เด็กนี่ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะเนี่ย
“เฟเรส รู้ใช่มั้ยว่าตอนนี้ผู้คนรอบๆ กำลังให้ความสนใจพวกเราอยู่น่ะ”
“รู้สิ”
‘รู้สิ งั้นเหรอ’ พูดจาสบายใจเหลือเกินนะ
ฟีเรนเทียตั้งใจอธิบายให้เขาฟังทีละเรื่อง
“เจ้าเองก็รู้เหตุผลที่ท่านปู่คัดค้านเรื่องที่จะให้ข้าไปเป็นเพื่อนเล่นของเจ้าในตอนแรกไม่ใช่เหรอ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา พวกเราอาจจะโดนเข้าใจผิดว่าเป็นคู่หมั้นกันก็ได้นะ”
“อื้อ ข้ารู้”
“งั้นรู้หรือเปล่าว่ามีผู้คนซุบซิบกันเรื่องอนาคตของพวกเรา เพราะมีข่าวลือแพร่ออกไปว่าเจ้าเป็นเหมือนผู้ช่วยชีวิตพ่อของข้าน่ะ”
“ไม่ เรื่องนั้นไม่รู้เลย”
ก็แน่อยู่แล้ว
เฟเรสเป็นเด็กที่ไม่ค่อยสังเกตสายตาของผู้คนรอบข้างเสียเท่าไหร่
“แต่ไม่สนใจหรอก”
“…ว่าไงนะ”
“บอกว่าไม่สนใจหรอก”
อา การรู้อนาคตอยู่คนเดียวนี่มันอึดอัดขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย
เด็กนี่ไม่ได้รู้เลยว่าในอนาคตตัวเองจะได้พบผู้หญิงแบบไหน และจะตกหลุมรักนางคนนั้นได้ยังไง
ก็เป็นไปได้ที่เขาจะเมินเฉยต่อข่าวลือที่แพร่อยู่ตอนนี้
เธอถอนหายใจเสียงแผ่ว
เท่าที่เธอรู้มา ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ต่างอะไรจากคู่แท้ของเฟเรสเลย
จากข่าวลือ ได้ยินว่าทั้งสองคนราวกับคู่สร้างคู่สมที่สวรรค์เป็นคนจับคู่ให้ เป็นคู่รักที่เหมาะสมกันมากจริงๆ
อีกอย่างนางยังเป็นคนที่มีส่วนช่วยเหลือเฟเรสในการขึ้นครองตำแหน่งองค์รัชทายาทเป็นอย่างมากอีกด้วย
ถ้าหากคนคนนั้นได้ยินข่าวลือ แล้วดันไม่ยอมสานสัมพันธ์กับเฟเรสขึ้นมา คงได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่
ถึงแม้การที่เขาได้ขึ้นเป็นรัชทายาทจะสามารถช่วยเหลือเธอได้มากก็เถอะ แต่เธอไม่อาจยอมรับได้หรอก ถ้าหากต้องแย่งโอกาสที่เด็กคนนี้จะได้พบคนที่มีค่าต่อตัวเขาเองมากขนาดนั้น
ฟีเรนเทียส่ายหน้าหนักแน่น
“ข่าวลือพวกนั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับนายเลย อย่าทำตัวให้ต้องเสียใจทีหลัง ขีดเส้นกั้นให้ชัดเจนตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่า”
“เทีย”
เฟเรสเรียกเธอ
“ข้าไม่มีวันเสียใจทีหลัง”
“ต้องเสียใจทีหลังแน่ เจ้าน่ะ”
“ข้าจะไม่เสียใจ”
ไอ้เด็กดื้อ!
ทั้งหมดนี่ก็เพื่อนายแท้ๆ!
ไม่ได้รู้ความรู้สึกของเธอบ้างเลย!
อึดอัดจนจะระเบิดอยู่แล้ว แต่เพียงไม่นานก็ยอมรับได้
ในเมื่อเขาไม่รู้อนาคต ก็ย่อมไม่เข้าใจเรื่องที่เธอพูดอยู่แล้วนี่นะ
ใช่แล้ว งั้นเธอก็แค่ช่วยระวังแทนส่วนของเด็กนี่ไปด้วยก็พอ
แต่เฟเรสกลับเงียบไปแปลกๆ
เขากัดริมฝีปากแน่น เมินหน้าไปด้านข้าง ยืนนิ่งไม่พูดไม่จา
“เจ้างอนเหรอ”
“…”
ไร้ซึ่งคำตอบ
เขาเอาแต่ใช้ปลายเท้าขยี้ใบไม้ที่ร่วงอยู่บนพื้นไปมา
“เฮ้ เฟเรส”
ทันทีที่เธอผลักไหล่เขาเบาๆ เฟเรสก็หันมามองเธอครั้งหนึ่ง แต่เพียงครู่เดียวก็หันหน้าหนีกลับไปใหม่อีกรอบ
ท่าทางจะงอนมากเอาเรื่อง
“รออยู่ตรงนี้แป๊บหนึ่งนะ”
ฟีเรนเทียพูดแบบนั้น ก่อนที่จะค้นทั่วโต๊ะที่วางอาหารต่างๆ นานาอยู่ เพื่อมองหาของสิ่งนั้น
โชคดีที่ของที่เธอหาอยู่ห่างออกไปไม่ไกลเท่าไหร่พอดี
“กินนี่ แล้วหายงอนซะ”
เธอยื่นคุกกี้ช็อกโกแลตให้เฟเรสที่ยังคงยืนอยู่ด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
แต่มันไม่ใช่คุกกี้ธรรมดาหรอกนะ
มันเป็นคุกกี้ยักษ์ ขนาดใหญ่ยิ่งกว่าเอามือทั้งสองข้างของเธอมาวางต่อกันเสียอีก เฟเรสรับมันไปถือไว้ แล้วหักครึ่งแบ่งออกเป็นสองชิ้น
“เจ้าก็กินด้วยสิ”
ชิ้นที่ยื่นให้เธอดูเหมือนจะใหญ่กว่าอีกชิ้นเลย
เธอรับคุกกี้ครึ่งชิ้นมาถือไว้ด้วยความงุนงง แล้วกัดเข้าปากหนึ่งคำ
ยิ่งเคี้ยว ช็อกโกแลตก็ยิ่งละลาย สัมผัสละมุนนุ่มลิ้น รสชาติหอมหวานแผ่ซ่านไปทั่วปาก
งื้อ หวานดีจัง
ทั้งๆ ที่รู้ทั้งรู้ว่าของหวานมันไม่ดีต่อร่างกาย แต่ก็ยังรู้สึกว่ามันอร่อยมากและชอบกินอยู่ดี มนุษย์เรานี่ช่างแปลกเหลือเกิน
ร่างกายสั่นเทิ้ม ดื่มด่ำกับรสหอมหวานผสมความรู้สึกผิด
ว่าแล้วเชียว ช่วงเวลาที่รู้สึกสับสนวุ่นวายใจ ของหวานๆ น่ะเยี่ยมที่สุดแล้ว
หลับตาพริ้มดื่มด่ำอยู่กับรสชาติของคุกกี้ แต่แล้วก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาจึงลืมตาขึ้น ก็พบว่ามุมปากของเฟเรสแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มจาง
“กะแล้ว ชอบใช่มั้ยล่ะ”
“อื้อ ชอบ”
เฟเรสยกยิ้มเล็กน้อยในขณะที่พยักหน้าลง
หมอนี่ หายงอนแล้วสินะ
เธอตบไหล่ของเฟเรสที่ตอนนี้อยู่สูงกว่าระดับสายตาของเธอเสียแล้ว
ถึงแม้ขนาดตัวจะโตขึ้นเล็กน้อย แต่ดูจากพฤติกรรมแล้ว เขาก็ยังคงเป็นแค่เด็กอยู่ดี
ตอนนี้เพิ่งจะอายุได้สิบสามปีนี่นะ ก็ต้องยังเด็กแน่นอนอยู่แล้วสิ
“พอเวลาผ่านไป เจ้าก็จะรู้เอง เฟเรส”
ว่าที่เธอพูดอยู่ตอนนี้ มันหมายความว่ายังไง
“ข้าเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
เฟเรสเห็นด้วยอย่างว่าง่าย คงจะหายหงุดหงิดบ้างแล้ว
“พอเวลาผ่านไปก็จะรู้เอง”
เขาพูดแบบนั้นในขณะที่กัดคุกกี้อีกครั้งเสียงดังกร๊อบ
นัยน์ตาเป็นประกายวาววับ คงจะถูกใจคุกกี้ช็อกโกแลตมากจริงๆ ละมั้ง
ตอนกลับบ้านคงต้องห่อกลับให้เขาถือติดกลับวังไปด้วยสักหน่อย
“อ๊ะ จะว่าไป ข้าต้องไปอะคาเดมีละ”
“แค็กๆ …ว่าไงนะ”
“ได้รับแจ้งมาเมื่อไม่กี่วันก่อนน่ะ ท่าทางคงจะ…”
“เป็นความตั้งใจของจักรพรรดินีสินะ”
ฟีเรนเทียพูดพลางลดเสียงของตัวเองลงให้เบาที่สุด
อะคาเดมีประจำอาณาจักรเป็นสถาบันศึกษาที่เหล่าสามัญชนต่างก็ใฝ่ฝันและอิจฉาคนที่ได้เข้าศึกษาที่นั่น แต่สำหรับชนชั้นสูงกับเชื้อพระวงศ์แล้ว มันมีความหมายอื่นที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย
ผู้สืบทอดตระกูลจะไม่ถูกส่งตัวไปยังอะคาเดมี และนั่นเป็นกฎระเบียบที่รักษาสืบต่อกันมาโดยรู้กันเป็นนัย
ผู้สืบทอดตระกูลจะถูกเลี้ยงดูอยู่ในตระกูล ทางตระกูลจะเป็นผู้ให้การอบรมสั่งสอนเองโดยตรง แต่หากเป็นบุตรชายคนที่สองหรือสาม หรือคนที่ต้องแยกตัวออกไปรับตำแหน่งของตัวเอง พวกเขาเหล่านั้นจะไปสร้างสายสัมพันธ์หาคอนเน็กชั่นที่อะคาเดมีประจำอาณาจักร และเดินไปบนเส้นทางเพื่อสั่งสมหาความรู้
ดังนั้นจักรพรรดินีถึงได้ส่งเฟเรสไปยังอะคาเดมีทั้งหมดก็เพื่อตอกย้ำว่าตำแหน่งองค์รัชทายาทจะต้องเป็นของอาสทาน่าเท่านั้น
“ไม่อยากไปเลย…”
เฟเรสพึมพำ
ก็เข้าใจความรู้สึกนั่นได้อยู่
หากมองจากสถานการณ์ในตอนนี้ การไปอะคาเดมีก็อาจจะเป็นการยอมแพ้เปิดทางให้อีกฝ่ายได้เหมือนกัน
เพราะตลอดระยะเวลาอันแสนยาวนานกว่าห้าปี นอกจากช่วงปิดเทอมสั้นๆ เขาจะต้องใช้ชีวิตปิดตายอยู่แต่ในอะคาเดมีและระหว่างนั้นอาสทาน่าก็คงจะเริ่มชักจูงพวกขุนนางให้มาเข้าพวกอยู่ฝ่ายตนแน่ ในขณะที่ขังเฟเรสที่เป็นคู่แข่งเอาไว้ที่อะคาเดมี
สิ่งที่จักรพรรดินีวางแผนเอาไว้ก็คือเรื่องดังกล่าวนั่นเอง
ในเมื่อนางไม่สามารถบุ่มบ่ามฆ่าหรือทำร้ายเฟเรสได้อีกต่อไป
แต่เรื่องพวกนั้นก็เป็นเพียงแค่ผลลัพธ์ที่ฝ่ายนั้นคาดหวังเอาไว้เท่านั้น
ในชีวิตก่อน เฟเรสจะได้พบกับพวกของเขาที่สามารถไว้ใจได้ที่อะคาเดมี
มันเป็นเรื่องจริงที่ผู้คนมากมายต่างก็เชื่อกันว่าอะคาเดมีเป็นเพียงแค่แผนสำรองที่ดีที่สุดอย่างเลี่ยงไม่ได้สำหรับพวกบุตรหลานที่ไม่ได้เป็นผู้สืบทอดตระกูล
ดังนั้นหากเปลี่ยนคำพูดเสียหน่อย มันก็จะเป็นสถานที่ที่รวบรวมผู้คนที่มีความสามารถมากมาย แต่กลับถูกผลักไสให้ไปยังอะคาเดมีทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากไปยังไงล่ะ