นักพรตวัยกลางคนขมวดคิ้ว เขาเคยได้ยินชื่อของเว่ยป้อแห่งภูเขาพีอวิ๋นมาก่อน เขาคือองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือ มีหวังว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบ ตอนนี้ในอาณาเขตขุนเขาเหนือของต้าหลีก็ได้เริ่มมีลางของความมงคลบางอย่างปรากฏขึ้นแล้ว จู๋เฉวียนเป็นคนโผงผาง นางกล่าวไปตามตรงว่า “ชุยตงซานผู้นี้ใช้ได้หรือไม่?” เฉินผิงอันพูดเนิบช้า “หากเขาใช้ไม่ได้ ก็ไม่มีใครที่ใช้ได้แล้ว” ผู้เฒ่าลัทธิเต๋าเจ้าอารามยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทำอะไรต้องให้มั่นคงสักหน่อย ข้าผู้เป็นนักพรตกล้าพูดแค่ว่า หลังจากทำอย่างสุดความสามารถแล้วก็ยังไม่พบเบาะแสใดๆ บนร่างของแม่นางน้อยคนนี้ แต่หากเกิดความผิดพลาดเสี้ยวหนึ่งท่ามกลางความระมัดระวังรอบคอบอย่างเต็มที่แล้ว ถ้าอย่างนั้นผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมร้ายแรง มีคนมาช่วยกันตรวจสอบเพิ่มก็ถือว่าเป็นเรื่องดี” เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ท่านเจ้าอารามมีจิตใจกว้างขวาง” นักพรตเฒ่าเพียงยิ้มรับ จู๋เฉวียนเห็นว่าพูดคุยกันไปได้พอสมควรแล้ว จู่ๆ นางก็พลันเอ่ยว่า “ท่านเจ้าอาราม พวกท่านกลับไปกันก่อนได้เลย ข้าขออยู่พูดคุยกับเฉินผิงอันเป็นการส่วนตัวสักหน่อย” นักพรตวัยกลางคนเก็บค่ายกลทะเลเมฆกลับคืนมา อย่างอื่นไม่พูดถึง ลำพังเพียงแค่ฝีมือของนักพรตผู้นี้ก็ได้ทำให้เฉินผิงอันตระหนักถึงความลี้ลับและความอำมหิตของเวทคาถาบนภูเขาอีกครั้งหนึ่งแล้ว ที่แท้การที่คนผู้หนึ่งร่ายวิชามองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือก็อาจเป็นการชักนำเปลวเพลิงมาไหม้ตัวได้ สองอาจารย์และศิษย์จากอารามเสวียนตูเล็ก และบรรพจารย์สองท่านของสำนักพีหมาต่างก็ทะยานลมลงใต้จากไปก่อน จู๋เฉวียนพูดเข้าประเด็นทันทีว่า “ลูกศิษย์ใหญ่คนนั้นของเจ้าอาราม เป็นคนชอบพูดจาระคายหูคนฟังมาโดยตลอด ข้ารำคาญเขาไม่ใช่แค่วันสองวันแล้ว แต่ก็ไม่อาจลงมือกับเขาได้ ทว่าคนผู้นี้เชี่ยวชาญการประลองเวทอย่างมาก ความสามารถที่เป็นสมบัติก้นกรุของอารามเสวียนตูเล็ก ว่ากันว่าเขาเรียนรู้ไปได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว ตอนนี้เจ้าไม่ต้องไปสนใจเขา วันใดที่ขอบเขตสูงขึ้นแล้วค่อยซ้อมเขาให้ปางตายก็พอ” เฉินผิงอันเก็บพัดพับลงไป ขี่กระบี่บินมาหยุดข้างกายจู๋เฉวียนแล้วยื่นมือออกมา จู๋เฉวียนจึงส่งตัวแม่นางน้อยให้กับเซียนกระบี่หนุ่ม พูดสัพยอกว่า “ผู้ชายตัวโตๆ คนหนึ่งอย่างเจ้าก็อุ้มเด็กเป็นด้วยหรือ? ทำไม เรียนรู้มาจากเจียงซ่างเจินงั้นรึ คิดว่าวันหน้าเมื่ออยู่ในยุทธภพ อยู่บนภูเขา จะอาศัยกลยุทธเดินบนคมกระบี่นี้มาหลอกพวกสตรี?” เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิ อุ้มแม่นางน้อยไว้ในอ้อมอก มีเสียงกรนน้อยๆ ดังมาให้ได้ยิน เฉินผิงอันหัวเราะ บนใบหน้ามีรอยยิ้ม และในดวงตาก็มีความอาดูรนิดๆ “ตอนที่ข้าอายุยังไม่มาก ต้องอุ้มเด็ก หยอกเด็ก เลี้ยงเด็กอยู่ทุกวัน” จู๋เฉวียนชำเลืองตามองคนหนุ่ม ดูจากท่าทางแล้ว น่าจะเป็นเรื่องจริง จู๋เฉวียนนั่งอยู่บนทะเลเมฆ ดูเหมือนว่ากำลังลังเลว่าจะเปิดปากพูดดีหรือไม่ นี่เป็นเรื่องที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เฉินผิงอันไม่ได้เงยหน้าขึ้น แต่กลับพูดเนิบช้าราวกับเดาความคิดในใจของนางออก “ข้ารู้สึกมาโดยตลอดว่าเจ้าสำนักจู๋ถึงจะเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในชายหาดโครงกระดูก เพียงแต่เจ้าคร้านจะคิดคร้านจะทำก็เท่านั้น” จู๋เฉวียนพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็เข้าใจแล้ว ข้าเชื่อเจ้า” จากนั้นจู๋เฉวียนก็ยิ้มกล่าวว่า “แต่บทสนทนาที่บ้างก็จริงบ้างก็เท็จระหว่างเจ้ากับเกาเฉิง แม้แต่ข้าที่คุ้นเคยกับเจ้าก็ยังเกิดความเคลือบแคลง แล้วนับประสาอะไรกับเจ้าอารามผู้เฒ่าที่ไม่สนิทกับเจ้า กับลูกศิษย์ใหญ่ของเขาที่ฝึกแต่พละกำลังแต่ไม่ฝึกฝนจิตใจผู้นั้น” เฉินผิงอันเอ่ย “คำพูดช่วงแรกเริ่มสุดล้วนเป็นความจริงทั้งหมด ข้าได้เตรียมใจสำหรับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว นั่นคือแม่นางน้อยตายอยู่บนเรือ ข้าปกป้องนางไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ได้แต่แก้แค้น ง่ายดายเท่านี้เอง ส่วนช่วงหลังนั้น ไม่มีค่าพอให้พูดถึง ก็แค่หยั่งเชิงกันไปมา ทั้งสองฝ่ายต่างก็พยายามมองให้เห็นเส้นทางในหัวใจของฝ่ายตรงข้ามให้มากขึ้นอีกหน่อย เกาเฉิงเองก็เป็นกังวลเหมือนกัน เขามองดูข้ามาตลอดทาง ผลกลับกลายเป็นว่าสิ่งที่เขาเห็นล้วนเป็นสิ่งที่ข้าจงใจทำให้เขาดู เขากลัวว่าแพ้มาสองครั้งแล้วจะยังต้องแพ้อีก แม้แต่ความคิดที่จะแย่งชิงเสี่ยวเฟิงตูเล่มนั้นไปก็ยังไม่เหลืออยู่แล้ว จะว่าไปแล้ว อันที่จริงนี่ก็เป็นแค่การแข่งขันชะคักเย่อเล็กๆ บนหัวใจเท่านั้น” เฉินผิงอันเอามือข้างหนึ่งออกมา ใช้นิ้วดีดลงบนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวเบาๆ กระบี่บินชูอีค่อยๆ บินออกมาด้านนอก แล้วหยุดลอยนิ่งอยู่บนไหล่ของเฉินผิงอัน หาได้ยากที่มันจะเชื่องและอ่อนโยนถึงเพียงนี้ เฉินผิงอันกล่าวเสียงเรียบเฉยว่า “คำพูดบางอย่างของเกาเฉิงก็ย่อมต้องเป็นความจริง ยกตัวอย่างเช่นที่บอกว่ารู้สึกว่าข้าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกับเขา คงเป็นเพราะคิดว่าพวกเราต่างก็อาศัยการเดิมพันครั้งแล้วครั้งเล่า ต้องค่อยๆ เหยียดกระดูกสันหลังที่เกือบจะถูกทับให้งอถูกทับให้แตกขึ้นมาทีละนิด จากนั้นยิ่งเดินก็ยิ่งขึ้นสู่จุดสูง ก็เหมือนที่เจ้าเคารพนับถือเกาเฉิง แต่หากจะฆ่าเขากลับไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย ต่อให้เกาเฉิงสูญเสียแค่หนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณ เจ้าสำนักจู๋ก็ยังรู้สึกว่าติดค้างน้ำใจที่ใหญ่เทียมฟ้ากับข้าเฉินผิงอัน ส่วนข้าเองก็ใช่ว่าจะมองไม่เห็นความแข็งแกร่งในด้านต่างๆ ของเขาเพียงเพราะเขาเป็นศัตรูคู่อาฆาตของตัวเอง” จู๋เฉวียนอืมรับหนึ่งที “ตามหลักแล้วควรเป็นเช่นนี้ แยกแยะแต่ละเรื่องออกจากกัน จากนั้นควรทำอย่างไรก็ทำไปอย่างนั้น เรื่องลับหลายอย่างของสำนัก ข้าไม่อาจนำมาบอกแก่คนนอกอย่างเจ้าได้ แต่สรุปก็คือผีอย่างเกาเฉิงผู้นี้ ไม่ธรรมดา ยกตัวอย่างเช่นว่าหากวันใดข้าจู๋เฉวียนสามารถสังหารเกาเฉิงได้อย่างสิ้นซาก ย่ำนครจิงกวานจนแหลกเละ ข้าเองก็จะต้องเอาสุราดีๆ กาหนึ่งมาดื่มคารวะเกาเฉิงที่อดีตคือพลทหารราบ แล้วค่อยคารวะเจ้านครจิงกวานคนปัจจุบัน สุดท้ายคารวะเขาเกาเฉิงที่ช่วยขัดเกลาจิตแห่งการฝึกตนให้แก่สำนักพีหมาของพวกเรา” เฉินผิงอันกล่าว “ไม่รู้ว่าทำไม วิถีทางโลกใบนี้มักจะมีคนที่รู้สึกว่าการแยกเขี้ยวกางเล็บใส่คนเลวทุกคนคือเรื่องที่ดีมากๆ เรื่องหนึ่ง แล้วก็ยังมีคนมากมายขนาดนั้นที่เวลาควรถามใจตัวเองกลับไปพิจารณาปัญหา และเวลาที่ควรพิจารณาปัญหากลับถามใจตัวเอง” จู๋เฉวียนคิดแล้วก็ตบบ่าเฉินผิงอันหนักๆ “เอาเหล้ามา ต้องสองกา ต้องมากกว่าเกาเฉิงถึงจะได้! ดื่มเหล้าแล้ว ข้าจะพูดถ้อยคำจากใจจริงที่มหัศจรรย์จนเกินบรรยายกับเจ้าสองสามประโยค!” เฉินผิงอันหยิบเหล้าออกมาสองกา ล้วนยกให้จู๋เฉวียนทั้งหมด ก่อนเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “เวลาดื่มเหล้า จำไว้ว่าต้องสลายกลิ่นเหล้าให้หมด ไม่อย่างนั้นนางอาจตื่นขึ้นมา ถึงเวลานั้นหากเห็นข้าก็คงต้องเกลี้ยกล่อมกันอีกนานกว่านางจะยอมไปที่ชายหาดโครงกระดูก แม่นางน้อยคนนี้อยากดื่มเหล้าของข้ามานานแล้ว เรื่องของกุยหลิงเกานั่น เจ้าสำนักจู๋บอกกับนางตรงๆ เลยก็ได้ อันที่จริงแม่นางน้อยใจกล้ามาก ไม่มีความคิดชั่วร้ายซ่อนอยู่แม้แต่น้อย” จู๋เฉวียนกระดกเหล้าหนึ่งกาดื่มรวดเดียวหมด เหล้าในกาไม่เหลือสักหยด เพียงแต่ว่านางแหงนหน้าดื่มเหล้า ท่วงท่าองอาจผึ่งผาย ไม่มีความพิถีพิถันเลยแม้แต่น้อย สุราที่หกเสียไปอย่างน้อยก็ต้องมีสองส่วน เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “เจ้าสำนักจู๋ นิสัยการดื่มเหล้าเช่นนี้ของเจ้า ต้องเปลี่ยนเสียหน่อยแล้วจริงๆ นะ ทุกครั้งที่ดื่มเหล้าต้องเคารพฟ้าดินแบบนี้ด้วยหรือ?” จู๋เฉวียนหัวเราะฉุนๆ “ยกเหล้าให้ข้าแล้ว ยังจะมาคอยควบคุมข้าอีกหรือ?” เฉินผิงอันมองไปยังทิศไกล ยิ้มกล่าวว่า “หากสามารถเป็นเพื่อนกับเจ้าสำนักจู๋ได้ ย่อมดีมาก แต่หากจะต้องทำการค้าร่วมกัน คงต้องร้องไห้จนตายแน่” สีหน้าจู๋เฉวียนกลับคืนมาเป็นปกติ พูดอย่างค่อนข้างจริงจังว่า “ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของผู้ฝึกตนคนหนึ่ง ไม่ใช่การอยู่ร่วมกับโลกใบนี้ได้อย่างมีความสุข ต่อให้เขาจะสามารถเป็นดั่งนกกระเรียนในฝูงไก่ที่โดดเด่นเหนือใครก็ตาม แต่เป็นว่านอกจากการพิสูจน์มรรคามีชีวิตที่เป็นอมตะแล้ว เขาได้เปลี่ยนแปลงวิถีแห่งโลกใบนี้ไปมากน้อยเท่าไร…หรือหากจะให้เอ่ยถ้อยคำแล้งน้ำใจของบนภูเขา ไม่ว่าผลลัพธ์จะดีหรือเลว ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับจิตใจที่ดีหรือชั่วของมนุษย์ ขอแค่สามารถเปลี่ยนแปลงวิถีทางโลกได้มากมาย เขาก็คือผู้แข็งแกร่ง ข้อนี้ พวกเราต้องยอมรับ!” เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “หลังจากยอมรับว่าพวกเขาเป็นผู้แข็งแกร่งแล้ว ยังต้องกล้าออกหมัดใส่พวกเขา นั่นต่างหากจึงจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง” จู๋เฉวียนพยักหน้ารับ นางเปิดผนึกดินออก การดื่มเหล้าครั้งนี้นางเริ่มมัธยัสถ์อดออมแล้ว เพียงแค่ดื่มคำเล็กๆ เท่านั้น หาใช่ว่านางเปลี่ยนนิสัยได้จริง แต่นางเป็นอย่างนี้มาโดยตลอด ยามที่มีสุรามาก ก็ดื่มอย่างเต็มคราบ แต่ยามที่สุราน้อย ต้องค่อยๆ จิบ เฉินผิงอันหันหน้าไปยิ้มให้จู๋เฉวียน “อันที่จริงลูกศิษย์คนหนึ่งของข้าก็เคยพูดประโยคที่มีความหมายใกล้เคียงกับเจ้าสำนักจู๋ เขาบอกว่า ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงของหนึ่งแคว้น ไม่ใช่ว่าต้องมีความสามารถในการปกปิดความผิด แต่ต้องมีความสามารถในการแก้ไขความผิด” จู๋เฉวียนยิ้มกล่าว “เรื่องของด้านล่างภูเขา ข้าไม่สนใจ ชีวิตนี้แค่รับมือกับเกาเฉิงของหุบเขาผีร้ายคนเดียวก็มากพอให้ข้าดื่มเหล้าหนึ่งกาแล้ว แต่วันหน้าตู้เหวินซือและผังหลันซีที่อยู่ในสำนักพีหมาจะต้องทำได้ดีกว่าข้าแน่นอน เจ้าสามารถตั้งตารอได้เลย” จู๋เฉวียนพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ ถามว่า “คำพูดบางอย่างพูดออกมาแล้วจะทำให้คนฟังรู้สึกแย่ แต่ข้าก็ยังจะถามอยู่ดี ไม่อย่างนั้นเก็บกลั้นไว้ในใจย่อมอึดอัด แทนที่จะให้ข้าอึดอัดอยู่คนเดียว ก็ไม่สู้ให้เจ้าอึดอัดไปด้วยกัน ไม่อย่างนั้นต่อให้ข้าดื่มเหล้าไปมากแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์กับผายลมอะไรเลย เจ้าบอกว่าเจ้าสามารถมอบความประหลาดใจให้แก่นครจิงกวานได้ เรื่องนี้เจ้าพูดในช่วงต้นๆ แสดงว่าเป็นความจริง แน่นอนว่าข้าเดาไม่ออกว่าเจ้าจะทำอย่างไร แล้วข้าก็ไม่สนใจด้วย ถึงอย่างไรหากเป็นเจ้า อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แต่เรื่องของการลงมือทำอะไรสักอย่างนั้น กลับทำได้มั่นคงอย่างมาก อำมหิตต่อคนอื่น แต่กลับอำมหิตต่อตัวเองมากที่สุด เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าจะไปโทษที่นักพรตแห่งอารามเสวียนตูผู้นั้นกังวลว่าเจ้าจะกลายเป็นเกาเฉิงคนที่สองหรือจะกลายเป็นพันธมิตรกับเกาเฉิงไม่ได้หรอก” เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “สามารถเข้าใจความคิดที่เหมือนอารมณ์ความรู้สึกทั่วไปของมนุษย์เช่นนี้ได้ แต่ข้าไม่อาจยอมรับได้” จู๋เฉวียนถามอย่างตรงไปตรงมา “ถ้าอย่างนั้นตอนนั้นที่เกาเฉิงใช้เรื่องของกุยหลิงเกามาขู่ให้เจ้าเอากระบี่บินเล่มนี้ออกมา เขาก็หลอกเจ้าได้จริงๆ สินะ?” เฉินผิงอันพยักหน้ารับอย่างไม่ลังเล “ใช่แล้ว ดังนั้นวันหน้านอกจากเรื่องของวิชาอภินิหารในด้านการเข่นฆ่าของผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบแล้ว ข้ายังต้องคิดให้มากขึ้นอีกหน่อย” จู๋เฉวียนซักถาม “ถ้าอย่างนั้นระหว่างชูอีกับแม่นางน้อย เจ้าสามารถตัดสินใจเด็ดขาดได้ในทันทีว่าจะสละทิ้งชูอี แล้วเลือกช่วยแม่นางน้อย?” เฉินผิงอันยังคงพยักหน้า “ไม่อย่างนั้นจะทำอย่างไรล่ะ? แม่นางน้อยตายไป ข้าจะไปหานางได้จากที่ไหนอีก? ส่วนชูอี ต่อให้เกาเฉิงไม่ได้หลอกข้า แต่มีความสามารถจะแย่งกระบี่บินแล้วโยนไปยังนครจิงกวานโดยตรงได้จริงๆ แล้วจะอย่างไรเล่า?” เฉินผิงอันหรี่ตาลง ยกยิ้มแปลกตา “รู้หรือไม่ ตอนนั้นข้าหวังให้เกาเฉิงเอากระบี่บินไปได้มากแค่ไหน? เพื่อที่ข้าจะได้ทำเรื่องเรื่องหนึ่งที่ตลอดหลายปีมานี้ข้าผ่านความเป็นความตายมามากมาย แต่ก็ยังไม่เคยได้ทำเลยสักครั้ง เรื่องที่ข้าไม่เคยทำ แต่กลับเป็นเรื่องที่คนทั้งบนและล่างภูเขาต่างก็ชอบกันมาก แล้วก็คิดว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินมากด้วย!” เฉินผิงอันใช้นิ้วคลึงหว่างคิ้ว พอหัวคิ้วคลายตัวออกแล้ว เขาก็มอบแม่นางน้อยที่อยู่ในอ้อมอกคืนให้กับจู๋เฉวียนด้วยท่วงท่าอ่อนโยน แล้วลุกขึ้นยืนช้าๆ สะบัดข้อมือ ชายแขนเสื้อสองข้างก็ม้วนขึ้นอย่างรวดเร็ว เฉินผิงอันยืนอยู่บนเจี้ยนเซียน ยืนอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆกว้างใหญ่ไพศาล สายตาของเฉินผิงอันฉายประกายเร่าร้อน “หากเกาเฉิงใช้ทุกวิธีการทั้งหมดที่มี จนกระทั่งเขาเอากระบี่บินชูอีไปได้จริงๆ ข้าเฉินผิงอันก็ไม่มีทางเลือกใดๆ อีกแล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างมากเรื่องหนึ่ง เจ้าสำนักจู๋ เจ้าลองเดาดูสิว่าข้าจะทำอย่างไร?” จู๋เฉวียนอุ้มแม่นางน้อยลุกขึ้นยืนแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “ข้าเดาไม่ออกหรอก” เห็นเพียงว่าบัณฑิตชุดขาวคนนั้นพูดเจื้อยแจ้วว่า “อันดับแรกข้าจะบอกให้คนคนหนึ่งที่ชื่อหลี่เอ้อร์ เขาคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนหนึ่ง ให้เขาคืนน้ำใจที่ติดค้างข้า เร่งเดินทางมายังชายหาดโครงกระดูก ข้าจะให้ลูกศิษย์ที่ตอนนี้ยังเป็นแค่ก่อกำเนิดคนนั้นของข้าข้ามทวีปเร่งเดินทางมายังชายหาดโครงกระดูก มาช่วยคลายทุกข์ให้แก่อาจารย์ของเขา ข้าจะไปขอร้องคนอื่น เป็นครั้งแรกที่ข้าเฉินผิงอันขอร้องคนอื่นในรอบหลายปีที่ผ่านมานี้! ข้าจะขอร้องให้ผู้เฒ่าที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบซึ่งยืนอยู่บนยอดเขาของวิถีวรยุทธคนนั้นออกมาจากภูเขา ออกมาจากเรือนไม้ไผ่ ช่วยออกหมัดให้แก่เฉินผิงอันที่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ของเขาครึ่งตัว ในเมื่อขอร้องคนอื่นแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องเก้อเขินอีก สุดท้ายข้าจะไปขอร้องผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่มีชื่อว่าจั่วโย่ว บอกว่าศิษย์น้องเล็กของเขามีภัยใกล้จะตาย ขอร้องให้ศิษย์พี่ใหญ่ช่วยออกกระบี่! ถึงเวลานั้นเขาอยากจะพลิกฟ้าคว่ำดินอย่างไรก็ตามใจเขา!” จู๋เฉวียนที่เป็นถึงเจ้าสำนักพีหมาผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ที่กล้าออกดาบใส่เกาเฉิงไม่หยุด กลับสัมผัสได้ถึง…ความหวาดกลัวเสี้ยวหนึ่ง บนร่างของคนหนุ่มผู้นี้มีพลังอำนาจอันบริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับความดีความเลว คนผู้นั้นยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นสูง กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง เจี้ยนเซียนอาวุธกึ่งเซียนชิ้นนั้นก็ร่วงดิ่งลงไปเบื้องล่าง ได้ยินเพียงเขาเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “หากขนาดนี้แล้วเกาเฉิงยังไม่ตาย หรืออาจถึงขั้นมีที่พึ่งอย่างขอบเขตบินทะยานอะไรมาเพิ่มอีกคนสองคน ก็ไม่เป็นไร ข้าไม่ต้องขอร้องใครแล้ว ใครก็ไม่ขอร้องทั้งนั้น” จู๋เฉวียนเห็นเพียงว่าคนผู้นั้นแผดเสียงหัวเราะดังลั่น สุดท้ายเอ่ยเบาๆ คล้ายกำลังกระซิบอยู่กับใครบางคน “ข้ามีหนึ่งกระบี่ที่ติดตามอยู่ข้างกายข้า” เดิมทีเจี้ยนเซียนที่เป็นอาวุธกึ่งเซียนเล่มนั้นอยากจะบินย้อนกลับมา แต่เวลานี้กลับไม่กล้าขยับเข้าใกล้เขาแม้แต่น้อย ทำเพียงหยุดลอยอยู่ตรงขอบฟ้าของทะเลเมฆนิ่งๆ แต่สุดท้ายแล้วจู๋เฉวียนกลับเห็นคนผู้นั้นก้มหน้าลง มองชายแขนเสื้อสองข้างที่ม้วนขึ้นแล้วหลั่งน้ำตาเงียบๆ จากนั้นเขาก็ยกมือซ้ายขึ้นช้าๆ คว้าจับชายแขนเสื้อข้างหนึ่งไว้แน่น พูดเสียงสะอื้นว่า “อาจารย์ฉีต้องตายเพราะข้า ใต้หล้านี้คนที่ไม่ควรทำให้เขาผิดหวังมากที่สุดก็ไม่ควรเป็นข้าเฉินผิงอันหรอกหรือ? ข้าจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร ใครก็ล้วนทำได้ทั้งนั้น แต่ข้าเฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิง ทำไม่ได้” —–
นักพรตวัยกลางคนขมวดคิ้ว
เขาเคยได้ยินชื่อของเว่ยป้อแห่งภูเขาพีอวิ๋นมาก่อน เขาคือองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือ มีหวังว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบ ตอนนี้ในอาณาเขตขุนเขาเหนือของต้าหลีก็ได้เริ่มมีลางของความมงคลบางอย่างปรากฏขึ้นแล้ว
จู๋เฉวียนเป็นคนโผงผาง นางกล่าวไปตามตรงว่า “ชุยตงซานผู้นี้ใช้ได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันพูดเนิบช้า “หากเขาใช้ไม่ได้ ก็ไม่มีใครที่ใช้ได้แล้ว”
ผู้เฒ่าลัทธิเต๋าเจ้าอารามยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทำอะไรต้องให้มั่นคงสักหน่อย ข้าผู้เป็นนักพรตกล้าพูดแค่ว่า หลังจากทำอย่างสุดความสามารถแล้วก็ยังไม่พบเบาะแสใดๆ บนร่างของแม่นางน้อยคนนี้ แต่หากเกิดความผิดพลาดเสี้ยวหนึ่งท่ามกลางความระมัดระวังรอบคอบอย่างเต็มที่แล้ว ถ้าอย่างนั้นผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมร้ายแรง มีคนมาช่วยกันตรวจสอบเพิ่มก็ถือว่าเป็นเรื่องดี”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ท่านเจ้าอารามมีจิตใจกว้างขวาง”
นักพรตเฒ่าเพียงยิ้มรับ
จู๋เฉวียนเห็นว่าพูดคุยกันไปได้พอสมควรแล้ว จู่ๆ นางก็พลันเอ่ยว่า “ท่านเจ้าอาราม พวกท่านกลับไปกันก่อนได้เลย ข้าขออยู่พูดคุยกับเฉินผิงอันเป็นการส่วนตัวสักหน่อย”
นักพรตวัยกลางคนเก็บค่ายกลทะเลเมฆกลับคืนมา
อย่างอื่นไม่พูดถึง ลำพังเพียงแค่ฝีมือของนักพรตผู้นี้ก็ได้ทำให้เฉินผิงอันตระหนักถึงความลี้ลับและความอำมหิตของเวทคาถาบนภูเขาอีกครั้งหนึ่งแล้ว
ที่แท้การที่คนผู้หนึ่งร่ายวิชามองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือก็อาจเป็นการชักนำเปลวเพลิงมาไหม้ตัวได้
สองอาจารย์และศิษย์จากอารามเสวียนตูเล็ก และบรรพจารย์สองท่านของสำนักพีหมาต่างก็ทะยานลมลงใต้จากไปก่อน
จู๋เฉวียนพูดเข้าประเด็นทันทีว่า “ลูกศิษย์ใหญ่คนนั้นของเจ้าอาราม เป็นคนชอบพูดจาระคายหูคนฟังมาโดยตลอด ข้ารำคาญเขาไม่ใช่แค่วันสองวันแล้ว แต่ก็ไม่อาจลงมือกับเขาได้ ทว่าคนผู้นี้เชี่ยวชาญการประลองเวทอย่างมาก ความสามารถที่เป็นสมบัติก้นกรุของอารามเสวียนตูเล็ก ว่ากันว่าเขาเรียนรู้ไปได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว ตอนนี้เจ้าไม่ต้องไปสนใจเขา วันใดที่ขอบเขตสูงขึ้นแล้วค่อยซ้อมเขาให้ปางตายก็พอ”
เฉินผิงอันเก็บพัดพับลงไป ขี่กระบี่บินมาหยุดข้างกายจู๋เฉวียนแล้วยื่นมือออกมา จู๋เฉวียนจึงส่งตัวแม่นางน้อยให้กับเซียนกระบี่หนุ่ม พูดสัพยอกว่า “ผู้ชายตัวโตๆ คนหนึ่งอย่างเจ้าก็อุ้มเด็กเป็นด้วยหรือ? ทำไม เรียนรู้มาจากเจียงซ่างเจินงั้นรึ คิดว่าวันหน้าเมื่ออยู่ในยุทธภพ อยู่บนภูเขา จะอาศัยกลยุทธเดินบนคมกระบี่นี้มาหลอกพวกสตรี?”
เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิ อุ้มแม่นางน้อยไว้ในอ้อมอก มีเสียงกรนน้อยๆ ดังมาให้ได้ยิน เฉินผิงอันหัวเราะ บนใบหน้ามีรอยยิ้ม และในดวงตาก็มีความอาดูรนิดๆ “ตอนที่ข้าอายุยังไม่มาก ต้องอุ้มเด็ก หยอกเด็ก เลี้ยงเด็กอยู่ทุกวัน”
จู๋เฉวียนชำเลืองตามองคนหนุ่ม ดูจากท่าทางแล้ว น่าจะเป็นเรื่องจริง
จู๋เฉวียนนั่งอยู่บนทะเลเมฆ ดูเหมือนว่ากำลังลังเลว่าจะเปิดปากพูดดีหรือไม่ นี่เป็นเรื่องที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เฉินผิงอันไม่ได้เงยหน้าขึ้น แต่กลับพูดเนิบช้าราวกับเดาความคิดในใจของนางออก “ข้ารู้สึกมาโดยตลอดว่าเจ้าสำนักจู๋ถึงจะเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในชายหาดโครงกระดูก เพียงแต่เจ้าคร้านจะคิดคร้านจะทำก็เท่านั้น”
จู๋เฉวียนพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็เข้าใจแล้ว ข้าเชื่อเจ้า”
จากนั้นจู๋เฉวียนก็ยิ้มกล่าวว่า “แต่บทสนทนาที่บ้างก็จริงบ้างก็เท็จระหว่างเจ้ากับเกาเฉิง แม้แต่ข้าที่คุ้นเคยกับเจ้าก็ยังเกิดความเคลือบแคลง แล้วนับประสาอะไรกับเจ้าอารามผู้เฒ่าที่ไม่สนิทกับเจ้า กับลูกศิษย์ใหญ่ของเขาที่ฝึกแต่พละกำลังแต่ไม่ฝึกฝนจิตใจผู้นั้น”
เฉินผิงอันเอ่ย “คำพูดช่วงแรกเริ่มสุดล้วนเป็นความจริงทั้งหมด ข้าได้เตรียมใจสำหรับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว นั่นคือแม่นางน้อยตายอยู่บนเรือ ข้าปกป้องนางไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ได้แต่แก้แค้น ง่ายดายเท่านี้เอง ส่วนช่วงหลังนั้น ไม่มีค่าพอให้พูดถึง ก็แค่หยั่งเชิงกันไปมา ทั้งสองฝ่ายต่างก็พยายามมองให้เห็นเส้นทางในหัวใจของฝ่ายตรงข้ามให้มากขึ้นอีกหน่อย เกาเฉิงเองก็เป็นกังวลเหมือนกัน เขามองดูข้ามาตลอดทาง ผลกลับกลายเป็นว่าสิ่งที่เขาเห็นล้วนเป็นสิ่งที่ข้าจงใจทำให้เขาดู เขากลัวว่าแพ้มาสองครั้งแล้วจะยังต้องแพ้อีก แม้แต่ความคิดที่จะแย่งชิงเสี่ยวเฟิงตูเล่มนั้นไปก็ยังไม่เหลืออยู่แล้ว จะว่าไปแล้ว อันที่จริงนี่ก็เป็นแค่การแข่งขันชะคักเย่อเล็กๆ บนหัวใจเท่านั้น”
เฉินผิงอันเอามือข้างหนึ่งออกมา ใช้นิ้วดีดลงบนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวเบาๆ กระบี่บินชูอีค่อยๆ บินออกมาด้านนอก แล้วหยุดลอยนิ่งอยู่บนไหล่ของเฉินผิงอัน หาได้ยากที่มันจะเชื่องและอ่อนโยนถึงเพียงนี้ เฉินผิงอันกล่าวเสียงเรียบเฉยว่า “คำพูดบางอย่างของเกาเฉิงก็ย่อมต้องเป็นความจริง ยกตัวอย่างเช่นที่บอกว่ารู้สึกว่าข้าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกับเขา คงเป็นเพราะคิดว่าพวกเราต่างก็อาศัยการเดิมพันครั้งแล้วครั้งเล่า ต้องค่อยๆ เหยียดกระดูกสันหลังที่เกือบจะถูกทับให้งอถูกทับให้แตกขึ้นมาทีละนิด จากนั้นยิ่งเดินก็ยิ่งขึ้นสู่จุดสูง ก็เหมือนที่เจ้าเคารพนับถือเกาเฉิง แต่หากจะฆ่าเขากลับไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย ต่อให้เกาเฉิงสูญเสียแค่หนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณ เจ้าสำนักจู๋ก็ยังรู้สึกว่าติดค้างน้ำใจที่ใหญ่เทียมฟ้ากับข้าเฉินผิงอัน ส่วนข้าเองก็ใช่ว่าจะมองไม่เห็นความแข็งแกร่งในด้านต่างๆ ของเขาเพียงเพราะเขาเป็นศัตรูคู่อาฆาตของตัวเอง”
จู๋เฉวียนอืมรับหนึ่งที “ตามหลักแล้วควรเป็นเช่นนี้ แยกแยะแต่ละเรื่องออกจากกัน จากนั้นควรทำอย่างไรก็ทำไปอย่างนั้น เรื่องลับหลายอย่างของสำนัก ข้าไม่อาจนำมาบอกแก่คนนอกอย่างเจ้าได้ แต่สรุปก็คือผีอย่างเกาเฉิงผู้นี้ ไม่ธรรมดา ยกตัวอย่างเช่นว่าหากวันใดข้าจู๋เฉวียนสามารถสังหารเกาเฉิงได้อย่างสิ้นซาก ย่ำนครจิงกวานจนแหลกเละ ข้าเองก็จะต้องเอาสุราดีๆ กาหนึ่งมาดื่มคารวะเกาเฉิงที่อดีตคือพลทหารราบ แล้วค่อยคารวะเจ้านครจิงกวานคนปัจจุบัน สุดท้ายคารวะเขาเกาเฉิงที่ช่วยขัดเกลาจิตแห่งการฝึกตนให้แก่สำนักพีหมาของพวกเรา”
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่รู้ว่าทำไม วิถีทางโลกใบนี้มักจะมีคนที่รู้สึกว่าการแยกเขี้ยวกางเล็บใส่คนเลวทุกคนคือเรื่องที่ดีมากๆ เรื่องหนึ่ง แล้วก็ยังมีคนมากมายขนาดนั้นที่เวลาควรถามใจตัวเองกลับไปพิจารณาปัญหา และเวลาที่ควรพิจารณาปัญหากลับถามใจตัวเอง”
จู๋เฉวียนคิดแล้วก็ตบบ่าเฉินผิงอันหนักๆ “เอาเหล้ามา ต้องสองกา ต้องมากกว่าเกาเฉิงถึงจะได้! ดื่มเหล้าแล้ว ข้าจะพูดถ้อยคำจากใจจริงที่มหัศจรรย์จนเกินบรรยายกับเจ้าสองสามประโยค!”
เฉินผิงอันหยิบเหล้าออกมาสองกา ล้วนยกให้จู๋เฉวียนทั้งหมด ก่อนเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “เวลาดื่มเหล้า จำไว้ว่าต้องสลายกลิ่นเหล้าให้หมด ไม่อย่างนั้นนางอาจตื่นขึ้นมา ถึงเวลานั้นหากเห็นข้าก็คงต้องเกลี้ยกล่อมกันอีกนานกว่านางจะยอมไปที่ชายหาดโครงกระดูก แม่นางน้อยคนนี้อยากดื่มเหล้าของข้ามานานแล้ว เรื่องของกุยหลิงเกานั่น เจ้าสำนักจู๋บอกกับนางตรงๆ เลยก็ได้ อันที่จริงแม่นางน้อยใจกล้ามาก ไม่มีความคิดชั่วร้ายซ่อนอยู่แม้แต่น้อย”
จู๋เฉวียนกระดกเหล้าหนึ่งกาดื่มรวดเดียวหมด เหล้าในกาไม่เหลือสักหยด
เพียงแต่ว่านางแหงนหน้าดื่มเหล้า ท่วงท่าองอาจผึ่งผาย ไม่มีความพิถีพิถันเลยแม้แต่น้อย สุราที่หกเสียไปอย่างน้อยก็ต้องมีสองส่วน
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “เจ้าสำนักจู๋ นิสัยการดื่มเหล้าเช่นนี้ของเจ้า ต้องเปลี่ยนเสียหน่อยแล้วจริงๆ นะ ทุกครั้งที่ดื่มเหล้าต้องเคารพฟ้าดินแบบนี้ด้วยหรือ?”
จู๋เฉวียนหัวเราะฉุนๆ “ยกเหล้าให้ข้าแล้ว ยังจะมาคอยควบคุมข้าอีกหรือ?”
เฉินผิงอันมองไปยังทิศไกล ยิ้มกล่าวว่า “หากสามารถเป็นเพื่อนกับเจ้าสำนักจู๋ได้ ย่อมดีมาก แต่หากจะต้องทำการค้าร่วมกัน คงต้องร้องไห้จนตายแน่”
สีหน้าจู๋เฉวียนกลับคืนมาเป็นปกติ พูดอย่างค่อนข้างจริงจังว่า “ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของผู้ฝึกตนคนหนึ่ง ไม่ใช่การอยู่ร่วมกับโลกใบนี้ได้อย่างมีความสุข ต่อให้เขาจะสามารถเป็นดั่งนกกระเรียนในฝูงไก่ที่โดดเด่นเหนือใครก็ตาม แต่เป็นว่านอกจากการพิสูจน์มรรคามีชีวิตที่เป็นอมตะแล้ว เขาได้เปลี่ยนแปลงวิถีแห่งโลกใบนี้ไปมากน้อยเท่าไร…หรือหากจะให้เอ่ยถ้อยคำแล้งน้ำใจของบนภูเขา ไม่ว่าผลลัพธ์จะดีหรือเลว ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับจิตใจที่ดีหรือชั่วของมนุษย์ ขอแค่สามารถเปลี่ยนแปลงวิถีทางโลกได้มากมาย เขาก็คือผู้แข็งแกร่ง ข้อนี้ พวกเราต้องยอมรับ!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “หลังจากยอมรับว่าพวกเขาเป็นผู้แข็งแกร่งแล้ว ยังต้องกล้าออกหมัดใส่พวกเขา นั่นต่างหากจึงจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง”
จู๋เฉวียนพยักหน้ารับ นางเปิดผนึกดินออก การดื่มเหล้าครั้งนี้นางเริ่มมัธยัสถ์อดออมแล้ว เพียงแค่ดื่มคำเล็กๆ เท่านั้น หาใช่ว่านางเปลี่ยนนิสัยได้จริง แต่นางเป็นอย่างนี้มาโดยตลอด
ยามที่มีสุรามาก ก็ดื่มอย่างเต็มคราบ แต่ยามที่สุราน้อย ต้องค่อยๆ จิบ
เฉินผิงอันหันหน้าไปยิ้มให้จู๋เฉวียน “อันที่จริงลูกศิษย์คนหนึ่งของข้าก็เคยพูดประโยคที่มีความหมายใกล้เคียงกับเจ้าสำนักจู๋ เขาบอกว่า ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงของหนึ่งแคว้น ไม่ใช่ว่าต้องมีความสามารถในการปกปิดความผิด แต่ต้องมีความสามารถในการแก้ไขความผิด”
จู๋เฉวียนยิ้มกล่าว “เรื่องของด้านล่างภูเขา ข้าไม่สนใจ ชีวิตนี้แค่รับมือกับเกาเฉิงของหุบเขาผีร้ายคนเดียวก็มากพอให้ข้าดื่มเหล้าหนึ่งกาแล้ว แต่วันหน้าตู้เหวินซือและผังหลันซีที่อยู่ในสำนักพีหมาจะต้องทำได้ดีกว่าข้าแน่นอน เจ้าสามารถตั้งตารอได้เลย”
จู๋เฉวียนพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ ถามว่า “คำพูดบางอย่างพูดออกมาแล้วจะทำให้คนฟังรู้สึกแย่ แต่ข้าก็ยังจะถามอยู่ดี ไม่อย่างนั้นเก็บกลั้นไว้ในใจย่อมอึดอัด แทนที่จะให้ข้าอึดอัดอยู่คนเดียว ก็ไม่สู้ให้เจ้าอึดอัดไปด้วยกัน ไม่อย่างนั้นต่อให้ข้าดื่มเหล้าไปมากแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์กับผายลมอะไรเลย เจ้าบอกว่าเจ้าสามารถมอบความประหลาดใจให้แก่นครจิงกวานได้ เรื่องนี้เจ้าพูดในช่วงต้นๆ แสดงว่าเป็นความจริง แน่นอนว่าข้าเดาไม่ออกว่าเจ้าจะทำอย่างไร แล้วข้าก็ไม่สนใจด้วย ถึงอย่างไรหากเป็นเจ้า อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แต่เรื่องของการลงมือทำอะไรสักอย่างนั้น กลับทำได้มั่นคงอย่างมาก อำมหิตต่อคนอื่น แต่กลับอำมหิตต่อตัวเองมากที่สุด เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าจะไปโทษที่นักพรตแห่งอารามเสวียนตูผู้นั้นกังวลว่าเจ้าจะกลายเป็นเกาเฉิงคนที่สองหรือจะกลายเป็นพันธมิตรกับเกาเฉิงไม่ได้หรอก”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “สามารถเข้าใจความคิดที่เหมือนอารมณ์ความรู้สึกทั่วไปของมนุษย์เช่นนี้ได้ แต่ข้าไม่อาจยอมรับได้”
จู๋เฉวียนถามอย่างตรงไปตรงมา “ถ้าอย่างนั้นตอนนั้นที่เกาเฉิงใช้เรื่องของกุยหลิงเกามาขู่ให้เจ้าเอากระบี่บินเล่มนี้ออกมา เขาก็หลอกเจ้าได้จริงๆ สินะ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับอย่างไม่ลังเล “ใช่แล้ว ดังนั้นวันหน้านอกจากเรื่องของวิชาอภินิหารในด้านการเข่นฆ่าของผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบแล้ว ข้ายังต้องคิดให้มากขึ้นอีกหน่อย”
จู๋เฉวียนซักถาม “ถ้าอย่างนั้นระหว่างชูอีกับแม่นางน้อย เจ้าสามารถตัดสินใจเด็ดขาดได้ในทันทีว่าจะสละทิ้งชูอี แล้วเลือกช่วยแม่นางน้อย?”
เฉินผิงอันยังคงพยักหน้า “ไม่อย่างนั้นจะทำอย่างไรล่ะ? แม่นางน้อยตายไป ข้าจะไปหานางได้จากที่ไหนอีก? ส่วนชูอี ต่อให้เกาเฉิงไม่ได้หลอกข้า แต่มีความสามารถจะแย่งกระบี่บินแล้วโยนไปยังนครจิงกวานโดยตรงได้จริงๆ แล้วจะอย่างไรเล่า?”
เฉินผิงอันหรี่ตาลง ยกยิ้มแปลกตา “รู้หรือไม่ ตอนนั้นข้าหวังให้เกาเฉิงเอากระบี่บินไปได้มากแค่ไหน? เพื่อที่ข้าจะได้ทำเรื่องเรื่องหนึ่งที่ตลอดหลายปีมานี้ข้าผ่านความเป็นความตายมามากมาย แต่ก็ยังไม่เคยได้ทำเลยสักครั้ง เรื่องที่ข้าไม่เคยทำ แต่กลับเป็นเรื่องที่คนทั้งบนและล่างภูเขาต่างก็ชอบกันมาก แล้วก็คิดว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินมากด้วย!”
เฉินผิงอันใช้นิ้วคลึงหว่างคิ้ว พอหัวคิ้วคลายตัวออกแล้ว เขาก็มอบแม่นางน้อยที่อยู่ในอ้อมอกคืนให้กับจู๋เฉวียนด้วยท่วงท่าอ่อนโยน แล้วลุกขึ้นยืนช้าๆ สะบัดข้อมือ ชายแขนเสื้อสองข้างก็ม้วนขึ้นอย่างรวดเร็ว
เฉินผิงอันยืนอยู่บนเจี้ยนเซียน ยืนอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆกว้างใหญ่ไพศาล
สายตาของเฉินผิงอันฉายประกายเร่าร้อน “หากเกาเฉิงใช้ทุกวิธีการทั้งหมดที่มี จนกระทั่งเขาเอากระบี่บินชูอีไปได้จริงๆ ข้าเฉินผิงอันก็ไม่มีทางเลือกใดๆ อีกแล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างมากเรื่องหนึ่ง เจ้าสำนักจู๋ เจ้าลองเดาดูสิว่าข้าจะทำอย่างไร?”
จู๋เฉวียนอุ้มแม่นางน้อยลุกขึ้นยืนแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “ข้าเดาไม่ออกหรอก”
เห็นเพียงว่าบัณฑิตชุดขาวคนนั้นพูดเจื้อยแจ้วว่า “อันดับแรกข้าจะบอกให้คนคนหนึ่งที่ชื่อหลี่เอ้อร์ เขาคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนหนึ่ง ให้เขาคืนน้ำใจที่ติดค้างข้า เร่งเดินทางมายังชายหาดโครงกระดูก ข้าจะให้ลูกศิษย์ที่ตอนนี้ยังเป็นแค่ก่อกำเนิดคนนั้นของข้าข้ามทวีปเร่งเดินทางมายังชายหาดโครงกระดูก มาช่วยคลายทุกข์ให้แก่อาจารย์ของเขา ข้าจะไปขอร้องคนอื่น เป็นครั้งแรกที่ข้าเฉินผิงอันขอร้องคนอื่นในรอบหลายปีที่ผ่านมานี้! ข้าจะขอร้องให้ผู้เฒ่าที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบซึ่งยืนอยู่บนยอดเขาของวิถีวรยุทธคนนั้นออกมาจากภูเขา ออกมาจากเรือนไม้ไผ่ ช่วยออกหมัดให้แก่เฉินผิงอันที่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ของเขาครึ่งตัว ในเมื่อขอร้องคนอื่นแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องเก้อเขินอีก สุดท้ายข้าจะไปขอร้องผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่มีชื่อว่าจั่วโย่ว บอกว่าศิษย์น้องเล็กของเขามีภัยใกล้จะตาย ขอร้องให้ศิษย์พี่ใหญ่ช่วยออกกระบี่! ถึงเวลานั้นเขาอยากจะพลิกฟ้าคว่ำดินอย่างไรก็ตามใจเขา!”
จู๋เฉวียนที่เป็นถึงเจ้าสำนักพีหมาผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ที่กล้าออกดาบใส่เกาเฉิงไม่หยุด กลับสัมผัสได้ถึง…ความหวาดกลัวเสี้ยวหนึ่ง
บนร่างของคนหนุ่มผู้นี้มีพลังอำนาจอันบริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับความดีความเลว
คนผู้นั้นยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นสูง กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง เจี้ยนเซียนอาวุธกึ่งเซียนชิ้นนั้นก็ร่วงดิ่งลงไปเบื้องล่าง ได้ยินเพียงเขาเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “หากขนาดนี้แล้วเกาเฉิงยังไม่ตาย หรืออาจถึงขั้นมีที่พึ่งอย่างขอบเขตบินทะยานอะไรมาเพิ่มอีกคนสองคน ก็ไม่เป็นไร ข้าไม่ต้องขอร้องใครแล้ว ใครก็ไม่ขอร้องทั้งนั้น”
จู๋เฉวียนเห็นเพียงว่าคนผู้นั้นแผดเสียงหัวเราะดังลั่น สุดท้ายเอ่ยเบาๆ คล้ายกำลังกระซิบอยู่กับใครบางคน “ข้ามีหนึ่งกระบี่ที่ติดตามอยู่ข้างกายข้า”
เดิมทีเจี้ยนเซียนที่เป็นอาวุธกึ่งเซียนเล่มนั้นอยากจะบินย้อนกลับมา แต่เวลานี้กลับไม่กล้าขยับเข้าใกล้เขาแม้แต่น้อย ทำเพียงหยุดลอยอยู่ตรงขอบฟ้าของทะเลเมฆนิ่งๆ
แต่สุดท้ายแล้วจู๋เฉวียนกลับเห็นคนผู้นั้นก้มหน้าลง มองชายแขนเสื้อสองข้างที่ม้วนขึ้นแล้วหลั่งน้ำตาเงียบๆ จากนั้นเขาก็ยกมือซ้ายขึ้นช้าๆ คว้าจับชายแขนเสื้อข้างหนึ่งไว้แน่น พูดเสียงสะอื้นว่า “อาจารย์ฉีต้องตายเพราะข้า ใต้หล้านี้คนที่ไม่ควรทำให้เขาผิดหวังมากที่สุดก็ไม่ควรเป็นข้าเฉินผิงอันหรอกหรือ? ข้าจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร ใครก็ล้วนทำได้ทั้งนั้น แต่ข้าเฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิง ทำไม่ได้”
—–