ตอนที่ 299 รอดตัว
เมื่อโดนอันอิงเฉิงตะโกนเรียกชื่อเต็มยศเช่นนี้ อันหลิงอีจึงขอบตาแดงขึ้นมาทันที
นางเป็นบุตรสาวที่หลี่ซื่อและอันอิงเฉิงเลี้ยงดูประคมประหงมมาตั้งแต่เด็ก อันอิงเฉิงแทบมิเคยดุนางเลยด้วยซ้ำ ยิ่งมิต้องกล่าวถึงท่าทางดุดันราวกับจักกินเลือดกินเนื้อเช่นนี้ อันหลิงอีถึงขั้นหน้าซีดเผือดจนแทบหมดสติล้มพับลงเสียตรงนั้น
“ท่านพ่อ ลูกมิรู้ว่ามันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ชายผู้นี้อยู่ ๆ ก็มาปรากฏตัวในห้องของลูก ท่านพ่อต้องเชื่อลูกนะเจ้าคะ ! ”
ใบหน้าของนางขาวซีด ขอบตาแดงก่ำ มิรู้ว่าเป็นเพราะกำลังร้อนรนหรือกำลังโกรธแค้นอยู่กันแน่
ทว่าสิ่งที่อันอิงเฉิงสนใจในตอนนี้หาใช่การที่ชายร่างกำยำมาปรากฏตัวได้อย่างไร แต่เขาสนใจสิ่งที่ท่านหมอพูดมากกว่า
“ยังมิต้องพูดกันเรื่องชายผู้นี้หรอก” อันอิงเฉิงจ้องอันหลิงอีด้วยแววตากรุ่นโกรธพร้อมใบหน้าที่ฉายแววโกรธออกมาจนน่ากลัว “บอกข้ามาก่อนว่าเจ้าติดโรคนี้ได้อย่างไร ? ”
อันอิงเฉิงถึงขั้นมิยอมเอ่ยชื่อโรคออกมาด้วยซ้ำ แค่นึกว่าต้องพูดมันออกจากปาก เขาก็รู้สึกว่ามันช่างสกปรกสิ้นดี
กามโรคชั้นต่ำเช่นนั้น แม้แต่คนธรรมดายังอับอายเกินกว่าจักเอ่ยได้ แต่อันหลิงอีเป็นถึงคุณหนูแห่งจวนโหวมิรู้จักรักนวลสงวนตัวมั่วผู้ชายมิเลือกหน้าจนติดโรคนี้มา
หากเรื่องนี้แพร่ออกไปจวนโหวอันคงได้อับอายไปทั่วเมืองหลวงแน่นอน
เมื่อเห็นอันอิงเฉิงถึงขั้นมิสืบสาวราวเรื่องกับผู้บุกรุก แต่มาถามหาคำตอบจากอันหลิงอีเพียงอย่างเดียวก็ทำให้ทั้งอันหลิงอีกับหลี่ซื่อตกตะลึงพร้อมทั้งเสียใจท่วมท้นภายในอก
“ท่านพ่อ ชายผู้นี้กล้าหมิ่นเกียรติลูก ท่านมิให้คนจับตัวมันไปสอบสวนเลยหรือเจ้าคะ ? ”
น้ำตาของอันหลิงอีไหลริน การยอมรับต่อหน้าผู้คนมากมายว่าชายผู้นี้ล่วงเกินนาง สำหรับอันหลิงอีแล้วนับว่าเป็นการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีจนมิเหลือชิ้นดี
ทว่าต่อให้ต้องอับอายขายหน้าอย่างไรนางก็มิยอมปล่อยคนที่ทำร้ายไปโดยเด็ดขาด !
อันอิงเฉิงเริ่มมีท่าทีหวั่นไหวขึ้นมา ท่าทางอ่อนแอของอันหลิงอีชวนให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกสงสารอย่างเลี่ยงมิได้ อีกทั้งนางเป็นถึงบุตรีที่เขารักและเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอมด้วย
ขณะที่เขากำลังหวั่นไหว อันหลิงเกอก็ยกมุมปากขึ้นแล้วเดินไปกุมมืออันหลิงอีเอาไว้ “น้องหญิงสาม เจ้ามิต้องกลัว มิว่าเจ้าจักติดกามโรคมาได้อย่างไร หรือเรื่องนี้แพร่ออกไปแล้วกระทบต่อชื่อเสียงของจวนโหวเราหรือไม่ พวกเราก็จักช่วยคืนความเป็นธรรมให้เจ้าแน่นอน”
กล่าวจบนางก็หันกลับไป ดวงตาดำขลับจ้องมองไปยังชายคนนั้นแล้วถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “บอกมาว่าเหตุใดเจ้าต้องบุกเข้ามาลวนลามน้องหญิงสามถึงในจวนแห่งนี้ ! ”
“ถุย ข้าบอกแล้วว่าผู้หญิงคนนี้ยั่วยวนข้าเอง มิเช่นนั้นข้าจักหลบทหารยามของจวนโหวพ้นได้อย่างไร ? ”
ชายร่างกำยำตะโกนออกมา ดวงตาที่จ้องอันหลิงอีช่างดูโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งนัก “ใช่หรือไม่คุณหนูสาม ตอนที่เจ้านัดข้ามาหาที่จวน เจ้าสัญญาว่าจักแต่งงานกับข้าเพียงผู้เดียว เหตุใดผ่านไปแค่คืนเดียว เจ้าจึงกลับคำเช่นนี้ ? ”
เขากล่าวออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจ ต่อให้โดนสาวใช้และทหารยามหลายนายยืนล้อมเอาไว้ก็ไร้อาการกระวนกระวาย ตรงกันข้ามคือเขากอดอกแล้วมองทุกคนด้วยรอยยิ้มเย็นเยือก “มีคำพูดว่าคนมารยาไร้ความจริงใจ คนค้าประเวณีไร้คุณธรรม คุณหนูสามมิเสียทีที่เป็นคนค้าประเวณีจริง ๆ ”
“หุบปาก ! ”
อันอิงเฉิงตะโกนออกมาเสียงดัง ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ
ต่อให้มิพอใจอันหลิงอีเช่นไร แต่อันอิงเฉิงก็ทนมิได้ที่จักเห็นอันหลิงอีถูกผู้ชายไร้หัวนอนปลายเท้าด่าว่าเป็นคนค้าประเวณี
คำหยาบคายเช่นนี้มิเพียงด่าอันหลิงอีเท่านั้น ทว่าเหมือนด่าจวนโหวทั้งจวนไปด้วย !
ความโกรธของอันอิงเฉิงถูกปลูกขึ้นมาราวกับมีคนเอาน้ำมันราดบนกองไฟลุกโชนและไฟแห่งความโกรธก็แผดเผาสติของเขาจนสิ้น
“จับโจรชั่วผู้นี้เอาไว้ ! ”
มิว่าอันหลิงอีเป็นคนนัดชายผู้นี้เข้ามาในจวนหรือมันแอบลักลอบเข้ามาเอง เรื่องที่มันทำลายความบริสุทธิ์ของอันหลิงอีก็คือเรื่องจริงที่มิมีผู้ใดลบล้างไปได้
แต่อันหลิงอีเป็นถึงคุณหนูจวนโหว ต่อให้เป็นเพียงบุตรของอนุภรรยาก็มิมีสิทธิ์มาเหยียดหยามนางได้ !
ท่าทางของเขาแสดงให้เห็นว่าโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง ทันทีที่กล่าวจบสาวใช้รวมถึงทหารยามทั้งหมดก็รีบพุ่งเข้าไปจับชายคนนั้นทันที
แต่ชายคนนั้นว่องไวมาก ทั้งที่มีร่างกายกำยำแต่สามารถหลบหลีกผู้คนมากมายได้อย่างรวดเร็ว
ราวกับปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำ เขาสามารถหลบหลีกคนที่พุ่งเข้าหาคนแล้วคนเล่าและมิมีใครสามารถจับตัวเขาได้ ทำให้หลี่ซื่อที่เห็นเหตุการณ์เกิดความร้อนรนขึ้นมา
“พวกเจ้าโง่หรือไร เหตุใดใช้แค่มือเปล่าจับมัน ? ”
ใบหน้าที่งดงามของนางบิดเบี้ยวเพราะความโกรธที่ปะทุขึ้นจนเหล่าสาวใช้กลัวจนตัวสั่น มิรู้ว่าควรทำอย่างไรดี ทหารยามเมื่อได้ยินคำของนางก็ชักดาบที่เอวขึ้นมาแล้วฟันไปข้างหน้าอย่างสะเปะสะปะ
ห้องนี้นับว่ามีขนาดมิเล็ก แต่เมื่อมีคนเข้ามาพร้อมกันนับสิบคนจึงทำให้ดูคับแคบลงมิน้อย
ทหารยามใช้ดาบฟาดฟันออกไปในขณะที่ทุกคนกำลังยืนเบียดกันอยู่ ทำให้พวกอันอิงเฉิงถอยหลังทันที หรือแม้แต่เหล่าสาวใช้ก็มายืนเบียดกันที่ด้านข้างแทน
ทหารยามที่ถือดาบอยู่ในมือมิได้สังเกตว่าด้านหลังของพวกตนกำลังเบียดกันมากเพียงใด แต่ละคนจึงกวัดแกว่งดาบในมือไปมาเพื่อให้โดนร่างของชายผู้นั้น
ขอแค่มิตาย พวกเขาจักฟันตรงไหนก็ได้ทั้งนั้น !
แม้มีคนมากมายบุกเข้าหา ชายร่างกำยำก็หาได้กลัว เขาก้าวไปข้างหน้าเพียงก้าวเดียวก็สามารถเตะทหารยามที่อยู่ด้านหน้าสุดจนกระเด็นได้ทันที จากนั้นก็พุ่งตัวเข้าไปและเตะเข้าที่ทหารยามอีกนายพอดีแล้วชิงดาบของทหารยามนายนั้นเอาไว้
เพียงชั่วพริบตา หลายคนที่อยู่ในห้องถึงกับมองสิ่งที่เกิดขึ้นมิทันด้วยซ้ำไป พอได้สติก็เห็นดาบเล่นนั้นอยู่ในมือของเขาเสียแล้ว
พร้อมใบหน้าที่เผยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมราวกับคนกระหายเลือดอย่างไรอย่างนั้น
ทหารยามมีหรือจักประมือกับคนเก่งกาจเช่นนี้ได้ ?
เพียงเท่านี้มือไม้ของพวกเขาก็อ่อนลงทันที ดาบที่ถืออยู่ในมือสั่นระริก เท้าทั้งสองข้างก้าวถอยหลังโดยมิรู้ตัว
“ฆ่ามัน ! ”
หลี่ซื่อตะโกนออกมาเสียงดัง ทำให้ทหารยามทั้งหมดหยุดเท้าที่กำลังก้าวถอยหลังและเปลี่ยนเป็นก้าวไปข้างหน้าด้วยความลังเล
แม้หลี่ซื่อสั่งให้สังหาร แต่เหล่าทหารยามก็ยังมิกล้าลงมือ เดิมพวกเขาก็กลัวจักแย่อยู่แล้ว ตอนนี้ภายในสมองยิ่งสับสนเข้าไปใหญ่ แม้แต่ดาบที่โบกออกไปยังเชื่องช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
ชายคนนั้นพอได้ดาบมาไว้ในมือก็เดินเข้าไปหาอันหลิงอีพร้อมดวงตามุ่งร้ายทันที “นางตัวดี ยั่วยวนข้าแล้วจักมาทิ้งกันเช่นนี้มันมิง่ายหรอก ! ”
ดาบในมือของเขายกขึ้นคล้ายจักฟันลงไปยังร่างของอันหลิงอี
อันหลิงอีหลับตาแน่นอย่างตกใจ จากนั้นก็หันไปหาอันอิงเฉิงที่อยู่ด้านข้าง “ท่านพ่อช่วยลูกด้วย ! ท่านแม่ ห้ามมันเร็วเข้า ! ”
อันอิงเฉิงก็ถึงขั้นหน้าซีดเผือดทันที เขาคิดมิถึงว่าทหารยามในจวนมากมายเช่นนี้ยังจับคนคนเดียวเอาไว้มิได้ แม้แต่ดาบยังโดนมันชิงไปอีกต่างหาก !
“วางใจเถิด อย่างไรเจ้าก็เป็นผู้หญิงของข้า ข้าจักไว้ชีวิตเจ้าแล้วกัน”
ทันทีที่ชายคนนั้นกล่าวจบก็มีแสงส่องประกายจากดาบสะท้อนตรงหน้าของทุกคน
ขณะที่ได้ยินเสียงหัวเราะ ชายผู้นั้นก็ไปอยู่ที่หน้าประตูและเมื่อเขาโยนดาบทิ้งก็พบว่าร่างของชายผู้นั้นได้หายวับไปทันที