปแล้วทรงพลังอำนาจและความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นหลายส่วน
บนร่างของเขาได้สวมเสื้อคลุมมังกรไว้แล้ว เมื่อนั่งลงบนเก้าอี้มังกรทำให้ทั่วร่างล้วนเป็นระเบียบเรียบร้อยพิถีพิถันยิ่งยวด
เซียวจิ่นเห็นเซียวเยี่ยน จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เสด็จอามิใช่ไม่สบายหรอกหรือ ไฉนจึงไม่พักผ่อน เรื่องในคืนนี้เจิ้นจัดการได้”
เซียวเยี่ยนกล่าว “ข้าเชื่อว่าฝ่าบาทต้องทำได้ดีแน่นอน เพียงแต่ระหว่างงานเลี้ยง องครักษ์ภายในวังต้องเพิ่มกำลังความเข้มงวดกวดขัน จะให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นไม่ได้ ข้าจึงสมควรต้องไปดูสักหน่อย”
“แต่ร่างกายของเสด็จอา…” เซียวจิ่นเป็นกังวลอย่างมาก
เซียวเยี่ยนกล่าว “ฝ่าบาทไม่ต้องกังวล ดีขึ้นพอสมควรแล้ว ล้วนเป็นบาดแผลเล็กน้อย”
ที่จริงแล้วหลินชิงเวยปรารถนาให้เซียวจิ่นยืนกรานให้เซียวเยี่ยนปลีกตัวกลับไปพักผ่อน แต่คำพูดเช่นนั้น ย่อมทำให้เซ่อเจิ้งอ๋องผู้นี้ไม่มีคุณค่าของการมีตัวตนอีกต่อไป
ดังนั้นหลินชิงเวยกระจ่างแจ้งเหลือเกิน เซียวจิ่นย่อมไม่ปฏิเสธ ต่อให้เซียวจิ่นจะออกปากว่าตนเองสามารถทำได้ดี ที่จริงแล้วเขายังคงปรารถนาให้เซียวเยี่ยนเป็นที่พึ่งพาของเขา
เซียวเยี่ยนไม่ได้รั้งอยู่ในตำหนักซวี่หยางนานนัก ก่อนหน้าที่จะออกไปเซียวจิ่นยังเอ่ยขึ้นอีกว่า “เสด็จอา งานเลี้ยงคืนนี้เจิ้นอยากพาชิงเวยไปด้วย”
เรื่องลานประหารครั้งที่แล้วเป็นเขาที่ตัดสินใจโดยพลการ ส่งผลให้หลินชิงเวยพลอยเดือดร้อนไปด้วย ครั้งนี้เซียวจิ่นจึงขอความเห็นจากเซียวเยี่ยน
อย่างไรงานเลี้ยงกลางคืนมิได้ห้ามไม่ให้นางสนมของตำหนักในออกมาปรากฏกาย เมื่อถึงเวลาไทเฮาและนางสนมที่มีตำแหน่งล้วนออกมาร่วมงาน หากจะทิ้งหลินชิงเวยไว้ที่นี่ มิสู้ให้อยู่ใกล้ตาจะเป็นการเหมาะสมกว่า
เซียวเยี่ยนหันไปมองหลินชิงเวยแวบหนึ่ง จากนั้นผงกหน้าเนิบๆ “เช่นนั้นพาหลินเจาอี๋ไปด้วยกันเถิด”
เมื่อเขาเดินผ่านร่างของหลินชิงเวย นางรีบกล่าวว่า “ในงานเลี้ยงโปรดงดดื่มสุราและอาหารรสเผ็ด อย่าได้โทษว่าหม่อมฉันไม่ได้เตือนท่านนะเพคะ”
หลังจากกล่าวประโยคนี้ออกมาฝีเท้าของเซียวเยี่ยนหยุดชะงัก จากนั้นเขาสาวเท้าก้าวใหญ่ออกไป หลินชิงเวยหันกลับไปดูเงาร่างในอาภรณ์สีม่วง รูปร่างสูงใหญ่ ท่ามกลางทัศนียภาพอันงดงามด้วยต้นไม้ดอกไม้ ทว่ากลับมิอาจบดบังความงามของเขาได้
เซียวจิ่นเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตา เขาพูดกลั้วหัวเราะอย่างอ่อนโยนโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ชิงเวย เสด็จอาอนุญาตให้เจ้าไปด้วย เจ้าจะแต่งตัวใหม่สักหน่อยหรือไม่?”
“แต่งตัวอย่างไรเพคะ?” หลินชิงเวยก้มหน้าลงมองตัวเอง “จำเป็นต้องแต่งตัวอย่างไรเพคะ?”
เซียวจิ่นยกมือที่กำเป็นหมัดหลวมๆ ขึ้นแตะมุมปาก กระแอมกระไอครั้งหนึ่ง “เจ้าเป็นเจาอี๋ของเจิ้น และเป็นประมุขในตำหนักของตน คืนนี้มีสายตาของผู้คนมากมายหากต้องการให้เป็นที่ดึงดูดสายตาสักหน่อย ย่อมต้องแต่งกายประทินโฉมให้ประณีตสักหน่อย นางสนมคนอื่นๆ ในตำหนักในล้วนเป็นเช่นนั้น”
หลินชิงเวยกล่าว “เหตุใดหม่อมฉันต้องแต่งตัวให้ผู้อื่นดูเพคะ?” เซียวจิ่นตกตะลึง หลินชิงเวยพูดด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “อีกทั้งมีฝ่าบาทที่เป็นประหนึ่งพระที่มีชีวิตองค์หนึ่งอยู่ด้วย หม่อมฉันเดินเข้าเดินออกพร้อมฝ่าบาท ยังคิดว่าดึงดูดสายตาไม่พออีกหรือเพคะ?”
สีหน้าของเซียวจิ่นปรากฏให้เห็นสีแดงระเรื่อ “ชิงเวย เจ้าพูดถูกต้อง ที่จริงเจ้าเป็นอย่างนี้ก็งดงามอยู่แล้ว”
หลินชิงเวย “ฝ่าบาท พระองค์คงมิได้กำลังเขินอายกระมัง?” นางพูดอย่างเอาจริงเอาจัง ทว่าในคำพูดนั้นกลับคิดที่จะลบล้างความรู้สึกอ่อนไหวของเด็กน้อยคนนี้ “แม้หม่อมฉันจะเป็นเจาอี๋ของฝ่าบาท แต่ยังคงเป็นหมอส่วนพระองค์ของฝ่าบาทมากกว่า หม่อมฉันอายุมากกว่าฝ่าบาทสามปี สมเหตุสมผลดีอยู่แล้วที่ดูแลฝ่าบาท ดังนั้นเรื่องดึงดูดสายตาเหล่านั้นให้พวกนางไปทำเถิด หาไม่แล้วหากมีอะไรผิดพลาดเสด็จอาคงต้องมาสร้างความลำบากใจให้หม่อมฉันเป็นแน่เพคะ”
แววตาของเซียวจิ่นดูหม่นลงทว่ายังมีรอยยิ้มบนริมฝีปากดังเดิม “ชิงเวยเจ้าไม่ต้องตักเตือนเจิ้นเยี่ยงนี้ เจิ้นรู้ว่าเจ้ากลัวเสด็จอาจะเข้าใจผิด เรื่องครั้งที่แล้วเป็นเจิ้นที่ทำไม่ดี ทำร้ายเจ้าจนเกือบจะได้รับบาดเจ็บ มีเจิ้นอยู่ ต่อไปเรื่องเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก เสด็จอาจะสร้างความลำบากใจให้เจ้าไม่ได้เช่นกัน เจิ้นไม่อนุญาต”
กลางคืนมาถึงอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางแสงไฟหรูหรา เหล่าขุนนางทะยอยกันเดินเข้าเดินผ่านประตูวังไม่ขาดสาย เมื่อได้เวลาพอสมควรหลินชิงเวยจึงเข็นเก้าอี้ของเซียวจิ่นออกจากตำหนักซวี่หยางท่ามกลางการห้อมล้อมของนางกำนัลขบวนใหญ่
สถานที่จัดงานเลี้ยงคือตำหนักหยางชุน ตำหนักนี้ห่างจากอุทยานหลวงไม่ไกลนัก ดูเหมือนเป็นสถานที่เฉพาะที่ทางเชื้อพระวงศ์ใช้สำหรับจัดเลี้ยงฉลองเมื่อมีเทศกาล
[1] เทศกาลซ่างซื่อ หรือวันซ่างซื่อ ตรงกับวันขึ้น 3 ค่ำตามปฏิทินจันทรคติของจีน ปัจจุบันมักเรียกว่า หนี่ว์เอ๋อร์เจี๋ย เล่ากันว่า วันนี้เป็นวันประสูติของหวางตี้ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชนชาติจีน สมัยโบราณผู้คนจะใช้ดอกและต้นกล้วยไม้ต้มน้ำ เพราะนอกจากส่งกลิ่นหอมแล้วยังเชื่อว่า น้ำต้มกล้วยไม้สามารถขจัดสิ่งอัปมงคลได้ ต่อมา กลายเป็นเทศกาลเฉพาะสำหรับหญิงสาว โดยเฉพาะเป็นเทศกาลแสดงถึงการโตเป็นสาวของเด็กหญิงชาวฮั่น สาวๆ จะอาบน้ำกล้วยไม้ แต่งชุดสวยงาม ร้องรำทำเพลงริมแม่น้ำ เที่ยวชมวิวทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิและขออธิษฐานให้มีความสุขตลอดชีวิต