เจาโจวหยานและบุตรชายไม่สามารถตอบคำถามของหลินเป่ยเฉินได้จริงๆ
เพราะมันเป็นสิ่งที่พวกเขาทำอะไรไม่ได้
ในความคิดเห็นของสองพ่อลูกแล้ว แม้แต่หลินเป่ยเฉินก็ไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกัน
เพราะมันเป็นปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้กำลัง
ผู้คนจำนวนเกือบหมื่นคนต้องเดินทางท่ามกลางอากาศหนาว เรื่องอาหารการกินและเรี่ยวแรงคือปัญหาใหญ่
โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ถูกทำลายราบคาบของเมืองหยุนเมิ่ง ที่นี่มีอากาศชื้นมากกว่าเคย ลมทะเลโชยพัดตลอดเวลา อุณหภูมิหนาวเย็นมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันนี้ของเมื่อปีก่อนหลายเท่า เจาโจวหยานกับเจาอู๋หยางไม่อยากจะนึกถึงเลยว่า หากเมืองหยุนเมิ่งต้องเผชิญกับฤดูหนาว สภาพอากาศจะโหดร้ายมากขนาดไหน?
ความหนาวยังสามารถฆ่าพืชพรรณไม้
ความหนาวเย็นสามารถฆ่าสิ่งมีชีวิตได้ทุกสายพันธุ์
ปัญหาเรื่องปากท้องและการดำเนินชีวิตของประชาชน ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยความสามารถของคนเพียงคนเดียว
ต่อให้เป็นเทพเจ้า ก็ไม่มีทางแก้ไขปัญหานี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ
ทางออกเดียวคือพวกเขาต้องไม่สนใจเท่านั้น
เพราะถ้าเกิดเจาโจวหยานคิดนำชาวเมืองจำนวนมากอพยพไปด้วย ชาวเมืองเหล่านั้นก็จะกลายเป็นตัวถ่วงที่ทำให้พวกเขาต้องตกลงสู่ห้วงแห่งความตาย
เจาโจวหยานคิดว่าตนเองจะคัดเลือกแต่บุคคลที่มีฝีมือกลุ่มหนึ่งอพยพไปด้วยกันเท่านั้น ในอนาคตเมื่อตั้งหลักได้แล้ว จะกลับมาแก้แค้นชาวทะเลก็ยังไม่สาย
แต่แผนการทั้งหมดนี้ ต่อให้เป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ผู้ชำนาญการเจรจาอย่างเจาโจวหยาน ก็ยังไม่กล้าพูดออกมาต่อหน้าหลินเป่ยเฉิน
สองพ่อลูกทำได้เพียงนิ่งเงียบ
หลินเป่ยเฉินจ้องมองเจาโจวหยานและเจาอู๋หยางพร้อมกับถามว่า “ตกลงแล้วพวกท่านเป็นตัวแทนของเศรษฐีในเมืองนี้มาเจรจากับข้าใช่หรือไม่?”
เจาโจวหยานพยักหน้าและเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้ฟัง
ปรากฏว่า นอกจากหอการค้าสามพันโยชน์แล้ว บรรดาตระกูลผู้ร่ำรวยในเมืองหยุนเมิ่ง อย่างเช่น ตระกูลเซียว ตระกูลอู๋ และอีกหลายๆ ตระกูล ได้แอบประชุมลับกันล่วงหน้าและตัดสินใจว่าพวกเขาสมควรหลบหนีออกไปในขณะที่ชาวทะเลยังไม่สามารถตั้งรกรากบนแผ่นดินใหญ่ได้อย่างมั่นคง
“พวกท่านวางแผนการหลบหนีไว้อย่างไรบ้าง?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง
เมื่อได้ยินคำถามเช่นนี้ เจาโจวหยานก็เริ่มมีความหวังขึ้นมาแล้ว “กราบเรียนคุณชายหลิน แผนการของพวกเราเพิ่งอยู่ในขั้นเริ่มต้นเท่านั้น พวกเรายังไม่ทราบเช่นกันว่าจะใช้เส้นทางใดหลบหนี หากคุณชายหลินเข้าร่วมด้วย โอกาสที่พวกเราจะหลบหนีได้สำเร็จก็คงเพิ่มมากขึ้นอีกมหาศาล และถ้าคุณชายหลินยอมออกหน้า เหล่ายอดฝีมือทั้ง 12 คนนั้นก็จะต้องติดตามคุณชายอพยพไปพร้อมกับพวกเราเช่นกัน และถ้าเป็นเช่นนั้น ข้ามั่นใจว่าพวกเราต้องหลบหนีออกไปจากเมืองนี้ได้สำเร็จแน่นอน”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว “แล้วทำไมท่านไม่ติดต่อยอดฝีมือทั้ง 12 คนนั้นเองล่ะ?”
เจาโจวหยานตอบว่า “กราบเรียนตามตรง ข้าได้ลองติดต่อไปแล้ว แต่พวกเขาบอกว่าตนเองยินดีรับคำสั่งจากคุณชายหลินเท่านั้น หากคุณชายหลินยังไม่ไปจากเมืองนี้ พวกเขาก็ไม่มีทางไปเช่นกัน…”
“เหอเหอเหอ นี่ข้าได้รับเกียรติสูงส่งขนาดนั้นเลยหรือ?”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความเหยียดหยาม
เจาอู๋หยางอดพูดแทรกขึ้นมาไม่ได้ว่า “คุณชายหลิน บัดนี้ท่านมีสถานะไม่ต่างจากเทพเจ้าแห่งเมืองหยุนเมิ่ง ชาวเมืองจุดธูปบูชาท่านทุกวันทุกคืน บางคนถึงกับนำภาพเขียนรูปเหมือนของคุณชายไปติดไว้หน้าประตูบ้าน และเมื่อหน่วยลาดตระเวนของพวกชาวทะเลเดินผ่านมา พวกมันก็รีบหลบหนีไปทันทีเมื่อเห็นรูปวาดเหล่านั้น”
หลินเป่ยเฉินถึงกับเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
เรื่องราวเช่นนี้ เขาไม่เคยรับรู้เลยจริงๆ
แม่เจ้า
ตอนนี้เขายังไม่ตายสักหน่อย ก็มีชาวเมืองจุดธูปบูชาแล้วหรือ?
อีกอย่าง มีคนนำภาพเขียนของเขาไปติดไว้ที่หน้าประตู…
ใครเป็นคนขายภาพเขียนพวกนั้นนะ?
ทำไมไม่เอาส่วนแบ่งมาให้กันบ้าง
ค่าลิขสิทธิ์ไง
แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือตัวแทนชาวเมืองที่เป็นอาสาสมัครทั้ง 12 คนนั้น มีความเคารพเชื่อฟังในคำพูดของเขามากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
เซียวปิง ฉู่เหิน หลิวฉีไห่ พานเว่ยหมิน รวมไปถึงไต้จือฉุนซึ่งกลายมาเป็นพี่ชายร่วมสาบานคนล่าสุด ต่างก็เป็นผู้ที่มีความสนิทสนมกับหลินเป่ยเฉิน การปฏิเสธคำเชิญอพยพจึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ
แต่กับคนอื่นๆ ที่เหลืออยู่นั้นเล่า?
ยอดฝีมือเหล่านั้นต่างก็ตัดสินใจที่จะมอบชีวิตให้เขาแล้วใช่ไหม?
นี่มันอะไรกันเนี่ย
ในที่สุด วันนี้ก็มาถึงแล้วสินะ
หลังจากทะลุมิติมาได้หลายเดือน สุดท้าย เด็กหนุ่มก็กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในดินแดนที่ตนเองต้องมาอาศัยอยู่โดยไม่เต็มใจ
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
แต่ถึงอย่างนั้น หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกดีใจอยู่ดี
เด็กหนุ่มยกมือโบกสะบัดและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกท่านไปวางแผนการมาให้เรียบร้อยก่อน เมื่อข้าได้รับฟังแผนการทั้งหมดแล้ว เดี๋ยวจะให้คำตอบอีกที”
เจาโจวหยานยิ้มออกมาด้วยความตื่นเต้น
ชายชรารีบลุกขึ้นยืน พูดด้วยความกระตือรือร้น “รับทราบขอรับ ภายในสิบวันนี้ คุณชายหลินสามารถติดต่อพวกข้าได้ตลอดเวลา และไม่ว่าคุณชายต้องการสิ่งใด ข้าล้วนจัดหาให้ได้โดยทันที และพวกเราตัวแทนตระกูลผู้ร่ำรวย 20 ตระกูลได้ตัดสินใจแล้วว่า ก่อนออกเดินทาง ทุกตระกูลจะจ่ายเงินให้คุณชายหลินตระกูลละ 10,000 เหรียญทองคำ เป็นค่าตอบแทนสำหรับการคุ้มครองความปลอดภัยขบวนผู้อพยพ”
มีลาภลอยเข้ามาหาอีกแล้ว!
หลินเป่ยเฉินตื่นเต้นขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เจาโจวหยานนี่ไม่รู้จักการเจรจาเลยจริงๆ
ถ้าพูดมาตั้งแต่แรกว่ามีค่าจ้างให้เขา 200,000 เหรียญทองคำ ทุกอย่างก็เรียบร้อยไปนานแล้ว
แต่ใจเย็นหน่อยก็ดี
หลินเป่ยเฉินสูดหายใจลึกและพยายามกำชับกับตนเองไม่ให้แสดงอาการตื่นเต้นมากเกินไป
“ท่านคิดว่าข้าเป็นบุคคลหน้าเงินขนาดนั้นเลยหรือไร?”
หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งทำเป็นยกมือโบกสะบัดด้วยความเย็นชา “พวกท่านกลับไปก่อน เดี๋ยวข้าจะพิจารณาดูอีกที”
เจาโจวหยานและบุตรชายหันมองหน้ากัน ก่อนจะหันหลังกลับและเดินออกไป
ถ้าไม่มีหลินเป่ยเฉินร่วมขบวนผู้อพยพไปด้วย โอกาสที่พวกเขาจะหลบหนีออกไปนอกเมืองได้สำเร็จ เรียกได้ว่ามีเพียงครึ่งเดียว
แต่ถ้ามีหลินเป่ยเฉินร่วมขบวนผู้อพยพไปด้วย พร้อมกับยอดฝีมือทั้ง 12 คนเหล่านั้น โอกาสหลบหนีได้สำเร็จ ก็แทบจะการันตีความแน่นอนแล้ว
นี่คือการเดินทางที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน
หลังจากนั้น หวังจงก็เรียกลูกค้าให้เข้ามาพบปะกับหลินเป่ยเฉินเป็นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน
ส่วนใหญ่แล้ว ลูกค้าเหล่านั้นกลับเป็นคนของชาวทะเลที่พยายามมาขอความร่วมมือกับหลินเป่ยเฉิน บางคนอยากจะจ่ายค่าคุ้มครองร้านค้าของตนเองให้แก่หลินเป่ยเฉิน บางคนอยากจะให้หลินเป่ยเฉินเป็นตัวแทนติดต่อการค้ากับจักรวรรดิเป่ยไห่ และมีอีกหลายคนที่พยายามตีสนิทเพราะต้องการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเขา…
นี่ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกมั่นใจขึ้นมาอย่างหนึ่งว่า ในโลกธุรกิจนั้น ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร
แต่ใครกล้าทำธุรกิจร่วมกับชาวทะเลก็คงเสียสติไปแล้ว
หลินเป่ยเฉินยังไม่ใช่คนเสียสติ
เด็กหนุ่มจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเมื่อร่วมธุรกิจกันแล้ว วันดีคืนดีพวกชาวทะเลจะไม่มาแก้แค้นเขาที่เคยสังหารแม่ทัพฉลามอู๋หยาอย่างน่าอนาถเช่นนั้น?
ทว่า เหตุผลสำคัญที่สุดก็คือ หลินเป่ยเฉินคิดว่าตนเองใจดีมากเกินไป
เขาจึงถอนหายใจออกมายาวแรง ไถเงินชาวทะเลพวกนั้นเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ก่อนจะไล่พวกมันกลับไปอย่างไม่ไยดี
ในระหว่างการพูดคุยเหล่านี้ หลินเป่ยเฉินก็ฆ่าเวลาและความเบื่อหน่าย ด้วยการนำโทรศัพท์มือถือออกมาส่งข้อความวีแชท
แน่นอนว่าเขาส่งข้อความไปหาเทพีกระบี่หิมะไร้นาม
และบอกเล่าเรื่องราวความลําบากของชาวเมืองหยุนเมิ่งให้นางได้รับทราบ
“ทางท่านเป็นอย่างไรบ้าง ทางนี้สถานการณ์แย่มาก…”
“ถ้าไม่มีปาฏิหาริย์ ชาวเมืองจำนวนมากคงไม่สามารถอยู่รอดผ่านฤดูหนาวปีนี้ไปได้”
“ข้ารู้สึกสงสารชาวเมืองเหลือเกิน พวกเขาล้วนเป็นสาวกที่ซื่อสัตย์ของเทพีกระบี่ แล้วเทพีกระบี่จะปล่อยให้สาวกของตนเองต้องตกระกำลำบากอยู่อย่างนี้หรือ?”
แต่เทพีกระบี่หิมะไร้นามก็ไม่ตอบข้อความกลับมาเลยสักครั้งเดียว
นางไม่ได้อ่านข้อความด้วยซ้ำ
อยู่ดีๆ ก็หายไปเสียอย่างนั้น
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาเล็กน้อย
ตอนที่เขาเก็บโทรศัพท์ เด็กหนุ่มก็อดคิดไม่ได้ว่า หรือเขาควรจะใช้เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ที่ธิดาอู๋ไห่จือตี้เป็นคนมอบให้มาดีนะ?
แต่เทพธิดาองค์นั้นสมองดูไม่ค่อยปกติเท่าไหร่
เครื่องรางชิ้นนี้อาจจะมีสิ่งไม่ดีแอบแฝงอยู่ก็ได้
ถึงปลาตากแห้งพวกนั้นจะไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเครื่องรางดาวนำโชคจะไม่มีปัญหา
หากลองใช้งานแล้วเกิดปัญหาขึ้นมา…
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม สัญชาตญาณของหลินเป่ยเฉินกลับกระตุ้นเร้าให้เขาถอนเครื่องรางเทพเจ้าแห่งท้องทะเลออกมาจากแอปเจิ้นอ้ายหว่าง เพราะสิ่งที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้ ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ให้โทษกับเขาแต่อย่างใด
หลินเป่ยเฉินครุ่นคิดเรื่องนี้ไปด้วยพร้อมกับต้อนรับลูกค้าไปด้วย
จนกระทั่งถึงยามเย็น
หลินเป่ยเฉินก็ได้พบเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย
ที่ปรึกษาเต่าทะเลกุยเหนียน
“เจ้าชักจะดูถูกพวกเรามากเกินไปแล้ว ข้าไม่เคยต้องรอเข้าพบใครนานขนาดนี้มาก่อน…”
มนุษย์เต่าทะเลกุยเหนียนระเบิดโทสะด้วยสีหน้าบึ้งตึงทันทีที่พบหน้าหลินเป่ยเฉิน
“ข้าเป็นถึงผู้ส่งสาส์นแห่งชาวทะเลเชียวนะ!”
“ผู้ส่งสาส์นน่ะ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
“ข้ามีสถานะเป็นถึงตัวแทนขององค์หญิงแห่งท้องทะเลและเป็นตัวแทนของนักบวชหรงผู้ยิ่งใหญ่ แต่กว่าที่จะได้เข้าพบเจ้า ข้าต้องยืนตากแดดรออยู่ข้างนอกถึงสองชั่วยามเต็มๆ และยังต้องเสียอัญมณีถึง 200 ชิ้นเป็นค่าเข้าพบเจ้าอีก!”
“หลินเป่ยเฉิน เจ้าคิดที่จะประกาศสงครามครั้งใหม่กับชาวทะเลแล้วหรือไร?”
“ข้าไม่ยอม ข้าไม่ยอมเด็ดขาด…”
“ต่อให้เจ้าเป็นจักรพรรดิของจักรวรรดิเป่ยไห่ เจ้าก็มาทำแบบนี้กับข้าไม่ได้”
ในอาณาเขตของตำหนักไม้ไผ่ดังกังวานไปด้วยเสียงคำรามด้วยความไม่พอใจของเต่าทะเลกุยเหนียน
ดูเหมือนว่ามนุษย์เต่าทะเลจะไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วสูงด้วยความมึนงง
อะไรอีกละเนี่ย?
ผู้ส่งสาส์นอย่างนั้นหรือ?
เด็กหนุ่มหันไปมองหน้าหวังจงที่ยืนอยู่ข้างประตู
ตาเฒ่านี่ก็มีพรสวรรค์เหมือนกันนะเนี่ย
เป็นผู้ส่งสาส์นของชาวทะเลแล้วจะทำไม?
คิดจะลัดขั้นตอนเข้าพบเขาก่อนคนอื่นๆ อย่างนั้นหรือ?
เห็นแก่ตัวเกินไปแล้ว
ไม่ว่ายิ่งใหญ่มาจากไหน
เมื่อเข้ามาอยู่ในอาณาเขตของตำหนักไม้ไผ่ ทุกคนก็จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันทั้งหมด!
ถ้าอ่าน “เซียนกระบี่มาแล้ว” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย