ทางทิศเหนือของแคว้นไหวหวงคือแคว้นเป่าเซียง เป็นแคว้นที่พระพุทธศาสนารุ่งเรือง วัดวาตั้งเรียงรายมากมายดุจก้อนเมฆ
ตอนผ่านด่านเข้ามา เอกสารผ่านด่านของเฉินผิงอันยังคงได้รับการประทับตราอยู่เหมือนเดิม เวลาอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำเขาก็มักจะหยิบมาเปิดดู เอกสารผ่านทางที่อยู่ในมือฉบับนี้เป็นของใหม่ เว่ยป้อเป็นคนทำให้ ส่วนฉบับก่อนหน้านั้นได้ถูกประทับตราไว้จนแน่นขนัด ตอนนี้จึงเก็บเอาไว้ที่เรือนไม้ไผ่
เฉินผิงอันยังคงสวมงอบสะพายกระบี่ ในมือถือไม้เท้าเดินป่า เดินขึ้นเขาลงห้วย เข้าไปในป่าเขาลึกเสี่ยงอันตรายอยู่เพียงลำพัง บางครั้งถึงจะขี่กระบี่ทะยานลม เวลาพบเจอเมืองในโลกมนุษย์ก็จะเดินเท้าเข้าไปแวะเวียน ตอนนี้ยังอยู่ห่างจากสวนน้ำค้างวสันต์ของซ่งหลานเฉียวโอสถทองบนเรือข้ามฟากอีกค่อนข้างไกล
ยามอยู่ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด ส่วนใหญ่แล้วคนหลังค่อมมักจะเจอคนหลังค่อม คนขาเป๋ก็มักจะเจอกับคนขาเป๋
ผู้ฝึกตนที่เหยียบย่างลงบนเส้นทางของความเป็นอมตะก็เป็นเช่นเดียวกันนี้ มักจะเจอผู้ฝึกตนจำนวนมากกว่าเดิม แน่นอนว่ายังรวมถึงสัตว์ประหลาดที่อยู่ตามภูเขาหนองบึง หรือพวกภูตผีที่หลบตัวซ่อนแฝงอยู่
แต่นอกจากจะลงมือในเมืองอวี้ฮู่แคว้นไหวหวงครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งอื่นๆ เฉินผิงอันทำเพียงแค่มองดูอยู่ไกลๆ หลุบสายตามองต่ำมายังโลกมนุษย์จากบนภูเขา ในที่สุดก็พอจะมีสภาพจิตใจของผู้ฝึกตนบ้างแล้ว
เพียงแต่ว่าเขายังคงฝึกหมัดไม่หยุด หลังออกมาจากหุบเขาผีร้าย เฉินผิงอันก็เริ่มตั้งใจฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าว คิดว่ารอให้ฝึกครบสองล้านหมัดเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน
ก่อนหน้านี้หากไม่เป็นเพราะเจอกับคนสี่คนที่คิดจะกำจัดปีศาจปราบมาร เดิมทีเฉินผิงอันก็คิดว่าหลังจากสังหารกลุ่มภูตผีเพียงลำพังแล้ว จะรอให้พวกภิกษุกลับมาแล้วอยู่ต่อในวัดจินตั๋วอีกสักสองสามวัน สอบถามเกี่ยวกับเนื้อหาภาษาสันสกฤตบนคัมภีร์กระดาษดำอักษรทองแผ่นนั้น แน่นอนว่าต้องแยกภาษาสันสกฤตเหล่านั้นออกมาแล้วถามจากภิกษุหลายๆ ครั้ง จำนวนตัวอักษรมีไม่มาก รวมแล้วแค่สองร้อยหกสิบคำ ดึงเอาตัวอักษรที่เหมือนกันเหล่านั้นออก คิดดูแล้วเวลานำมาถามก็น่าจะไม่ยาก ทรัพย์สินทำให้คนเกิดความหวั่นไหว เมื่อความหวั่นไหวบังเกิดจิตมารก็บังเกิด จิตใจคนดั่งผีร้าย ผีหวาดกลัวคน อาจารย์และศิษย์ที่เป็นผู้ฝึกยุทธในวัดจินตั๋วคู่นั้นก็เป็นเช่นนี้
เดินทางผ่านเมืองทางทิศใต้ของแคว้นเป่าเซียงมาสองแห่ง เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าที่นี่มีภิกษุเดินเท้าเปล่า ใบหน้าแห้งตอบ ถือบาตรบำเพ็ญทุกรกิริยา ออกบิณฑบาตไปทั่วทุกแห่งอยู่มากมาย
หากเฉินผิงอันพบเจอพวกเขาระหว่างทางก็จะวางมือข้างหนึ่งตั้งไว้เบื้องหน้า ผงกศีรษะเป็นการคารวะทักทายเบาๆ
แคว้นเป่าเซียงนอกจากจะมีภิกษุเยอะมีวัดมากและควันธูปมากแล้ว ผู้ฝึกยุทธในยุทธภพก็มากมายดุจขนวัวเช่นกัน วันนี้เฉินผิงอันที่เดินอยู่ท่ามกลางทะเลทรายเหลืองอร่ามได้เจอกับผู้คุ้มกันขบวนหนึ่งที่กำลังเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองที่อยู่ทางเหนือ นอกจากรถม้าที่บรรจุข้าวของไว้จนเต็มคันรถแล้ว ยังมีเสียงกระดิ่งผูกคออูฐที่ส่งเสียงดังกรุ้งกริ้ง เหล่าผู้คุ้มกันแต่ละคนร่างกายแข็งแกร่งมีพละกำลัง ต่อให้เป็นสตรีก็มีผิวพรรณดำคล้ำ ทว่ากลับเผยให้เห็นความองอาจผึ่งผาย อันที่จริงสตรีที่เป็นเช่นนี้ก็น่ามองไปอีกแบบ
คนหนุ่มขี่ม้าคนหนึ่งมองเห็นบัณฑิตชุดขาวที่เดินอยู่เบื้องหน้า ไม่เพียงแต่ชุดคลุมสีขาวหิมะของเขาเท่านั้นที่เต็มไปด้วยเม็ดทรายสีทอง บนศีรษะก็มีทรายติดอยู่ไม่น้อย อีกฝ่ายกำลังเดินหน้าต้านลมไปอย่างยากลำบาก ฝีเท้าซวนเซ ถูกขบวนรถทิ้งระยะห่างอย่างต่อเนื่อง เขาจึงชะลอฝีเท้าม้าลง ค้อมเอวเอื้อมไปปลดถุงน้ำที่ผูกไว้ฝั่งหนึ่งของอานม้าออกมา ยิ้มถามว่า “หุบเขาลมเหลืองแห่งนี้มีระยะทางอีกร้อยกว่าลี้ อาจารย์น้อยพกน้ำมาพอหรือไม่? หากไม่พอก็เอาไปได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”
เฉินผิงอันหันหน้ามามองผู้คุ้มกันหนุ่มที่ริมฝีปากแห้งแตกจนมีเลือดซึมออกมา แล้วชี้ไปยังน้ำเต้าข้างเอว ยิ้มกล่าวว่า “ไม่ต้องหรอก ในกามีน้ำ ในหีบไม้ไผ่ก็ยังมีถุงน้ำอยู่”
คนหนุ่มจึงเก็บถุงน้ำไปแขวนไว้ดังเดิม แล้วยิ้มกล่าวอีกว่า “ยามค่ำคืนหุบเขาลมเหลืองแห่งนี้จะหนาวเย็นอย่างมาก อีกทั้งวิถีทางโลกทุกวันนี้ก็แปลกประหลาด ยิ่งไม่สงบร่มเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งนานวันก็ยิ่งมีพวกสิ่งสกปรกบุกเข้ามาในหมู่ชาวบ้าน ดังนั้นช่วงนี้วัดใหญ่แต่ละแห่งจึงมีภิกษุจำนวนมากเดินเข้าออก อาจารย์น้อยพยายามเดินตามพวกเราให้ทันแล้วกัน ทางที่ดีที่สุดคือไปพักเท้าค้างแรมที่ริมทะเลสาบคนใบ้ที่อยู่เบื้องหน้าด้วยกัน คนมากปราณหยางก็โชติช่วง แล้วยังมีคนคอยช่วยดูแลกันและกันได้ เดิมทีสถานที่แห่งนี้ก็มีพวกภูตผีออกอาละวาดยามค่ำคืนอยู่แล้ว นี่ไม่ใช่ถ้อยคำที่ขู่ให้เกรงกลัวอย่างแน่นอน ดังนั้นอาจารย์น้อยอย่าได้เดินรั้งท้ายขบวนอยู่ตัวคนเดียวเด็ดขาด แต่ก็ไม่ต้องกลัวมากเกินไปนัก ที่หุบเขาลมเหลืองมักจะมีภิกษุสมณศักดิ์สูงมีคุณธรรมยิ่งใหญ่มาสร้างกระท่อมสวดพระคัมภีร์อยู่ หากมีสิ่งสกปรกเข้าออกจริงๆ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะกล้าเข้าใกล้มาทำร้ายผู้คน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ขอบคุณจอมยุทธน้อยที่เอ่ยเตือน ข้าจะต้องไปให้ถึงทะเลสาบก่อนฟ้ามืดแน่นอน”
แคว้นเป่าเซียงไม่ได้อยู่ในอันดับของหลายสิบแคว้นซึ่งรวมแคว้นอิ๋นผิง แคว้นไหวหวงเป็นหนึ่งในนั้น เป็นเหตุให้ชาวบ้านและพวกชาวยุทธในยุทธภพเคยชินกับพวกภูตผีปีศาจตัวประหลาดกันมานานมากแล้ว ทางแถบทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอุตรกุรุทวีป ภูตผีอยู่อาศัยปะปนกับคนมานานหลายปีจนนับเวลาได้ไม่ถ้วนแล้ว ดังนั้นในเรื่องของการรับมือกับผีหรือปีศาจสิ่งชั่วร้าย ตลอดทั้งบนและราชสำนักแคว้นเป่าเซียงจึงต่างก็มีวิธีการรับมือเป็นของตนเอง เพียงแต่ว่าเมื่อ ‘นักเล่านิทาน’ แคว้นเมิ่งเหลียงท่านนั้นคลายค่ายกลใหญ่บ่อสายฟ้าออกไป ปราณวิญญาณที่อยู่ด้านนอกก็กรอกเทเข้าสู่หลายสิบแคว้น ภาพบรรยากาศประหลาดเช่นนี้ ผู้ฝึกตนที่อยู่อาศัยบนเส้นชายแดนรับสัมผัสได้เร็วที่สุด พวกภูตผีที่มีวิธีการในการฝึกตนก็ย่อมไม่ช้าไปกว่ากัน พวกเขาจึงเบียดเสียดยัดเยียดกันเข้ามา พ่อค้าแสวงหากำไร ภูตผีเองก็อาศัยสัญชาตญาณของตนไล่ตามปราณวิญญาณไปเช่นกัน ดังนั้นถึงได้มีภาพเหตุการณ์ประหลาดเกิดที่เมืองปู้เหยา เมืองอวี้ฮู่สองแห่งของแคว้นไหวหวง ส่วนใหญ่ก็เป็นคนจากแคว้นเป่าเซียงนี้ที่กรูกันเข้าไปทางทิศใต้
นี่ถึงได้มีคำกล่าวของผู้คุ้มกันหนุ่มที่บอกว่าวิถีทางโลกยิ่งไม่สงบร่มเย็น
ภายใต้แสงสนธยา เฉินผิงอันเดินไม่ช้าไม่เร็วไปถึงทะเลสาบสีมรกตขนาดเล็กที่ไม่รู้ว่าเหตุใดชาวบ้านในพื้นที่ถึงตั้งชื่อว่าทะเลสาบคนใบ้
ที่นั่นมีกลุ่มคนหลายกลุ่มมารวมตัวกันอีกครั้งแล้ว กองไฟถูกก่อขึ้นเรียงรายเป็นสาย แต่ละคนดื่มสุรารสร้อนแรงเพื่อขับไล่ความหนาว
ในค่ำคืนนี้มีแสงกระบี่หลายเส้นสว่างวาบขึ้นมาจากทางทิศตะวันตก บุกพุ่งเข้ามาในหุบเขาลมเหลืองด้วยพลังอำนาจน่ากริ่งเกรง ก่อนจะหล่นร่วงลงบนพื้นดินที่ห่างจากทะเลสาบคนใบ้ไปหลายสิบลี้ แสงกระบี่ตัดสลับตามมาด้วยเสียงภูตผีที่บ้างก็ร้องโหยหวน บ้างก็คำรามเสียงแหบเสียงแห้ง ประมาณหนึ่งก้านธูปผ่านไป แสงกระบี่ที่สว่างไสวแต่ละเส้นก็พากันจากไปไกล ระหว่างนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้คุมกันที่เป็นวิชาหมัดวิชาการต่อสู้ก็ดี หรือจะเป็นพ่อค้าก็ช่าง ทุกคนกลับมีท่าทีเป็นปกติเหมือนเดิม เอาแต่ดื่มเหล้าอย่างครึกครื้นของตัวเองไปพลางพูดคุยกันด้วยว่าเป็นเซียนกระบี่ของภูเขาลูกใดกันแน่ที่มาฝึกกระบี่ที่นี่
ผู้ฝึกกระบี่จากไปไกลแล้ว และท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว ริมทะเลสาบกลับยังไม่ค่อยมีใครรีบพักผ่อนหลับนอนแต่หัวค่ำ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเด็กซุกซนบางคนที่ถือดาบไม้กระบี่ไม้ไผ่ในมือ เอามาฟาดฟันต่อสู้ประลองกำลังกันเอง บางครั้งก็งัดเอาทรายสีทองให้คลุ้งกระจาย วิ่งไล่กวดกันพร้อมเสียงหัวเราะสนุกสนาน
เฉินผิงอันดื่มน้ำจากลำธารลึกกลางภูเขากระจกวิเศษที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ เอาหลังเอนพิงหีบไม้ไผ่นั่งอยู่ริมทะเลสาบ
เห็นว่ามีสตรีที่สวมหมวกม่านคลุมหน้าคนหนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มของตัวเองเพียงลำพัง แล้วจึงมานั่งยองอยู่ริมน้ำ วักน้ำกอบหนึ่งขึ้นมาล้างหน้า นางยกมือข้างหนึ่งขึ้น บนข้อมือสวมกระพรวนสีขาวหิมะเส้นหนึ่ง พอนางแหวกมุมข้างหนึ่งของหมวกม่านขึ้น เฉินผิงอันก็ถอนสายตากลับไปแล้ว เขามองไปทางทะเลสาบคนใบ้ที่ว่ากันว่าลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง พวกชาวบ้านเล่าลือกันว่าทะเลสาบขนาดเล็กแห่งนี้น้ำไม่เคยแห้งขอดมานานเป็นพันปีแล้ว ต่อให้จะเกิดภัยแล้งกี่ปี ผิวน้ำก็ไม่เคยลดระดับลง ไม่ว่าฝนจะตกกระหน่ำเทลงมาไม่ขาดสายแค่ไหน น้ำในทะเลสาบก็ไม่เคยเพิ่มสูงขึ้นแม้แต่ชุ่นเดียว
ใจกลางทะเลสาบเกิดริ้วกระเพื่อมขึ้นเสี้ยวหนึ่ง อันดับแรกคือมีจุดเล็กสีดำจุดหนึ่งโผล่หัวออกมา จากนั้นก็ผลุบหายลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าสตรีคนนั้นยังคงไม่สังเกตเห็น เพียงแค่จัดการกับเส้นผมสีดำขลับตรงหน้าผากและจอนผมของตัวเองอย่างประณีตบรรจง ทุกครั้งที่ยกข้อมือขึ้นก็จะมีเสียงกระพรวนดังเบาๆ เพียงแต่ว่าถูกเสียงเอะอะเฮฮาของทุกคนที่ดื่มสุราอยู่ริมทะเลสาบกลบทับไปหมด
ผิวทะเลสาบเกิดน้ำวนขนาดใหญ่ยักษ์ลูกหนึ่งขึ้นอย่างเงียบเชียบ จากนั้นปลาประหลาดยาวหลายสิบจั้งตัวหนึ่งก็กระโดดพรวดออกมา ตลอดทั้งตัวของมันเป็นสีดำเหมือนสีหมึก มันอ้าปากกว้างหันเข้าใส่สตรีที่สวมหมวกม่านคลุมหน้า ฟันในปากแหลมคมเรียงตัวกันเหมือนขบวนมีดบนสนามรบ
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธินิ่งไม่ขยับ เอามือข้างหนึ่งเท้าแก้ม มองไปยังหนึ่งคนหนึ่งปลานั้น
แปดทิศของทะเลสาบคนใบ้มีคนปรากฏตัวพร้อมกันแปดคน แต่ละคนต่างถือเข็มทิศไว้ในมือ เพียงชั่วพริบตาก็ทุ่มเข้าใส่พื้นทราย จากนั้นก็พากันยืนนิ่ง มือทำมุทรา ฝ่าเท้าขยับเคลื่อนว่องไวดุจมีพายุหนุนนำ ทันใดนั้นก็มีเส้นสีเงินลักษณะเหมือนเชือกเส้นหนึ่งสาดยิงไปยังใจกลางของทะเลสาบ เมื่อเชือกสีเงินเส้นนั้นไปรวมตัวกันอยู่ตรงจุดศูนย์กลาง เหนือผิวทะเลสาบก็พลันปรากฎเป็นค่ายกลภาพยันต์แปดทิศสีเงินที่ส่องแสงเจิดจ้า สามารถประชันแสงกับดวงจันทราได้เลย
คนทั้งแปดน่าจะมาจากสำนักเดียวกัน ถึงได้ร่วมมือกันอย่างรู้ใจ แต่ละคนต่างเอื้อมมือไปคว้า หยิบเอาเส้นสีเงินเส้นหนึ่งจากเข็มทิศบนพื้นขึ้นมา จากนั้นก็ประกบสองนิ้ว ชี้ไปยังกลางอากาศเหนือใจกลางทะเลสาบ ประหนึ่งชาวประมงที่รวบแหจับปลา ต่อมาแสงสีเงินอีกแปดเส้นก็บินออกไป รวมตัวกันสร้างกรงขังแห่งหนึ่งขึ้นมา แล้วคนทั้งแปดก็เริ่มเดินหมุนเป็นวงกลม สร้าง ‘รั้ว’ เส้นโค้งเพิ่มเติมให้กับค่ายกลยันต์แห่งนี้ ส่วนความปลอดภัยของสตรีที่ต้องเผชิญหน้ากับปลาประหลาดเพียงลำพัง คนทั้งแปดไม่เป็นกังวลเลยแม้แต่น้อย
ขณะที่เข็มทิศร่วงกระแทกลงพื้น ปลาประหลาดที่อ้าปากสีแดงฉานออกกว้างก็เริ่มตระหนักได้ถึงความผิดปกติแล้ว จึงหุบปากใหญ่ของตัวเองลงอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ว่าแรงเฉื่อยมหาศาลกลับยังคงทำให้ร่างของมันพุ่งเข้าหาสตรีสวมหมวกม่านที่ลุกพรวดขึ้นยืนอย่างรวดเร็วคนนั้น ผลกลับกลายเป็นว่าสตรีที่ไม่ถอยหนี กลับกันยังรุดหน้าด้วยการเดินออกมาหนึ่งก้าว แล้วนางก็กระโดดทะยานตัวขึ้นสูง ปล่อยหมัดต่อยให้ปลาประหลาดตัวนี้ร่วงลงกลางค่ายกลยันต์แปดทิศเหนือผิวทะเลสาบ เมื่อเรือนกายที่ใหญ่โตมโหฬารของมันสัมผัสโดนตำแหน่งเกิ่น (艮 คือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตำแหน่งภูเขา) อันเป็นตำแหน่งหนึ่งในค่ายกลแปดทิศ ศีรษะของปลาประหลาดก็พุ่งชนเข้ากับภูเขาลูกเล็กลูกหนึ่ง ปลาที่น่าสงสารถูกดีดให้กระเด้งไปที่ตำแหน่งเจิ้น (震 คือทิศตะวันออก ตำแหน่งแห่งสายฟ้า) ทันใดนั้นสายฟ้าก็แลบแปลบปลาบ ส่งเสียงลั่นเปรี้ยงๆ ปลาประหลาดกระโดดหนีไถลลื่นร่วงไปในตำแหน่งหลี (离 คือทิศใต้ ตำแหน่งแห่งไฟ) ก็มีกองไฟลุกโชนแผดเผา ตกอยู่ในสภาพน่าอเนจอนาถ หลังจากนั้นปลาประหลาดก็ได้ลิ้มรสแท่งน้ำแข็งจากค่ายกลที่เหมือนทวนแหลมคมพุ่งออกมาจากผิวทะเลสาบ สุดท้ายจึงกลายร่างเป็นแม่นางน้อยชุดดำคนหนึ่งที่วิ่งตะบึงเผ่นหนีไม่หยุด นางร้องไห้โฮพลางปาดน้ำตา จากนั้นก็ต้องหลบทั้งมังกรไฟ หลบทั้งแท่งน้ำแข็ง บางครั้งก็ถูกสายฟ้าหลายเส้นฟาดผ่าจนร่างเกร็งกระตุก ตาเหลือกลาน
ภาพต่างๆ เหล่านี้ทำเอาเฉินผิงอันที่มองดูอยู่รู้สึกทนมองไม่ได้ เขาจึงเบนสายตาออกมาแล้วหลับตาลงข้างหนึ่ง
เห็นภูตผีดุร้ายที่สร้างพิบัติภัยหายนะให้แก่หนึ่งพื้นที่มาไม่น้อย ไม่ว่าจุดจบของพวกมันจะเป็นอย่างไร ตอนที่เพิ่งปรากฏตัว ส่วนใหญ่ก็มักจะเปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมี พูดถึงแค่ที่หุบเขาผีร้าย รถลากของฟ่านอวิ๋นหลัวแห่งนครฟูนี่ หรือแม้แต่ภูตประหลาดที่คุมเชิงอยู่กับผีแห่งนครถงโช่ว ต่างก็มีพวกลูกสมุนคอยช่วยแบกหามรถให้ เฉินผิงอันไม่เคยเจอแมลงน่าสงสารที่มีจุดจบน่าเวทนาอย่างตรงหน้านี้มาก่อน
ทัศนียภาพบนทะเลสาบ
ทุกคนที่อยู่ริมทะเลสาบซึ่งไม่นับรวมพวกเซียนซือทั้งหลายพากันกระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่ ไชโยโห่ร้องไม่หยุด เด็กซุกซนพาเหล่านั้นกันไปหลบอยู่ข้างกายผู้ใหญ่ในตระกูลของตัวเอง นอกจากตอนแรกเริ่มที่ปลาใหญ่กระโดดออกจากทะเลสาบ อ้าปากหมายจะกินคนที่ค่อนข้างจะน่าตกใจแล้ว ตอนนี้แต่ละคนกลับไม่รู้สึกกลัวมันสักเท่าไร แถบแคว้นเป่าเซียงนี้ เรื่องสนุกสนานที่ใหญ่ที่สุดก็หนีไม่พ้นเซียนซือจับปีศาจ หากได้มาเจอเข้าก็จะรู้สึกครึกครื้นและเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองยิ่งกว่าวันปีใหม่ด้วยซ้ำ
เมื่อเด็กหญิงตัวน้อยที่พยายามจะหลบหนีออกจากค่ายกลยันต์แปดทิศซึ่งลอยอยู่สูงเหนือน้ำทะเลสาบหนึ่งฉื่อวิ่งตะบึงบุกเข้าไปในตำแหน่งซวิ่น (巽 คือทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตำแหน่งแห่งลม) ก็มีไม้กลมขนาดหนาใหญ่เท่าปากบ่อลำหนึ่งกระแทกลงมา เด็กหญิงชุดดำหลบไม่ทัน ได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ชูสองมือขึ้นเหนือศีรษะ ต้านยันไม้กลมลำนั้นเอาไว้ ใบหน้าของนางตอนนี้เปรอะไปด้วยน้ำมูกน้ำตา พูดเสียงสะอื้น “กระพรวนเส้นนั้นเป็นของข้า ปีนั้นข้าเป็นคนมอบให้บัณฑิตผ่านทางมาที่อาการร่อแร่เกือบจะตายคนนั้น เขาบอกว่าจะเข้าเมืองไปสอบ บนร่างไม่มีเงินค่าเดินทาง ข้าจึงมอบให้เขา เขาบอกแล้วว่าจะคืนให้ข้า แต่นี่ตั้งหนึ่งร้อยปีกว่าแล้ว เขาก็ยังไม่เอามาคืนข้า ฮือๆๆ คนหลอกลวง…”
—–