ตอนที่ 614 อย่างไรก็ต้องกำจัดปีศาจร้ายตัวนี้ให้ได้!
นับดูตั้งแต่ทะลุมิติมาอยู่ในโลกแห่งวรยุทธ์ หลินเป่ยเฉินมีโอกาสได้ติดต่อกับเทพีกระบี่โดยตรงเพียงไม่กี่ครั้ง เพราะส่วนใหญ่ การร่วมมือที่เกิดขึ้นมีเทพีกระบี่หิมะไร้นามเป็นตัวกลางคอยสื่อสาร มิหนำซ้ำ บางครั้งพวกนางก็หายหน้าหายตาไปไม่สามารถติดต่อได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นเทพเจ้าที่ไม่ค่อยมีความรับผิดชอบสักเท่าไหร่
ไป๋ชินหยุนพูดออกมาอีกครั้ง “เทพีกระบี่ของเจ้าก็แค่โชคดีที่ได้เกิดใหม่เป็นเทพเจ้าเท่านั้นเอง”
หืม?
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วหน้ายุ่ง
แล้วทำไมเขาถึงต้องมายืนรับฟังไป๋ชินหยุนพูดพล่ามด้วยล่ะเนี่ย?
“โชคดีที่เจ้าว่า มันหมายความว่าอย่างไร?”
แต่สุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็อดถามไม่ได้
ไป๋ชินหยุนมองหน้าเขาด้วยความเบื่อหน่ายสุดขีด “ถึงข้าบอกไป เจ้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี หรือถึงเจ้าเข้าใจ เจ้าก็คงไม่อยากเชื่อนั่นแหละ… มาเข้าเรื่องที่เรากำลังพูดคุยกันอยู่ดีกว่า ตกลงว่าเจ้ายังจะเดินหน้าไปที่นครเจาฮุยต่อไปหรือไม่?”
ในฐานะที่รู้จักกันมาหลายเดือน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาหลายครั้ง ไป๋ชินหยุนจึงรู้สึกว่าหลินเป่ยเฉินเป็นมนุษย์ที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
หลินเป่ยเฉินสัมผัสได้ถึงความไม่เป็นมิตรในคำพูดของอีกฝ่าย
“ความจริง ข้าก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับพวกปีศาจอย่างเจ้าหรอกนะ” หลินเป่ยเฉินพยายามเรียบเรียงคำพูดให้ออกมาดูดีมากที่สุด “แต่ข้าคิดว่าพวกเราต่างคนต่างอยู่ไม่ดีกว่าหรือ? เจ้าอยู่ส่วนของเจ้า ข้าก็อยู่ส่วนของข้า พวกเราไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกัน แค่นี้ก็หมดปัญหาแล้ว”
ไป๋ชินหยุนส่ายศีรษะ “ไม่ได้”
หลินเป่ยเฉินพูดว่า “หรือเจ้าคิดว่าคำพูดของข้าไม่อาจเชื่อถือ?”
ไป๋ชินหยุนยังคงส่ายหน้า
สีหน้าของนางปรากฏความลำบากใจขึ้นมาเล็กน้อย
นางมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาเป็นประกาย และพูดน้ำเสียงจริงจังหนักแน่น “หลายครั้งเหตุการณ์มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด… เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันหมายความว่าอย่างไร? แต่บัดนี้ พวกเรามาถึงจุดที่หันหลังกลับไม่ได้แล้ว ทางออกเดียวที่มีอยู่ก็คือเจ้าต้องทำตามคำแนะนำของข้าเท่านั้น มิฉะนั้นแล้ว ข้าก็จำเป็นต้องฉีกหน้าเจ้าและอาจจะต้องสังหารเจ้าด้วยเช่นกัน”
หลินเป่ยเฉินไม่ตอบรับคำใด
ไม่ว่ามองจากมุมไหน เขาก็สมควรรับฟังคำแนะนำของไป๋ชินหยุน
ยิ่งไปกว่านั้น มันไม่ใช่เรื่องฉลาดเลยที่จะมีเรื่องปะทะหักล้างกับศัตรูของเทพีกระบี่ในยามนี้
เพราะถ้าตกเข้าไปอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างเทพเจ้ากับปีศาจ หลินเป่ยเฉินก็นึกภาพไม่ออกเลยว่า ชีวิตหลังจากนี้ของเขามันจะวุ่นวายขนาดไหน
แต่ถ้าไม่ให้ไปที่นครเจาฮุย แล้วพวกเขาจะไปที่ไหนได้อีก?
คณะผู้อพยพของเขาเปรียบเสมือนกองทัพคนพเนจร ร่อนเร่ไร้หลักแหล่ง และกว่าที่จะได้รับความไว้วางใจจากทุกคนอย่างเช่นในปัจจุบันมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย การได้ช่วยเหลือผู้คนนับหมื่นให้รอดพ้นจากความตาย คือสิ่งที่ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าชีวิตของตนเองก็มีความหมายอยู่ไม่ใช่น้อย
ถ้าเขายอมแพ้ เขาก็ต้องทิ้งทุกคนไป
แล้วเขาก็จะกลับไปรู้สึกโดดเดี่ยวอีกครั้งใช่หรือไม่?
หลินเป่ยเฉินเงยหน้าขึ้นมา จ้องมองไปที่ไป๋ชินหยุน แล้วถาม “สรุปว่าเจ้าต้องฆ่าข้าจริงๆ ใช่ไหม?”
ไป๋ชินหยุนพยักหน้า “แม้ข้าจะเคยโกหกเจ้ามาหลายครั้งหลายหน แต่รับรองว่าครั้งนี้ ข้าไม่ได้โกหกเจ้าแน่นอน”
“ข้าไม่เชื่อ”
หลินเป่ยเฉินทราบดีว่าตนเองกำลังท้าทายอยู่กับความตายอย่างยโสโอหังมากเกินไป
ไป๋ชินหยุนลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พูดออกมา “ถ้าอย่างนั้น… เจ้าจะยอมให้ข้าสังหารเจ้าจริงๆ หรือ?”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจ
ไป๋ชินหยุน เจ้านี่มันเหลวไหลเกินไปแล้ว
ถามเช่นนี้แล้วเขาจะตอบอย่างไรดี
หลินเป่ยเฉินไม่รู้ว่าตนเองสมควรตอบอย่างไร
แต่จังหวะที่หลินเป่ยเฉินกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา คมกระบี่พลันสาดประกายในอากาศพุ่งเข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของไป๋ชินหยุนแปรเปลี่ยนไปโดยทันที
คมกระบี่พุ่งวาบเข้ามาตรงจุดที่นางยืนอยู่
วูบ!
เด็กสาวหมุนตัวตีลังกาหลบหลีกได้อย่างรวดเร็ว
แล้วชายชราในชุดนอนสีชมพูผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าหลินเป่ยเฉิน
หากไม่ใช่หลิงไท่ซวีแล้วจะเป็นผู้ใดได้อีก?
“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
หลิงไท่ซวีหันกลับมาใช้สายตาสำรวจมองหลินเป่ยเฉินตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อแน่ใจแล้วว่าเด็กหนุ่มไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ สีหน้าของชายชราจึงผ่อนคลายมากขึ้น
“อาจารย์ใหญ่มาทำอะไรที่นี่ขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามกลับไปด้วยความเหลือเชื่อ
หลิงไท่ซวีตอบว่า “ข้ามาทําอะไรที่นี่อย่างนั้นหรือ? แน่นอนก็ต้องมาคอยคุ้มครองเจ้าอยู่แล้ว เจ้าเป็นถึงหลานเขยในดวงใจของข้าทั้งที จะปล่อยให้เดินเล่นในหุบเขาเพียงลำพังได้อย่างไร… ดูสิว่าข้ารีบร้อนออกมาขนาดไหน แม้แต่เสื้อผ้าก็ยังไม่ได้ผลัดเปลี่ยนเลยด้วยซ้ำ”
หลินเป่ยเฉินทำปากจู๋ด้วยความพิศวง
นี่เขาต้องขอบคุณใช่ไหมเนี่ย?
“ขอบคุณอาจารย์ใหญ่ที่เป็นห่วง… แต่พวกเรา… กำลังพูดคุยกันถึงเรื่องราวความฝันและเป้าหมายชีวิต เฉกเช่นเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบเจอกันมานานเท่านั้นเองขอรับ”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
เพราะเด็กหนุ่มกลัวว่าไป๋ชินหยุนจะเห็นหลิงไท่ซวีเป็นตัวปัญหาและสังหารชายชราตายคาที่เสมือนมดปลวกตัวหนึ่ง
แต่ที่ไหนได้ หลิงไท่ซวีกลับพูดออกมาว่า “เจ้ายังพูดดีอยู่อีกได้อย่างไร คิดว่าข้าโง่เง่ามากนักหรือ? เด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าผู้นี้ เป็นธิดามารที่คอยสนับสนุนพวกของเว่ยหมิงเฉินอยู่ต่างหาก เจ้ารู้หรือไม่ว่านางมีภารกิจที่จะต้องสังหารเจ้าให้จงได้”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโต “อาจารย์ใหญ่ทราบเรื่องนี้ด้วยหรือขอรับ?”
หลิงไท่ซวีพยักหน้า “ข้าดูออกตั้งแต่ตอนที่เด็กคนนี้ไปปรากฏตัวอยู่ในพิธีตรวจสอบวิหารประจำเมืองแล้ว”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจ แล้วบอกว่า “อาจารย์ใหญ่ขอรับ ท่านรู้มากเกินไปแล้ว ท่านรู้มากเกินไปแล้วจริงๆ”
หลิงไท่ซวีกล่าวด้วยสีหน้ากระตือรือร้น “ไม่เป็นไร วันนี้เจ้ากับข้าร่วมมือกัน อย่างไรก็ต้องกำจัดปีศาจร้ายตัวนี้ให้ได้”
หัวใจของเด็กหนุ่มกระตุกวูบ
อาจารย์ใหญ่หลิงไท่ซวีนับว่าเป็นบุคคลที่ดื้อรั้นอย่างยิ่ง
แต่ในการต่อสู้ครั้งก่อน หลิงไท่ซวีก็แสดงให้เห็นแล้วว่าตนเองมีความแข็งแกร่งยามต่อสู้ขนาดไหน เขามีฝีมือที่ไม่เคยเปิดเผยให้ผู้ใดเห็นมาก่อน หากร่วมมือกัน พวกเขาสองคนย่อมมีความได้เปรียบต่อไป๋ชินหยุนพอสมควร เมื่อต่อสู้อย่างสุดกำลัง การเอาชนะเด็กสาวปีศาจผู้นี้คงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว
เพียงแต่ว่า…
สุดท้ายหลินเป่ยเฉินก็ส่ายศีรษะ
ถึงอย่างไร เขาก็ไม่อยากเห็นไป๋ชินหยุนต้องมาตายต่อหน้าต่อตา
“นี่คือเรื่องส่วนตัวของข้าน้อยขอรับ”
หลินเป่ยเฉินเอ่ย “ขอบคุณอาจารย์ใหญ่มาก แต่ได้โปรดให้ข้าน้อยจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองเถิด”