ตอนที่ 776 ตายแล้วฟื้นคืนวิญญาณ
นับว่าเหลียงหยวนเตาที่กำเนิดใหม่ในร่างสองนี้มีความน่ากลัวอย่างแท้จริง
แท่งกระดูกที่เขาใช้แทนอาวุธเกือบจะทิ่มแทงหลินเป่ยเฉินจนถึงแก่ความตาย
เด็กหนุ่มดึงเศษกระดูกออกมาอย่างระมัดระวัง
เศษกระดูกที่ทิ่มแทงเข้าไปในหน้าอกของเขามีขนาดเท่ากับกระดูกนิ้วมือ
แต่สิ่งที่แปลกประหลาดมากที่สุดก็คือเศษกระดูกชิ้นนี้กลับมีน้ำหนักผิดปกติ อีกทั้งยังเป็นกระดูกคุณภาพสูง พื้นผิวราบเรียบราวกับหยกขัดเงา เมื่อดึงออกมาแล้ว นอกจากจะมีเลือดไหลซึมออกมามากขึ้น หลินเป่ยเฉินยังรับรู้ได้ถึงพลังแฝงที่อยู่ในกระดูกชิ้นนี้อีกด้วย…
แสดงว่านี่ไม่ใช่กระดูกธรรมดา
หลินเป่ยเฉินจำได้ว่าเหลียงหยวนเตานำกระดูกชิ้นนี้ออกมาจากแอ่งโลหิตบนพื้นดินด้านล่าง
และมันก็เป็นแอ่งโลหิตเดียวกับที่เหลียงหยวนเตาฟื้นคืนชีพกลับขึ้นมา หลังจากมีสภาพกลายเป็นกองเนื้อสับละเอียดด้วยฝีมือของหลินเป่ยเฉินและกระบี่สายฟ้า
ให้ตายสิ
หลินเป่ยเฉินข่มความเจ็บปวดที่หน้าอกและก้มหน้ามองลงไป
ใช่แล้ว
บัดนี้ ร่างของเหลียงหยวนเตาที่ถูกตัดขาดหลายท่อนหลายขนาดต่างก็หล่นลงไปอยู่ในแอ่งโลหิตเดิมอีกครั้ง
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินเพิ่งจะได้สังเกตว่ารัศมีของแอ่งโลหิตกว้างมากขึ้นกว่ายี่สิบวาโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว พื้นผิวของแอ่งโลหิตราบเรียบราวกับกระจกสีแดงเข้ม ไม่มีระลอกคลื่นพลิ้วไหวอีกแล้ว
มีปัญหาแล้วสิ
ปัญหาใหญ่ซะด้วย
หลินเป่ยเฉินเกิดลางสังหรณ์อัปมงคลขึ้นมาในหัวใจ
อย่าบอกนะว่าที่เขาฆ่าไอ้หมูตอนไปเมื่อสักครู่นี้ มันจะยังไม่ตาย?
เหลียงหยวนเตาจะสามารถฟื้นคืนชีพกลับขึ้นมาได้เป็นครั้งที่สามอย่างนั้นหรือ?
คิดได้ดังนั้น หัวใจของหลินเป่ยเฉินก็หนาววูบ
ไม่มีทาง
เขาทิ้งตัวลงไปยืนอยู่ข้างแอ่งโลหิต
ปีกกระบี่บนแผ่นหลังกางออกกว้าง
ปัจจุบันนี้ ถึงระดับพลังศักดิ์สิทธิ์ของหลินเป่ยเฉินจะอยู่ในระดับปรมาจารย์เทวะ แต่ก็ยังห่างไกลจากขั้นยอดปรมาจารย์เทวะอีกมากโข เพราะฉะนั้น เขาจึงยังไม่สามารถใช้งานปีกกระบี่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากใช้มันส่องแสงสว่างพาบินไปไหนมาไหนแล้ว ปีกกระบี่ก็แทบไม่มีประโยชน์อื่นใดอีกเลย…
และทุกครั้งที่กางปีกออก เสื้อของเขาก็จะฉีกขาด
เผยให้เห็นแผงอกกำยำ
ผิวกายของเด็กหนุ่มขาวเนียนปราศจากตำหนิ หน้าท้องเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อชวนมอง ถือเป็นรูปร่างสมบูรณ์แบบอย่างที่ชายหนุ่มจำนวนมากใฝ่ฝัน
ขณะนี้ ยังคงมีโลหิตไหลออกมาจากบาดแผลบนหน้าอก
ไม่เป็นไร
แค่บาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น
หลังจากนั้น คุณชายหลินก็ทยอยสำรวจความเรียบร้อยของร่างกายตนเอง และไม่พบบาดแผลอื่นใดอีก เขาเพียงบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น… แต่ให้ตายสิ หลินเป่ยเฉินรู้สึกเจ็บเป็นบ้า
หลินเป่ยเฉินข่มกลั้นความเจ็บปวด ก้มหน้ามองลงไปที่แอ่งโลหิต
แล้วเขาก็ต้องตกตะลึง
เงาที่กำลังสะท้อนอยู่บนพื้นผิวแอ่งโลหิตขณะนี้เป็นเงาของเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาอย่างหาที่ติไม่ได้คนหนึ่ง ร่างกายท่อนบนของเขาเปลือยเปล่า เปิดเผยให้เห็นถึงมัดกล้ามอันกำยำสมสัดส่วน เจ้าของเงาสะท้อนนี้มีความสมบูรณ์แบบราวกับเทพบุตรที่ลงมาจากสวรรค์ก็ไม่ปาน
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินแทบจะลืมไปแล้วว่าเขากำลังจ้องมองเงาสะท้อนของตนเอง และเขาก็แทบจะลืมไปแล้วเช่นกันว่าปัญหาเดียวของตนเองนั้นก็คือการเป็นคนที่ ‘หล่อเหลาอย่างไม่มีเหตุผล’ มากเกินไป
หลังจากจ้องมองเงาสะท้อนของตนเองอยู่หลายลมหายใจ ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็ค่อย ๆ หลับตาลง
เขายืนอยู่ข้างแอ่งโลหิต ปลดปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาอย่างแช่มช้า
พลังงานสีเงินแผ่ออกมาจากร่างกาย
นี่คือพลังที่ต้องเป็นนักบวชระดับสูงเท่านั้นถึงจะมีได้ แสงสว่างของพลังศักดิ์สิทธิ์สาดกระจายไม่ต่างจากแสงจันทรารอบทิศทาง โดยที่มีหลินเป่ยเฉินเป็นศูนย์กลางของแสงสว่างนั้น เพื่อปลดปล่อยพลังคอยปลอบประโลมดวงวิญญาณผู้ทุกข์ทรมาน
บัดนี้ คุณชายหลินมีสภาพไม่ต่างจากตะเกียงมนุษย์ดวงใหญ่ที่ส่องแสงสว่างท่ามกลางโลกอันมืดมิด
ความมีสง่าราศีอันสูงส่งของเขาทำให้ทุก ๆ คนอยากกราบไหว้บูชาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“ข้าเคยพูดเอาไว้ตั้งนานแล้ว”
หลินเป่ยเฉินกล่าวออกมาเสียงดังกังวาน “เพียงแรกเห็นหน้าข้าก็รู้ทันทีว่าเหลียงหยวนเตามิใช่มนุษย์ทั่วไป เขาสามารถฟื้นคืนชีพจากความตาย เห็นได้ชัดว่าเขาคือเผ่าพันธุ์ปีศาจที่แฝงตัวมาอยู่บนโลกมนุษย์…”
เสียงพูดของเด็กหนุ่มดังสะท้อนไปทุกทิศทาง
ไม่ว่าจะเป็นขุนนางใหญ่ มหาเศรษฐี หรือกลุ่มยอดฝีมือระดับเจ้าสำนักต่างก็เบิกตาโตด้วยความเลื่อมใส
พวกเขาเห็นกับตาว่าเหลียงหยวนเตาถูกหั่นจนกลายเป็นเศษเนื้อกองหนึ่ง แต่กลับสามารถรวมร่างขึ้นมาใหม่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ นี่คือพลังที่แม้แต่ผู้มีพลังขั้นเซียนก็ยังไม่สามารถทำได้ ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง
ในโลกใบนี้ เหตุการณ์ที่แปลกประหลาดมากเกินไป มักจะสรุปได้ว่าเกิดขึ้นจากสองสาเหตุหลัก…
ถ้าไม่ได้เป็นฝีมือของเทพเจ้า
ก็ต้องเป็นฝีมือของปีศาจ
แน่นอนว่าเหลียงหยวนเตาย่อมไม่ใช่เทพเจ้า
ดังนั้น ชายอ้วนจึงต้องเป็นปีศาจได้เพียงอย่างเดียว
เมื่อลองคิดดูให้ดี
ในเมื่อเหลียงหยวนเตาเป็นปีศาจ ก็เท่ากับว่าการปรากฏตัวของหลินเป่ยเฉินเปรียบเสมือนนักบวชตัวแทนเทพเจ้าที่เข้ามาปัดเป่าความชั่วร้ายให้แก่ทุกคนไม่ใช่หรือ?
ช่างน่าตื่นตาตื่นใจเหลือเกิน
เด็กหนุ่มเป็นตัวแทนเทพเจ้าคอยกำราบเหล่ามารร้ายในโลกมนุษย์
สวรรค์ทรงโปรด
นี่คือการค้นพบที่ทำให้หัวใจของทุกคนอบอุ่น
ถึงเด็กหนุ่มจะเป็นคนที่ฆ่าแม่ทัพเกาเฉิงฮั่นก็ตาม…
เหล่าขุนนางใหญ่ มหาเศรษฐี และยอดฝีมือระดับเจ้าสำนักพลันไม่อยากนึกถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว
พวกเขาเพียงอยากรักษาชีวิตและเอาตัวรอด พร้อมทั้งกอบโกยผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุดในระยะเวลาอันสั้น
ขณะนี้ ทุกคนถึงกับคิดประโยคคำพูดที่จะสรรเสริญหลินเป่ยเฉินกันอย่างถ้วนหน้าแล้ว…
แต่แล้วทันใดนั้น พวกเขาก็เห็นหลินเป่ยเฉินที่ยืนอยู่ข้างแอ่งโลหิตค่อย ๆ หมุนตัวด้วยท่วงท่าแปลกประหลาด ก่อนที่เด็กหนุ่มจะจุ่มฝ่ามือของตนเองลงไปในแอ่งโลหิต และคำรามว่า “เมื่อมีปีศาจร้ายกล้ามาอาละวาดต่อหน้า ข้าจะสามารถทนอยู่นิ่งเฉยได้อย่างไร บัดนี้ ข้าจะทำพิธีปัดเป่าวิญญาณร้ายให้แก่ชาวเมืองทุกคน… โอมมมม นะมะพะทะ เมตตานะอะอุ อาราจุ๊กกรู๊ อามิตตาพุทธ วิญญาณของปีศาจร้ายทั้งหลาย จงดับสิ้นไปเดี๋ยวนี้! ย๊ะ!”
หลังจากทำท่าทำทางแปลกประหลาดอยู่หลายครั้ง หลินเป่ยเฉินก็ดึงมือขึ้นมาจากแอ่งโลหิต
พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขากลายเป็นกระแสคลื่นไหลรินลงไปสู่แอ่งโลหิตซึ่งมีพื้นผิวราบเรียบราวกระจก
ในเมื่อเหลียงหยวนเตาน่าจะเป็นพวกปีศาจ หลินเป่ยเฉินก็จำเป็นต้องใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ในการขับไล่ปีศาจให้ดับสิ้น ชายอ้วนไม่สมควรฟื้นคืนชีพกลับขึ้นมาจากแอ่งโลหิตนี้ได้อีกต่อไป ครั้งที่แล้วเหลียงหยวนเตาถูกฆ่าตายด้วยกระบี่ธรรมดา แต่ครั้งนี้ หลินเป่ยเฉินเล่นงานด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ตามซ้ำเติม เด็กหนุ่มหวังว่าพลังที่ตนเองอัดเข้าไปในแอ่งโลหิตนี้จะช่วยทำลายความสามารถในการฟื้นคืนชีวิตของเหลียงหยวนเตาได้อย่างหมดสิ้น
พลังศักดิ์สิทธิ์จากเด็กหนุ่มไหลลงสู่แอ่งโลหิตอย่างต่อเนื่อง
กลุ่มผู้ชมต่างก็หันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
นี่มันอะไรกัน?
การกระทำของหลินเป่ยเฉินเมื่อสักครู่นี้คือพิธีปัดเป่าปีศาจร้ายใช่หรือไม่? …ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเด็กหนุ่มคือตัวแทนของเทพีกระบี่ที่แท้จริง และควรค่าที่พวกเขาจะกราบไหว้บูชาแล้วสินะ?
“โฮะโฮะโฮะ ไม่เสียทีที่คุณชายหลินเป็นถึงผู้ที่ถูกเลือกจากเทพีกระบี่ วิธีไล่ปีศาจของเขาช่างมีมนต์ขลังสมกับเป็นพิธีกรรมในตำนานจริง ๆ”
เจ้าสำนักสุราหมื่นไหปรบมือด้วยความตื่นเต้น และด้วยความที่ตื่นเต้นมากเกินไป เสียงพูดจึงสั่นเครือและแหลมสูงกว่าปกติเล็กน้อย
ทุกสายตาหันกลับมามองเจ้าสำนักหนุ่มผู้นี้เป็นตาเดียว
ศิษย์น้องหญิงของเขาเห็นดังนั้น ก็รีบถามออกมาเสียงดังว่า “พี่ใหญ่รู้ด้วยหรือเจ้าคะว่าคุณชายหลินทำพิธีอะไร?”
“ข้าจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ”
เจ้าสำนักหนุ่มทำปากขมุบขมิบแอบกระซิบตอบกลับมา
ศิษย์น้องหญิงของเขาได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ
นางไม่ควรถามออกไปเลย
ถ้าไม่ถาม พวกเขาก็ไม่ต้องเสียหน้าแล้ว
หลังเสร็จสิ้นการบริกรรมคาถามั่ว ๆ หลินเป่ยเฉินก็ปลดปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์ลงไปในแอ่งโลหิตอีกอึดใจใหญ่
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาก็ทำให้เด็กหนุ่มต้องผิดหวังและตื่นตระหนกในเวลาเดียวกัน เพราะเมื่อพลังศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นสัมผัสกับพื้นผิวของแอ่งโลหิต ผิวน้ำสีแดงที่ใสราวกระจกก็ดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์หายวับไปราวกับว่าพลังศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นถูกส่งผ่านไปอยู่มิติอื่น โดยที่แอ่งโลหิตไม่ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
ไม่ได้เปลี่ยนรูปทรง
ไม่ได้ถูกทำลาย
เฮ้อ
ทำไมสังหรณ์อัปมงคลในจิตใจถึงได้รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะ?
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว
ทันใดนั้น พื้นผิวของแอ่งโลหิตก็เป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาอีกครั้ง
ปุดปุดปุด!
เริ่มมีฟองอากาศผุดพราวขึ้นมาบนผิวน้ำสีเลือด
หลังจากนั้น…
ปุดปุดปุด! ปุดปุดปุด!
ฟองอากาศผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
พื้นผิวแอ่งโลหิตมีสภาพไม่ต่างจากน้ำเดือด
คล้ายกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัวกำลังจะค่อย ๆ โผล่ขึ้นมาจากใต้แอ่งโลหิตในอีกไม่ช้า
“เชี่ย อย่าบอกนะว่าแม่งคืนชีพขึ้นมาอีกแล้ว?”
สีหน้าของหลินเป่ยเฉินแปรเปลี่ยนไปทันที
ไอ้หมูตอนนรกนี่มีร่างที่สามด้วยหรือไง?
แม่งเอ๊ย
หลินเป่ยเฉินปวดหัวแทบระเบิด
จังหวะนั้น พื้นผิวของแอ่งโลหิตก็มีสภาพเป็นน้ำเดือดโดยสมบูรณ์ หลินเป่ยเฉินรีบถอยออกมาตั้งหลักหลายสิบวา แล้วพื้นผิวของแอ่งโลหิตก็กลับไปราบเรียบสงบดังเดิมอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่ใจกลางแอ่งโลหิตจะปลดปล่อยกลิ่นไอปีศาจและพลังลมปราณอันแรงกล้าออกมา
ศีรษะของชายหนุ่มคนหนึ่งโผล่พ้นขึ้นมาจากแอ่งโลหิต
เป็นศีรษะของชายหัวล้านคนหนึ่ง