บัดนี้ ชาวเมืองเริ่มยกขบวนเดินทางกลับออกไปจากสะพานโครงกระดูกแล้ว
พวกเขาส่งเสียงโห่ร้องไปตลอดทาง
ทุกคนตะโกนเรียกชื่อหลินเป่ยเฉินซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในเวลาเดียวกันนี้ หลินเป่ยเฉินก็ถูกหามอยู่บนเปลสำหรับเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บ และเขาก็ต้องนอนสั่นสะเทือนไปตลอดทาง
“พวกท่านเดินช้าๆ หน่อยสิ เฮ้ย บอกให้เดินช้าๆ หน่อย… นี่คิดจะฆ่าวีรบุรุษผู้พิทักษ์ชาวเมืองกันหรือไง?”
“เจ้าคนที่กำลังยกเปลของข้าอยู่น่ะ เจ้าเลิกเขย่าแขนเดี๋ยวนี้…”
“โอ๊ย ตับไตไส้พุงของข้ามันเคลื่อนย้ายหมดแล้วมั้งเนี่ย เห็นทีคงต้องรบกวนขอความช่วยเหลือจากทุกคน บริจาคเงินค่าสมุนไพรฟื้นฟูอาการบาดเจ็บให้ข้าสักหน่อยแล้ว”
หลินเป่ยเฉินที่นอนอยู่บนเปลหามส่งเสียงร้องโหยหวนเหมือนหมูถูกเชือด
ไม่หลงเหลือความสง่างามของวีรบุรุษผู้พิทักษ์ชาวเมืองแม้แต่น้อย
ทุกคนหันมาหัวเราะด้วยความปลอดโปร่งโล่งใจ ไม่มีใครยึดถือคำพูดของเด็กหนุ่มเป็นจริงเป็นจัง
พวกเขากลับขยับเข้ามาจ้องมองคุณชายหลินอย่างใกล้ชิดมากขึ้น
ดูสิ
นี่คือวีรบุรุษของพวกเรา
ต่อให้เพิ่งผ่านอันตรายเฉียดใกล้ความตายอย่างน่าสะพรึงกลัว แต่หลินเป่ยเฉินก็มีอารมณ์ขัน ทำให้ผู้อื่นหัวเราะได้เสมอ
ชาวเมืองรู้สึกใกล้ชิดกับเด็กหนุ่มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ยามอยู่บนเวทีประลอง หลินเป่ยเฉินคือผู้กล้าหาญปราศจากความหวาดกลัว แต่เมื่อมานอนอยู่บนเปลหามในขณะนี้ หลินเป่ยเฉินก็มีสภาพไม่ต่างไปจากเด็กหนุ่มสมองเสื่อมคนเดิมที่ชาวเมืองเคยรู้จัก…
หลินเป่ยเฉินเป็นถึงเจ้าของเหมืองแร่หินบูชา
ยังจะต้องเรี่ยไรเงินไปซื้อสมุนไพรอีกหรือ?
ใครที่หลงเชื่อคำพูดนี้ ก็คงต้องเป็นคนสมองเสื่อมแล้ว
…
บ่ายวันนั้น
บรรยากาศในเขตชุมชนของชาวเมืองหยุนเมิ่งเต็มไปด้วยความสดใสมีชีวิตชีวา
ความมืดมนที่แผ่ปกคลุมบรรยากาศหลายเดือนสลายหายไป
ในที่สุด ทุกคนก็สามารถกลับมาสูดหายใจได้อย่างเต็มปอดอีกครั้ง
พวกเขากำลังจะจัดงานเฉลิมฉลองให้แก่วันเวลาอันเลวร้ายซึ่งกลายเป็นอดีต
แม้ชาวเมืองจะรู้ดีว่าในอนาคตข้างหน้าต่อจากนี้ ตนเองก็ยังคงต้องพบกับความยากลำบากอยู่เช่นเดิม
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันคงไม่มีอะไรเลวร้ายมากกว่าสิ่งที่พวกเขาเคยเผชิญมาอีกแล้ว
ผู้เป็นบิดาไม่ต้องกลัวว่าเมื่อทนกัดฟันออกไปหาอาหารเพื่อเลี้ยงลูกเลี้ยงภรรยา ตนเองจะไม่ต้องถูกฆ่าตายโดยไม่มีเหตุผล เพราะเผชิญหน้ากับหน่วยลาดตระเวนของชาวทะเลระหว่างทาง…
ผู้เป็นภรรยาก็ไม่ต้องกลัวว่าเมื่อสามีของตนเองไม่กลับมาบ้านหลังพระอาทิตย์ตกดิน พวกนางจะพบพวกเขาเหล่านั้นกลายเป็นศพข้างท่อระบายน้ำในอีกไม่กี่วันต่อมา ด้วยลักษณะที่อวัยวะภายในถูกคว้านออกไปไม่เหลือสิ้น และพวกนางก็ไม่ต้องกลัวว่าหากลืมปิดประตูลงกลอนหน้าต่าง ลูกน้อยในอ้อมแขนจะต้องตกเป็นอาหารของชาวทะเลและบ้านเรือนของตนเองก็จะถูกวางเพลิง…
เด็กน้อยก็ไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะพบเห็นใบหน้าวิตกกังวลของบิดามารดาตลอดเวลา พวกเขาไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะต้องทนหิวโหยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และพวกเขาไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะเห็นน้องน้อยของตนเองเสียชีวิตไปด้วยความหิวโหยต่อหน้าต่อตา…
ชีวิตแห่งความสงบสุขราวกับอยู่ในสรวงสวรรค์ของชาวเมืองหยุนเมิ่ง เป็นสิ่งที่ไม่อาจเรียกคืนกลับมาได้อีก
แต่อย่างน้อย หลังการต่อสู้วันนี้จบลง มันก็เป็นสัญญาณที่บอกว่าเมื่อมีหลินเป่ยเฉินและคณะพรรคพวกของเขาอยู่ด้วย ความหวังที่จะแย่งชิงเมืองหยุนเมิ่งกลับคืนมาก็ยังคงมีอยู่
ผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่หน้าตำหนักไม้ไผ่ของหลินเป่ยเฉิน
พวกเขาช่วยกันจัดหาวัตถุดิบที่ดีที่สุด มาทำอาหารที่ดีที่สุดให้เด็กหนุ่มรับประทาน
เตาไฟถูกจุดขึ้นมา
ควันสีขาวลอยตลบอบอวล
บัดนี้ ภาพลักษณ์ของหลินเป่ยเฉิน ไม่ต่างไปจากเทพเจ้าในร่างมนุษย์เลยจริงๆ
…
เวลาล่วงเลยไปจนถึงตอนเย็น
สถานศึกษากระบี่ที่สาม
ตำหนักไม้ไผ่
ร่างกายท่อนบนของหลินเป่ยเฉินมีผ้าพันแผลพันอยู่ทั่วตัวไม่ต่างไปจากมัมมี่ที่เขาเคยดูในหนังสารคดี แต่ในเวลาเดียวกันนั้น เด็กหนุ่มก็กำลังส่งเสียงครางออกมาอย่างมีความสุข เมื่อได้รับการนวดหลังนวดไหล่จากสองสาวรับใช้ เฉียนเหมยกับเฉียนเจิน
นี่สิถึงจะเรียกว่าการใช้ชีวิตที่แท้จริง
การทำงานหนักไม่เหมาะกับเขาเลยสักนิด
“นายท่านเจ้าคะ ดูเหมือนว่านี่ก็เป็นเวลาที่หมาป่าน้ำแข็งกำลังจะคลอดลูกพอดีเลยเจ้าค่ะ”
เฉียนเหมยพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “คุณชายหยางเฉินโจวเคยบอกเอาไว้ตอนที่เขามาเยี่ยมเมื่อครั้งก่อนว่า กำหนดคลอดของหมาป่าน้ำแข็งกำลังจะมาถึงแล้ว…”
“เอ๋?”
หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ “หยางเฉินโจวเป็นช่างตีเหล็กไม่ใช่หรือ? เหตุไฉนถึงได้ล่วงรู้การคลอดลูกของหมาป่าน้ำแข็งด้วยเล่า?”
เด็กหนุ่มรู้สึกสนใจในตัวหยางเฉินโจวขึ้นมาทันที
ก่อนหน้านี้ เขาอุตส่าห์ยกคัมภีร์สร้างแขนกลเทพเจ้าดาวเหนือให้หยางเฉินโจวได้ขยายกิจการร้านหัวค้อนเหล็กของตนเอง แลกกับการที่อีกฝ่ายจะนำชื่อของเขาบรรจุเป็นหุ้นส่วนคนสำคัญของร้าน และเตรียมตัวรับเงินปันผลจากยอดขายในทุกๆ เดือน มิหนำซ้ำ หลินเป่ยเฉินยังลงทุนโฆษณาอาวุธให้แก่หยางเฉินโจวบนเวทีประลองโดยไม่คิดเงินอีกด้วย
แต่นี่ก็ผ่านมาได้นานพอสมควรแล้ว หลินเป่ยเฉินยังไม่เคยได้รับเงินปันผลกลับมาเลยสักก้อน
โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนหลังสุด เมื่อเมืองหยุนเมิ่งถูกยึดครอง หยางเฉินโจวก็จัดการปิดร้านหัวค้อนเหล็กและหนีไปหลบซ่อนตัวพร้อมด้วยหลู่หลิงโจวโดยทันที
จวบจนถึงวันนี้ ร้านอาวุธหัวค้อนเหล็กก็ยังไม่กลับมาเปิดกิจการอีกเลย
หลินเป่ยเฉินไม่สามารถไปรีดไถอาวุธชิ้นใหม่ๆ มาได้อีกแล้ว
คิดมาถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มก็รู้สึกเจ็บใจเป็นอย่างยิ่ง
น่าเสียดายที่เขาอ่อนประสบการณ์ต่อโลกธุรกิจมากเกินไป
“อิอิ นายท่านคงไม่รู้ว่าบัดนี้คุณชายหยางกลายเป็นแพทย์รักษาสัตว์คนสำคัญของพวกเราแล้วเจ้าค่ะ”
เฉียนเจินยิ้มแย้ม ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ได้ยินว่าช่วงหลังเขามีงานเต็มมือ เพราะความจริงแล้ว คุณชายหยางเป็นบุคคลที่ทางเบื้องบนส่งมาแฝงตัวอยู่ในเมืองหยุนเมิ่งของพวกเราเจ้าค่ะ เขาต้องเตรียมตัวติดต่อกับเจ้าหน้าที่ตลอดเวลา หลายวันที่ผ่านมานี้ เขาก็ต้องนำกำลังเสริมจากนครเจาฮุยแอบแฝงตัวเข้ามาอยู่ในเมือง เพื่อสะสมกำลังสำหรับการแย่งชิงเมืองหยุนเมิ่งกลับคืนมา”
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็ต้องกัดฟันกรอดรุนแรงมากกว่าเดิม
มีความสามารถหลากหลายเหลือเกินนะ หยางเฉินโจว
ทำไมไม่เอาดีให้ได้สักอย่างฮะ
นายเป็นช่างตีเหล็กไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงไม่มุ่งมั่นกับการตีเหล็กต่อไป นอกจากจะเปลี่ยนอาชีพมาเป็นแพทย์รักษาสัตว์แล้ว ยังไปข้องเกี่ยวกับขบวนการเคลื่อนไหวใต้ดินอีกหรือ?
ช่างเป็นบุคคลที่เอาแน่เอานอนไม่ได้เลยจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าบัดนี้พวกเรามีกำลังเสริมรวมตัวกันอยู่พอสมควรแล้วใช่ไหม?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาด้วยความสงสัย “แล้วเหตุไฉนพวกเขาถึงยังไม่ลงมือยึดเมืองกลับคืนมาอีก?”
เฉียนเหมยก้มหน้าตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ข้าน้อยได้ยินมาว่ากำลังเสริมสามชุดแรกของพวกเราก่อนหน้านี้ เมื่อเดินทางมาถึงเขตชายแดนเมืองหยุนเมิ่ง พวกเขาก็ถูกชาวทะเลจับได้และโดนสังหารหมดสิ้นเลยเจ้าค่ะ”
หลินเป่ยเฉินได้แต่กะพริบตาปริบๆ พูดอะไรไม่ออก