บทที่ 71
ฟีเรนเทียยื่นมือออกไปหาใบหน้านั้น
ผิวหน้าขาวซีดนั้นเย็นเฉียบเป็นอย่างมาก
“ช่วยไปเอาผ้าขนหนูแห้งๆ มาให้หน่อยนะคะ”
“อ๊ะ ครับ คุณหนู”
พ่อบ้านเองก็ตกใจเช่นกัน เขารีบวิ่งไปเอาผ้าขนหนูมาให้หลายผืน
ผืนหนึ่งพันไว้บนไหล่ของเฟเรสที่เปียกฝนจนชุ่ม อีกผืนหนึ่งคลุมไว้บนศีรษะของเด็กหนุ่มอย่างแน่นหนา
“หนาวขนาดนี้ ทำไม…ถึงได้ฝ่าฝนมาล่ะ”
“กลัวว่าดอกไม้นี่จะร่วงเพราะฝนน่ะ”
“อา…”
“ต้องเป็นดอกนี่เท่านั้น ท่านพ่อของเทียถึงจะหายไม่ใช่เหรอ”
“…คนโง่”
ฟีเรนเทียจับมือเฟเรสลากเขาเดินขึ้นบันได
แต่เด็กนี่ก็ไม่ถามเลยสักครั้งว่า ‘จะไปไหน’ ด้วยซ้ำ เพียงแค่เดินตามหลังเธอมา ปรับระยะก้าวให้เข้ากับจังหวะก้าวเดินของเธอ เพื่อไม่ให้เธอต้องลำบากเท่านั้น
เธอพาเฟเรสเข้าไปในห้องของตัวเอง ก่อนจะดันตัวเขานั่งลงตรงหน้าเตาผิง
“ช่วยจุดไฟเตาผิงเพิ่มให้หน่อยนะคะ”
พ่อบ้านรีบหยิบฟืนหลายท่อนโยนเพิ่มเข้าไปในกองไฟ
“แคทเธอรีนล่ะ คาอิลรัสรู้หรือเปล่าว่าเจ้ามาที่นี่น่ะ”
“…น่าจะไม่รู้”
“หรือว่านี่คงไม่ใช่ว่าหลังจากได้รับสารของข้า เจ้าก็ถือเอาดอกบอมเนียมากลางดึกกลางดื่นคนเดียวทันทีเลยหรอกนะ”
“…”
“ฝนตกแต่ไม่ได้คิดว่าควรจะล้มเลิกแล้วกลับเข้าวัง เอาแต่ก้มหน้าก้มตาขุดดินเพื่อที่จะได้ขุดดอกนี่ขึ้นมาก่อนที่มันจะร่วงเพราะฝน คงไม่ได้ทำแบบนั้นหรอกใช่มั้ย”
“…”
“เอาบอมเนียใส่กล่องไม้ ไม่บอกกล่าวแคทเธอรีนหรือคาอิลรัส แต่ตรงไปปลุกสารถีรถม้าให้ช่วยพามาส่งที่นี่…คงไม่ใช่ใช่มั้ย”
เฟเรสหลบสายตาหันไปมองเปลวไฟในเตาผิงที่ลุกโชนแทน
“…คงต้องส่งคนไปแจ้งที่วังก่อนแล้วละค่ะ รบกวนด้วยนะคะ”
“จะ…จะส่งคนไปที่วังโฟอิรัคให้ครับ”
บางทีตอนนี้คงจะรู้กันแล้วว่าเฟเรสหายตัวไป และกำลังพลิกวังตามหากันอยู่แน่
เฟเรสกำลังลอบสังเกตเธออยู่
หยดน้ำฝนหยดลงมาจากผมสีดำสนิทของเด็กหนุ่ม
เธอใช้ผ้าขนหนูช่วยเช็ดผมให้เฟเรสในขณะที่เอ่ยพูดไปด้วย
“เอาไว้ข้าจะขอโทษแคทเธอรีนกับคาอิลรัสทีหลังก็แล้วกัน”
“เทียเหรอ…ทำไมล่ะ”
“ก็เจ้าทำแบบนั้นเพราะเอาบอมเนียมาให้ข้าไม่ใช่หรือไง ทำแบบนั้นเพราะอยากช่วยข้า”
“แต่ว่า…”
เฟเรสตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็ปิดปากลงอีกครั้งเหมือนเปลือกหอยและหยิบกล่องที่วางไว้มุมหนึ่งเลื่อนส่งให้เธอ
ทว่าเธอส่ายหน้าปฏิเสธ
“ให้แน่ใจก่อนว่าร่างกายเจ้าอบอุ่นแล้วค่อยไปดู”
คำพูดของเธอทำให้เฟเรสครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เตาผิง แล้วเริ่มลงมือเช็ดผมของตัวเองให้แห้ง
ระหว่างนั้นพ่อบ้านก็ช่วยเอาซุปอุ่นๆ กับชาร้อนกรุ่นมาให้ รวมถึงช่วยจัดเตรียมเสื้อผ้าแห้งสำหรับเปลี่ยนด้วย
“เอาละ อุ่นขึ้นแล้ว”
เฟเรสเดินเข้ามา ยื่นมือของตัวเองแนบแก้มของเธอพลางเอ่ยพูด
เป็นอย่างที่เด็กนี่พูดจริงๆ
มือที่เมื่อครู่ยังเย็นเฉียบเหมือนเลือดส่งไปไม่ถึง เพียงครู่เดียวก็กลับมามีอุณหภูมิอบอุ่นอย่างที่ควรเป็น
“เพราะงั้นรีบไปสิ”
ครั้งนี้ฟีเรนเทียไม่ปฏิเสธ
เธอถือกล่องใส่ดอกบอมเนีย แล้วพูดย้ำกับเฟเรส
“รีบๆ ไปเปลี่ยนชุด แล้วนั่งกินอะไรอุ่นๆ รอไปก่อนนะ”
“อื้อ”
เฟเรสตอบอย่างรวดเร็วเหมือนสุนัขที่เชื่อฟังคำสั่งเป็นอย่างดี
เธอเดินออกไปจากห้อง
บนโถงทางเดินมืดสนิท มีเพียงเสียงก้าวเดินของเธอกับเสียงกล่องกระทบกันดังแกรกๆ เท่านั้น
เธอรีบเร่งฝีเท้าจนไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เธอกำลังวิ่งอยู่
ในตอนที่มาถึงห้องวิจัยของเอสทีร่าที่เตรียมไว้อยู่ฟากหนึ่งของปีกคฤหาสน์ เธอก็หอบหายใจแฮกราวกับลมหายใจขึ้นมาจุกอยู่ที่คอหอย
“คุณหนูฟีเรนเทีย?”
เอสทีร่ายังตื่นอยู่
โคมไฟถูกเปิดทิ้งไว้ ดูจากที่นางกำลังเปิดหนังสืออ่าน ท่าทางคงจะกำลังวิจัยเกี่ยวกับยาอยู่
เธอเปิดกล่องออกตรงหน้าเอสทีร่า
“หาดอกบอมเนียมาได้แล้ว”
“นะ…นี่มัน…”
เอสทีร่าใช้ปลายนิ้วลูบกลีบดอกสีแดงสดราวกับไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเธอถึงกับพูดอะไรไม่ออก
เธอส่งกล่องใบนั้นให้เอสทีร่า
และเอ่ยพูดด้วยความหวังสุดหัวใจ
“คราวนี้ก็ช่วยพ่อของข้าทีนะ เอสทีร่า”
เอสทีร่าใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง ก็สามารถปรุงยาตัวใหม่ออกมาได้
พอพระอาทิตย์ขึ้น เอสทีร่าก็นำยาตัวใหม่นี้ไปให้ท่านพ่อในทันที
“ยา…ตัวใหม่หรือ”
ในเวลาแค่ไม่กี่วันท่านพ่อผ่ายผอมลงไปมาก ท่านยิ้มขมขื่นในขณะที่มองยาตัวใหม่ที่เอสทีร่ายื่นให้
ดูเหมือนว่าจะไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก
“ขอบคุณที่ช่วยพยายามมาตลอดเลยนะครับ เอสทีร่า”
มองจากการที่ท่านพ่อพูดแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมา ในขณะที่ใช้มือข้างซ้ายซึ่งยังเป็นมือเพียงข้างเดียวในบรรดาแขนขาทั้งสี่ที่ยังขยับได้เพื่อดื่มยา ก็พอจะรู้ได้
ที่จริงฟีเรนเทียเองสามารถเดินเข้าไปใกล้และพูดอะไรกับท่านได้บ้างก็จริง แต่เธอก็เลือกที่จะก้าวถอยห่างออกมา
แค่นี้ท่านพ่อก็ทรมานมากพอแล้ว เธอไม่อยากทำให้ท่านต้องเสแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไรเพื่อเธออีก
ถ้าท่านร้องไห้มากกว่านี้ ระบายความโกรธออกมา มันยังดีเสียกว่า
กระทั่งต่อหน้าความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ ท่านพ่อก็ยังคงยิ้มเหมือนเคยไม่ต่างอะไรจากแต่ก่อน
เหมือนเมื่อชีวิตก่อน
แต่ว่า
เธอในชีวิตใหม่นี้รู้ดีว่า เสียงร้องไห้ที่ได้ยินดังออกมาจากห้องนอนของท่านพ่อกลางดึกมันคืออะไร
และเธอยังรู้อีกด้วยว่า นัยน์ตาบวมเป่งสีแดงของท่านพ่อในวันถัดมาเป็นเพราะสาเหตุใด
เธอเฝ้ามองภาพนั้นจากไกลๆ ก่อนจะเดินออกมาจากห้องของท่านพ่อเงียบๆ
เฟเรสพักชั่วคราวอยู่ที่ห้องห้องหนึ่งใกล้ๆ กับบ้านของพวกเรา
เฟเรสที่เดินทางเปียกฝนมาตลอดคืน สุดท้ายก็ป่วยเป็นไข้จนได้
ถึงแม้จะไม่ได้เป็นหนักอะไรนัก แต่พอท่านปู่ทราบว่าทำไมเขาถึงได้เดินทางมายังคฤหาสน์กลางดึกกลางดื่น ท่านก็ส่งสารไปหาจักรพรรดิด้วยตัวเอง ทำให้เฟเรสได้พักอยู่ที่ตระกูลในฐานะแขก
“เฟเรสเป็นยังไงบ้างคะ”
“เพิ่งดื่มยาแล้วหลับไปครับ”
คาอิลรัสได้รับการติดต่อไปจึงเดินทางมาจากวัง เขาตอบเสียงค่อย
ฟีเรนเทียเดินเข้าไปที่เตียงเงียบๆ เฟเรสกำลังหลับใหลอยู่ด้วยใบหน้าสงบไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ
เธอเหม่อมองภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดผ้าห่มออก แล้วแทรกตัวเข้าไปข้างกายเฟเรส
“คุณหนูฟีเรนเทีย?”
คาอิลลัสเอียงคอด้วยความงุนงงในขณะที่เดินเข้ามาใกล้
คงอยากจะถามว่าทำไมถึงปล่อยห้องของตัวเองที่เป็นปกติดีทิ้งไว้ แล้วมานอนที่นี่
“ตอนนี้ข้าไม่อยากอยู่คนเดียว”
ในมุมหนึ่งของหัวใจ มันมีเสียงชั่วร้ายเอ่ยถามขึ้นมาซ้ำๆ อยู่เรื่อย
‘แน่ใจเหรอว่าบอมเนียคือคำตอบที่ถูกต้อง?’
เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
แต่ถ้าหากบอมเนียไม่ใช่จิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายจริงๆ
ถึงตอนนั้นเธอจะทำยังไง
จะสามารถตามหาคำตอบอื่นได้ทันเวลาหรือเปล่า
จะช่วยชีวิตท่านพ่อได้มั้ย
เวียนหัวไปหมด
ร่างกายที่ไม่ได้หลับแม้แต่งีบเดียว สุดท้ายก็ถึงขีดสุดจนได้
ความอบอุ่นของเฟเรสที่แผ่ซ่านมาถึงเธอจากตำแหน่งที่นอนอยู่ไม่ห่างกันนัก มันช่วยปลอบโยนหัวใจของเธอให้สงบลงได้
เธอมองเรือนผมสีดำของเด็กหนุ่มที่กระจายอยู่ทั่วหมอนสีขาวเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะหลับใหลไป