“เจ้า… เจ้าคืนมาให้ข้า! เจ้าคิดจะทำอันใด? ”
จู่ๆ ไม่รู้ว่าหลวงจีนทุศีลเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใด เขาตะเกียกตะกายขึ้นจากเตียง หมายจะแย่งถุงผ้าในมือของซูจิ่นซี ซูจิ่นซีรีบถอยหลังไปก้าวหนึ่ง หลวงจีนทุศีลจึงล้มลงกองกับพื้น
“ข้าขอบอกเจ้า หากเจ้ากล้าพูดอันใดเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”
หลวงจีนทุศีลไม่รู้ว่าเรื่องของเขากับฮองเฮา หวาหรงจวิ้นจู่ได้เปิดเผยต่อหน้าทุกคนตอนอยู่ที่ตำหนักว่านโซ่วแล้ว
“ข้าจะไม่พูดอันใด ทว่าเจ้าต้องบอกข้าเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดระหว่างเจ้ากับฮองเฮา และยังมีกามโรคบนร่างกายของเจ้า มันมีความเป็นมาอย่างไรกันแน่? ”
“เจ้า… เจ้ามองออกได้อย่างไร? ” หลวงจีนทุศีลถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ข้าทราบได้อย่างไรไม่สำคัญ ก่อนหน้านี้ข้าตรวจพบกามโรคบนพระวรกายฮองเฮา เจ้าแพร่โรคนี้ให้พระนางใช่หรือไม่? เจ้ารักฮองเฮามากเยี่ยงนี้ แน่นอนว่าคงไม่ยุ่งกับหญิงอื่น ก่อนหน้านี้เจ้าร่วมมือกับไทเฮาและพวกของแม่นมเจิ้ง เพราะต้องการเล่นสนุกบ้างเป็นครั้งคราว ความจริงแล้วเจ้าไม่ได้คิดอันใดกับหวาหรงใช่หรือไม่? กามโรคบนร่างกายของเจ้ามาได้อย่างไร? ”
แววตาของหลวงจีนทุศีลเปล่งประกาย ราวกับกำลังคิดว่าจะตอบซูจิ่นซีอย่างไรดี
ซูจิ่นซีไม่ให้เวลาเขาได้ขบคิดมากนัก
นางถามหยั่งเชิงอีกครั้งว่า “เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคระบาดแปลกประหลาดที่เมืองเจียงหลิงเมื่อหลายปีก่อน ใช่หรือไม่? กามโรคบนร่างของเจ้ามาจากการระบาดในตอนนั้น ถูกต้องหรือไม่? ”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร? เจ้าเป็นใครกันแน่? ” แววตาของหลวงจีนทุศีลเปลี่ยนเป็นตกใจเล็กน้อย
ซูจิ่นซีแอบดีใจ ดูแล้วนางคงเดาถูก
ทว่านางไม่ได้แสดงออกทางสีหน้ามากนัก นางถามหลวงจีนทุศีลต่อว่า “ในตอนนั้น ผู้ที่ติดโรคระบาดไม่มีใครรอดชีวิต ราชสำนักส่งคนไปจำนวนมากทว่ากลับล้มเหลว สุดท้ายคนที่ติดโรคระบาดล้วนถูกจัดการอย่างลับๆ ทว่าเหตุใดเจ้าถึงยังมีชีวิตอยู่? ผู้ใดที่ช่วยเหลือเจ้า? เหตุใดจึงไม่รักษาโรคที่อยู่ในตัวเจ้าให้หายดี? ”
หลวงจีนทุศีลทั้งประหลาดใจและลังเล
ซูจิ่นซีพูดหลอกล่อว่า “เพียงเจ้าบอกข้าเกี่ยวกับความเป็นมาของโรคระบาดในตอนนั้น และผู้ใดที่ช่วยเหลือเจ้า ข้ารับปากว่าจะปล่อยเจ้ากับฮองเฮาออกไปอย่างลับๆ และจะปล่อยข่าวไปยังภายนอกว่าพวกเจ้าล้มป่วยจนเสียชีวิต ถึงเวลานั้นพวกเจ้าจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป มีความสุขอย่างอิสระ ไม่ต้องทรมานจากการกีดกันของวังหลวงอีก”
ใบหน้าของหลวงจีนทุศีลเผยให้เห็นความสุขและความคาดหวัง เขาดูมีความสับสนอยู่ในใจ เหมือนคิดจะบอกอันใดแก่ซูจิ่นซี ทว่ากลับส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “ข้าบอกไม่ได้ เรื่องอันใดข้าก็บอกเจ้าไม่ได้ ข้ารับปากคนผู้นั้นแล้วว่าจะไม่เปิดเผยเรื่องนี้แก่ผู้ใด ข้าพูดไม่ได้”
“คนผู้นั้น แซ่จง ใช่หรือไม่? ” ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็ดึงแขนหลวงจีนทุศีลอีกครั้ง
หลวงจีนทุศีลตกใจ พูดว่า “เจ้า… เหตุใดเจ้าถึงรู้ เป็นผู้ใดที่บอกเจ้า? เจ้าเป็นใคร? ”
ดูเหมือนว่านางจะเดาถูกอีกเรื่องแล้ว
เวลานี้ ในใจของซูจิ่นซีสงบมากขึ้น นางปล่อยมือจากหลวงจีนทุศีล ภายใต้แสงสลัวท่ามกลางความมืดในห้องขัง ทำให้แววตาของนางส่องประกายความสดใส
“ข้าเป็นคุณหนูเจ็ดของสกุลซู”
ซูจิ่นซีไม่ได้บอกถึงฐานะพระชายาโยวอ๋องซึ่งเป็นอีกฐานะหนึ่งของนาง และไม่ได้บอกว่าตนเป็นบุตรสาวของผู้แซ่จง ตอนที่นางบอกว่าตนเป็นคุณหนูเจ็ดแห่งสกุลซู หลวงจีนทุศีลก็ราวกับเข้าใจทุกอย่างแล้ว เขาพูดว่า “เจ้าคือบุตรสาวของซีจือหรือ? เจ้า… เจ้าค้นพบเรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไร? ”
ซีจือ?
จงซีจือ?
ซูจิ่นซีได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก
แม้จะฟังไม่คุ้นเคย ทั้งตอนนี้ยังไม่กล้ายืนยันว่าอักษรสามตัวนี้เป็นชื่อแซ่จริงของมารดานาง ทว่าเมื่อฟังแล้ว กลับรู้สึกมีความใกล้ชิดอย่างมากโดยไม่มีเหตุผล
ซูจิ่นซีแอบซ่อนความประหลาดใจและความสุขทั้งหมดไว้ภายใต้ใบหน้านิ่งสงบ
นางขมวดคิ้วเล็กน้อย “ที่แท้เจ้าก็รู้จักท่านแม่ของข้า? พวกเจ้ามีความเกี่ยวข้องอันใดกันแน่? ”
ซูจิ่นซีนึกแปลกใจ หลวงจีนทุศีลไม่ได้เรียกมารดาของนางว่า ฮูหยินจง หรือแม่นางจง ทว่าเรียกชื่อของนางโดยตรง
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ทันใดนั้นหลวงจีนทุศีลก็หัวเราะเสียงดัง
ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว “เจ้าหัวเราะอันใด? ”
“ดูแล้วนี่คงเป็นโชคชะตา ตอนนั้นจงซีจือติดค้างพวกเรา ดังนั้น วันนี้สวรรค์จึงส่งบุตรสาวของนางมาช่วยชีวิต” จู่ๆ แววตาของหลวงจีนทุศีลก็ราวกับผู้ที่ย้อนนึกไปถึงอดีต
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ”
“ซูจิ่นซี ข้ารับปากเจ้าว่าจะบอกเรื่องราวทุกอย่างในตอนนั้นกับเจ้า แต่เจ้าต้องปล่อยข้ากับเหมยจวงออกไปก่อน” คิดจะปล่อยเขาไปนั้นง่ายดาย แต่จะให้ฮองเฮาองค์ปัจจุบันหายสาบสูญไปจากสายตาของคนจำนวนมากกลับไม่ใช่เรื่องง่าย หลวงจีนทุศีลย่อมต้องสงสัยในความสามารถของซูจิ่นซีว่าจะทำได้สำเร็จหรือไม่ “ในวันที่ข้ากับเหมยจวงออกไปได้อย่างปลอดภัย พวกเราจะบอกทุกอย่างให้เจ้าฟังอย่างแน่นอน”
ต่างฝ่ายต่างได้ในสิ่งที่ต้องการ ซูจิ่นซีไม่รู้สึกว่ามีอันใดไม่ดี ดวงตาของนางค่อยๆ หรี่ลง พลางพูดว่า “ตกลง”
ทันใดนั้น มุมปากของหลวงจีนทุศีลก็ปรากฏรอยยิ้มที่แทบจะมองไม่เห็น เขากลับไปนอนบนเตียงหินอันหนาวเหน็บอีกครั้งและหลับตาลง แสดงท่าทีเหมือนส่งแขก
ซูจิ่นซีก็ไม่ใคร่ที่จะอยู่ต่อ นางเดินออกจากห้องคุมขัง และออกไปจากคุกหลวง
ครั้งที่แล้ว ตอนจัดการเรื่องของฮั่วซื่อที่กรมอาญาเรียบร้อยและกำลังจะจากไป ซูจิ่นซีเคยขอยืมอ่านข้อมูลเกี่ยวกับแคว้นจงหนิงจากเจ้ากรมหวัง
แม้ข้อมูลจะมีจำนวนมาก ทว่าซูจิ่นซีก็อ่านไปไม่น้อย ด้านในมีบันทึกว่า เมื่อแปดปีก่อนเคยเกิดโรคระบาดที่ประหลาดมากในเมืองเจียงหลิง แคว้นจงหนิง
จะว่าไปแล้ว โรคระบาดในครั้งนั้นพบเห็นได้ไม่บ่อยนัก
โรคระบาดทั่วไป ขอเพียงราชสำนักให้การสนับสนุนเงินตราที่มากพอก็จะสามารถควบคุมได้ หากควบคุมไม่ได้จะต้องกลายเป็นภัยพิบัติใหญ่หลวง ทว่ากรมอาญาไม่ได้บันทึกว่าเหตุการณ์โรคระบาดในครั้งนั้น ทำให้เกิดผลกระทบร้ายแรงอันใด ระบุเพียงว่าเกิดขึ้นในเขตเมืองเจียงหลิงเท่านั้น ตอนนั้นหมอหลวงที่ไปบรรเทาทุกข์ล้วนไม่สามารถแก้ไขอันใดได้ และในข้อมูลก็ไม่ได้ระบุถึงตัวยาที่ใช้ยับยั้งโรคระบาด และวิธีการรักษาให้หาย
ส่วนความลับที่ราชสำนักจัดการผู้ป่วยเพื่อระงับโรคระบาดนั้น ซูจิ่นซีได้แอบสอบถามจากเจ้ากรมอาญา…เจ้ากรมหวัง นางถึงได้ทราบในภายหลัง
ทว่าสิ่งที่ดึงดูดสายตาของซูจิ่นซีคือ บันทึกเกี่ยวกับอาการป่วยของโรคระบาดชนิดนั้น เหมือนกับโรคกามโรคที่นางตรวจพบบนพระวรกายของฮองเฮาไม่ผิดเพี้ยน
ซูจิ่นซีไม่เข้าใจว่า โรคที่ไม่สามารถติดต่อกันผ่านทางอากาศและการสัมผัสทั่วไป จะกลายเป็นโรคระบาดได้อย่างไร ทว่านางแน่ใจได้ในทันทีว่า โรคระบาดที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ดังนั้น นับแต่นั้นมา ซูจิ่นซีจึงไม่ละเลยที่จะสังเกตและตรวจสอบอาการป่วยของฮองเฮาอย่างลับๆ มาโดยตลอด
หลังจากนั้น นางยังสืบพบว่า ฮองเฮามาจากเมืองเจียงหลิงเช่นกัน ทำให้ยิ่งมั่นใจขึ้นว่า โรคระบาดในตอนนั้นจะต้องเป็นโรคเดียวกับที่อยู่ในพระวรกายของฮองเฮาเป็นแน่
จนกระทั่งเมื่อวานนี้ ตอนที่ซูจิ่นซีพบหลวงจีนทุศีลในวังหลวง ระบบถอนพิษได้แสดงผลอาการป่วยที่เหมือนกับฮองเฮา กอปรกับคำรับสารภาพที่เยี่ยโยวเหยาให้นางในวันนี้ ด้านในบันทึกว่า ภูมิลำเนาของหลวงจีนทุศีลคือเมืองเจียงหลิง
ดังนั้น ซูจิ่นซีจึงมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น นางจะต้องสืบเรื่องนี้ให้กระจ่าง เพราะมันน่าจะเกี่ยวพันกับสถานะมารดาของตน สมุดบันทึกข้อมูลของกรมอาญา รายชื่อหมอที่ไปจัดการบรรเทาทุกข์ที่เมืองเจียงหลิงในตอนนั้น อีกทั้งนามแฝงของมารดาที่ใช้ในการแต่งงานเข้าสกุลซู และหลังจากที่กลับมาจากภารกิจบรรเทาทุกข์ได้ไม่นาน ซูจิ่นซีก็เห็นเหตุการณ์ที่ซูจ้งถือมีดฆ่ามารดาของนางจนเสียชีวิต
ซูจ้งพูดว่า เขาไม่ได้สังหารมารดาของนาง แต่ตอนนั้นนางเห็นกับตาว่า ซูจ้งใช้มีดพกแทงไปที่หน้าอกมารดาของนาง เรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่?
หากซูจ้งไม่ได้สังหารมารดาของนางจริงๆ เช่นนั้นมารดาของนางเสียชีวิตด้วยเหตุใด?
หลังออกจากคุกหลวง ระหว่างทางซูจิ่นซีไม่ได้พูดอันใด ลวี่หลีที่ปรนนิบัตินางด้วยความระมัดระวัง ก็ไม่พูดอันใดเช่นกัน
ขณะที่รถม้าใกล้จะถึงจวนโยวอ๋อง ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็เปิดผ้าม่านรถม้าขึ้นแล้วพูดว่า “ไปวังหลวง”
ที่คุกหลวงก่อนหน้านี้ ตอนที่ซูจิ่นซีถามหลวงจีนทุศีล ลวี่หลีก็ติดตามไปด้วย ดังนั้นลวี่หลีจึงรู้ว่าซูจิ่นซีจะจัดการเรื่องในลำดับต่อไปอย่างไร ทว่านางยังแปลกใจอยู่บ้าง นึกไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะจัดการอย่างรวดเร็วเช่นนี้
ลวี่หลียังคงไม่พูดอันใด และไม่ถามอันใดให้มากความ เพียงให้คนขับรถหันรถม้าและขับไปทางวังหลวงทันที
ในตอนนี้ องครักษ์ที่ดูแลวังหลวงแม้จะเป็นคนหน้าใหม่ ทั้งหมด ทว่าพวกเขาล้วนเป็นคนของเยี่ยโยวเหยา ย่อมรู้จักซูจิ่นซีเป็นอย่างดี และให้ความเคารพนางอย่างมาก
เมื่อก่อนตอนที่เข้าวังหลวง รถม้าของซูจิ่นซีต้องหยุดอยู่หน้าประตูวัง และนางต้องลงเดินเท้าเข้าวัง ทว่าตอนนี้รถม้าของซูจิ่นซีไม่ต้องจอดที่หน้าประตูวังอีกแล้ว นางสามารถเข้ามาในวังหลวงได้อย่างราบรื่น
ยุคผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ ตอนนี้ผู้คนในพระราชวังล้วนรู้สึกไม่ปลอดภัย และระมัดระวังการกระทำเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะตำหนักจ้งหวาของฮองเฮา แม้ฮ่องเต้จะยังอยู่ ทว่าอำนาจในราชสำนักทั้งหมดเป็นของโยวอ๋องแล้ว เหล่าคนในวังหลวงเมื่อพบซูจิ่นซีล้วนให้ความเคารพอย่างสูง
“พวกเจ้าทั้งหมดออกไปก่อนเถิด! ” ลวี่หลีสั่งให้องครักษ์ที่เฝ้าประตูตำหนักจ้งหวาออกไป ส่วนตนก็ยืนเฝ้าอยู่ที่ประตูแทน
ทันทีที่ซูจิ่นซีเดินเข้าประตูไป นางก็ได้กลิ่นเหม็นของผิวหนังที่เน่าเปื่อย ผสมกับกลิ่นยาจีน และเสียงไออย่างรุนแรงของฮองเฮา
ฮองเฮาทรงประชวรอีกแล้วหรือ?
ไม่แปลกใจที่นางไม่มาร่วมงานเลี้ยงในตำหนักว่านโซ่ว