เฉินผิงอันเดินออกจากจวนจิงเจ๋อ ในมือถือไม้เท้าเดินป่าที่เป็นสีเขียวสดปลั่งดุจไม้ไผ่ของจริง เดินไปยังป่าไผ่เพียงลำพัง
เขาลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะเรียกเรือยันต์ลำเล็กออกมาแล้วบังคับลมมุ่งหน้าไปยังหน้าผาอวี้อิ๋ง อันที่จริงระหว่างที่อยู่ในสวนน้ำค้างวสันต์แห่งนี้ นอกจากจะยืมเรือยันต์มาใช้ชั่วคราวแล้ว สาวใช้ในจวนก็เคยบอกเขาด้วยรอยยิ้มว่าค่าใช้จ่ายเงินเทพเซียนทั้งหมดช่วงที่เรือยันต์เดินทางไปกลับระหว่างจวนกับถนนเหล่าไหว ทางจวนจิงเจ๋อได้มีเงินเทพเซียนถุงหนึ่งเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันไม่เคยเปิดออกดู เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เรื่องของการทำตามกฎเกณฑ์นั้น ตนก็มีกฎของตน ขอแค่ทั้งสองฝ่ายไม่ขัดต่อกัน อยู่ร่วมกันได้อย่างผ่อนคลาย ถ้าเช่นนั้นกรงขังของกฎเกณฑ์ก็สามารถกลายมาเป็นเรือยันต์ที่ช่วยพาคนให้ท่องชมสายน้ำขุนเขาที่งดงาม
เมื่อเฉินผิงอันบังคับเรือยันต์ลัทธิเต๋าที่สายของตำหนักไท่เจินเป็นผู้สร้างขึ้นมาถึงหน้าผาอวี้อิ๋ง ก็เห็นว่าหลิ่วจื้อชิงถอดรองเท้า ม้วนชายแขนเสื้อและชายขากางเกงยืนอยู่กลางธารน้ำด้านล่างบ่อใส กำลังค้อมเอวก้มหยิบหินไข่ห่าน พอเจอก้อนไหนที่ถูกตาก็โยนเข้าไปในบ่อริมหน้าผาอย่างแม่นยำโดยไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมอง หลังจากเฉินผิงอันเก็บเรือวิเศษที่พลิ้วกายลงจอดบนพื้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อเรียบร้อยแล้ว หลิ่วจื้อชิงก็ยังคงไม่เงยหน้า เขาเดินเปลือยเท้าไปตามธารน้ำช่วงล่างต่อไป พลางพูดด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร “หุบปาก ข้าไม่อยากฟังเจ้าพูด”
คงเป็นเพราะบรรพจารย์อาน้อยของตำหนักจินอูผู้นี้ทั้งไม่เชื่อว่าเจ้าคนลุ่มหลงในทรัพย์สินผู้นั้นจะเอาหินไข่ห่านหลายร้อยก้อนกลับมาใส่ไว้ในบ่อใสดังเดิม แต่เหตุผลที่มากกว่านั้นน่าจะเป็นเพราะตัวหลิ่วจื้อชิงเองที่เมื่อคิดจะทำเรื่องใดขึ้นมาแล้วจะค่อนข้างเข้มงวดกับตัวเอง จะต้องทำให้ดีทำให้สมบูรณ์แบบมากที่สุด เดิมทีเขาควรจะขี่กระบี่กลับไปยังตำหนักจินอูนานแล้ว ทว่าพอไปถึงครึ่งทางก็ยังหยุดคิดถึงบ่อใสที่ด้านในว่างเปล่าไม่ได้ มันทำให้เขาหงุดหงิด ดังนั้นก็เลยย้อนกลับมาที่หน้าผาอวี้อิ๋งเสียเลย หลังจากบอกลากับเจ้าคนแซ่เฉินในร้านบนถนนเหล่าไหวแล้วก็ไม่อาจไปบังคับบอกให้เจ้าคนโลภรีบเอาหินไข่ห่านกลับไปวางเร็วๆ ได้ หลิ่วจื้อชิงจึงได้แต่ลงมือด้วยตัวเอง เก็บหินไข่ห่านได้มากแค่ไหนก็แค่นั้น
เฉินผิงอันเองก็ถอดรองเท้าเดินเข้าไปในลำธารเช่นกัน เขาเพิ่งจะเก็บหินไข่ห่านใสแวววาวน่ารักน่ามองก้อนหนึ่งขึ้นมาได้ เตรียมจะช่วยโยนไปไว้ในบ่อ
คิดไม่ถึงว่าหลิ่วจื้อชิงจะเอ่ยขึ้น “ก้อนนั้นไม่ได้ สีฉูดฉาดเกินไป”
เฉินผิงอันยังคงโยนไปที่บ่ออยู่ดี ผลกลับถูกหลิ่วจื้อชิงสะบัดชายแขนเสื้อตบให้หินไข่ห่านก้อนนั้นกลับเข้ามาในธารน้ำ แล้วคำรามอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าคนแซ่เฉิน!”
“ก็ได้ๆๆ ความหวังดีถูกมองเป็นประสงค์ร้าย ต่อจากนี้พวกเราก็ต่างคนต่างทำงานของตัวเองไปเถอะ”
เฉินผิงอันยื่นมือไปคว้าหินไข่ห่านก้อนนั้นกลับมาไว้ในมือ เอาสองมือถู เช็ดคราบน้ำให้สะอาดเอี่ยม เป่าลมใส่หนึ่งครั้งแล้วยิ้มตาหยีเก็บใส่วัตถุจื่อชื่อ “ล้วนเป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น หนักมือ หนักมือจริงๆ”
ต้นกำเนิดของน้ำพุบ่อน้ำด้านล่างหน้าผาอวี้อิ๋งมาจากจุดตัดระหว่างรากภูเขาและเส้นสายน้ำ มีสภาพแวดล้อมที่ดีเยี่ยมมาตั้งแต่กำเนิด ปราณวิญญาณอุดมสมบูรณ์ ก้อนหินก้นบ่อจึงมีคุณภาพดีเยี่ยม เพราะอาบย้อมอยู่ในปราณวิญญาณของน้ำพุใสมานานหลายร้อยหลายพันปี ส่วนก้อนหินที่อยู่ในธารน้ำจะมีระดับขั้นเป็นรองกว่าเล็กน้อย แต่หากเอามาแกะสลักเป็นตราประทับ นำมาทำเป็นของถือเล่นที่คล้ายคลึงกับหยกมันแพะ หรือจะเอามาทำเป็นเครื่องประดับเอาไว้ลูบคลึง ทำเป็นของตกแต่งในห้องหนังสือของขุนนางสูงศักดิ์ ก็นับว่าเป็นของดีชั้นยอด ในห้องหนังสือมีวัตถุประเภทนี้ก็จะสามารถ ‘สยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะ’ ได้ อีกทั้งยังมองแล้วสบายตา แม้ว่าอาจจะทำไม่ได้ถึงขั้นต่ออายุขัยให้ยืนยาว แต่ก็มากพอจะทำให้จิตใจของคนปลอดโปร่งโล่งสบายได้
หลิ่วจื้อชิงเลือกๆ เก็บๆ อย่างพิถีพิถัน ก่อนจะโยนหินหลายสิบก้อนที่เลือกได้ลงไปในบ่อน้ำใส
ดูเหมือนจะตั้งใจยิ่งกว่ายามสตรีเลือกคู่ครองเสียอีก
เฉินผิงอันเดินเก็บตกของดีตามหลังหลิ่วจื้อชิงไปตลอดทาง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นก้อนหินที่หลิ่วจื้อชิงหยิบขึ้นมาพินิจอยู่ครู่หนึ่งแล้ววางลง ดังนั้นจึงมีหินไข่ห่านอีกสี่สิบห้าสิบก้อนเข้ามาในบัญชี เฉินผิงอันคิดไว้เรียบร้อยแล้วว่า บนถนนเหล่าไหวมีร้านเก่าแก่อยู่ร้านหนึ่งที่ขายสิ่งของเครื่องใช้ในห้องหนังสือโดยเฉพาะ ช่างที่เป็นเถ้าแก่ร้านนั้นคงไม่ต้องหวัง เพราะไม่มีปัญญาจ้าง อีกทั้งอีกฝ่ายก็อาจจะไม่เห็นหินไข่ห่านเหล่านี้อยู่ในสายตาด้วย เฉินผิงอันแค่ต้องไปหาลูกจ้างในร้านที่เป็นลูกศิษย์ของเขามาสักคนสองคน ต่อให้มีความสามารถได้แค่ครึ่งเดียวของเถ้าแก่ผู้เฒ่า แต่คิดจะจัดการกับหินไข่ห่านพวกนี้ก็มากพอเหลือแหล่ ให้พวกเขาช่วยแกะสลักให้ ทำเป็นตราประทับ เป็นของถือเล่น หรือไม่ก็แท่นฝนหมึกเล็กๆ ถึงเวลานั้นตนจะเอาไปวางไว้ในร้านผีฝู บอกว่าเป็นผลผลิตมาจากหน้าผาอวี้อิ๋ง จากนั้นก็แต่งเรื่องหลอกคนทำนองว่าเซียนกระบี่หลิ่วแห่งตำหนักจินอูพิศหินบรรลุมรรคากระบี่เข้าไปสักเรื่องสองเรื่อง ราคาย่อมเพิ่มขึ้นสูงเหมือนเรือที่ลอยขึ้นตามกระแสน้ำอย่างแน่นอน
ส่วนหินไข่ห่านที่เก็บไปจากก้นบ่อน้ำใสก่อนหน้านี้ก็ยังต้องเอากลับไปวางไว้ที่เดิมทั้งหมดแต่โดยดี หากคิดจะทำการค้าได้อย่างยาวนาน คำว่าหัวแหลมนั้นมักจะมาหลังคำว่าซื่อสัตย์เสมอ เพราะถึงอย่างไรมาอยู่ในสวนน้ำค้างวสันต์แล้วได้ร้านที่เป็นของตัวเองไปหนึ่งร้าน ก็ถือว่าตนไม่ใช่ร้านผ้าห่อบุญที่แท้จริงแล้ว ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดทางศาลบรรพจารย์ของสวนน้ำค้างวสันต์ถึงต้องมอบร้านนี้ให้เขา เหตุผลก็ง่ายดายมาก ประโยคหนึ่งของหญิงชราหน้าตาอัปมงคลของจวนเถี่ยชางบนเรือข้ามฟากผู้นั้นได้แพร่งพรายความลับสวรรค์ไว้นานแล้ว ใน ‘น้ำค้างวสันต์คงเหมันต์’ เล่มเล็กจะต้องเขียนบทที่เกี่ยวข้องกับ ‘เซียนกระบี่เฉิน’ ไว้จริงๆ แต่ตอนที่ซ่งหลานเฉียวพูดถึงเรื่องนี้ได้บอกอย่างชัดเจนว่า ก่อนที่เฉินผิงอันจะออกไปจากสวนน้ำค้างวสันต์ คนเขียนจะต้องนำเนื้อหาในบทความเกี่ยวกับเขาที่จะจัดพิมพ์ลงไปใน ‘น้ำค้างวสันต์คงเหมันต์’ ฉบับใหม่มาให้เขาอ่านก่อน เรื่องไหนเขียนได้เรื่องไหนเขียนไม่ได้ อันที่จริงสวนน้ำค้างวสันต์ก็ใคร่ครวญจนมั่นใจกันมานานแล้ว ทำการค้าอยู่บนภูเขามานานหลายปีขนาดนี้ สำหรับเรื่องต้องห้ามของตระกูลเซียน พวกเขาย่อมรู้อย่างชัดเจน
เกี่ยวกับคัมภีร์การค้าที่ใช้หาเงินเหล่านี้ เฉินผิงอันย่อมยินดีที่จะเป็นส่วนหนึ่งในนั้น ไม่รู้สึกรำคาญเลยแม้แต่น้อย ตอนนั้นที่คุยกับซ่งหลานเฉียวจึงกระตือรือร้นมากเป็นพิเศษ เพราะถึงอย่างไรในภายภาคหน้าภูเขาลั่วพั่วก็สามารถนำมาใช้เป็นบทเรียนได้
หลิ่วจื้อชิงเดินขึ้นฝั่ง มุ่งหน้าไปยังหน้าผาอวี้อิ๋ง เห็นเจ้าหมอนั่นยังไม่มีท่าทีว่าจะขึ้นมา ดูจากท่าทางแล้วคงคิดจะกวาดธารน้ำให้ครบถ้วนทั่วหนึ่งรอบเสียก่อน หลีกเลี่ยงไม่ให้ตกหล่นก้อนใดไป
หลิ่วจื้อชิงพูดอย่างฉุนๆ ปนขัน “พี่ชายคนดี ในดวงตาเจ้ามีแต่เงินหรือไง?”
เฉินผิงอันก้มเก็บหินไข่ห่านก้อนหนึ่งที่เนื้อสัมผัสเนียนละเอียดเหมือนหยกสีหมึกแล้วพลิกกลับไปกลับมาเบาๆ ดูว่าจะมีลวดลายธรรมชาติที่ชวนให้คนชื่นชอบอยู่หรือไม่ ปากก็ยิ้มตอบอีกฝ่ายไปว่า “ตอนเด็กยากจนจนหวาดกลัว ช่วยไม่ได้จริงๆ”
การที่หลิ่วจื้อชิงไม่ได้ขี่กระบี่ออกไปจากสวนน้ำค้างวสันต์ แน่นอนว่าเพราะอยากจะเห็นเองกับตาว่าไอ้หมอนั่นนำก้อนหินหลายร้อยก้อนที่เป็นของบ่อน้ำใสกลับคืนตำแหน่งเดิมแล้ว เขาถึงจะวางใจได้
แต่ตอนนี้หลิ่วจื้อชิงถึงกับสงสัยแล้วว่าหากตนจากไปแล้ว ไอ้หมอนี่จะเก็บเอาหินทั้งหมดกลับมาอีกครั้งหรือไม่ เพราะเขามีความรู้สึกว่าเจ้าคนแซ่เฉินผู้นี้สามารถทำเรื่องที่เสียสติเช่นนี้ได้จริงๆ
เฉินผิงอันเก็บหินที่เหมือนหยกสีหมึกก้อนนั้นใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ สายตากวาดมองไปไม่หยุดนิ่ง เก็บเงินบนพื้น ถึงอย่างไรก็ง่ายกว่าเอาเงินจากกระเป๋าคนอื่นมาใส่ไว้ในกระเป๋าตัวเองอยู่มาก นี่หากเขาไม่ก้มเอวยื่นมือไปหยิบมา เฉินผิงอันยังกลัวว่าจะถูกฟ้าผ่าด้วยซ้ำ
เพราะมีสาเหตุมาจากเฉินผิงอัน หลิ่วจื้อชิงที่เดินกลับไปยังหน้าผาอวี้อิ๋งแล้วจึงต้องเสียเวลารออยู่นานถึงครึ่งชั่วยามเต็ม
คนทั้งสองเดินมาที่ศาลามุงแฝกหลังนั้น เฉินผิงอันยืนนิ่งไม่ขยับ หลิ่วจื้อชิงก็ยืนจ้องเขาอยู่อย่างนั้น
เฉินผิงอันตบศีรษะตัวเอง พึมพำว่าดูความจำของข้านี่สิ จากนั้นก็โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง หินไข่ห่านหลายร้อยก้อนเหมือนสายฝนที่ร่วงหล่นสู่บ่อน้ำ หลิ่วจื้อชิงเพ่งสมาธิมองก้อนหินเหล่านั้น จำนวนคร่าวๆ นับได้พอๆ กัน ประเด็นสำคัญคือหินไข่ห่านสิบกว่าก้อนที่เขาชื่นชอบมากที่สุดไม่ขาดหายไปแม้แต่ก้อนเดียว สีหน้าของหลิ่วจื้อชิงถึงได้ดีขึ้น หากขาดไปแม้แต่ก้อนเดียว เขาก็คิดว่าวันหน้าจะไม่มาดื่มชาที่นี่อีกแล้ว จะลุ่มหลงในทรัพย์สินหรือไม่ก็เป็นเรื่องของคนแซ่เฉินเอง และการที่เขาหาเงินได้จากตน ก็ยิ่งเป็นความสามารถของเขา แต่หากอีกฝ่ายไม่รักษาคำพูด นั่นคือสองเรื่องที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว หน้าผาอวี้อิ๋งตกอยู่ในมือของคนประเภทนี้ หลิ่วจื้อชิงก็จะคิดเสียว่าหน้าผาอวี้อิ๋งพังทลายไปแล้ว จะไม่เหลือความอาลัยอาวรณ์ใดๆ อีก
เฉินผิงอันปัดชายแขนเสื้อ เอ่ยว่า “เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าการเก็บก้อนหินในธารน้ำก็เป็นการฝึกจิตใจอย่างหนึ่งเหมือนกัน? ข้าพอจะรู้นิสัยของเจ้าได้คร่าวๆ แล้วว่าเป็นพวกที่แสวงหาความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ สภาพจิตใจและนิสัยเช่นนี้อาจเป็นเรื่องดีในการหลอมกระบี่ แต่หากนำมาวางไว้บนเส้นทางของการฝึกตน ใช้จิตใจของคนในตำหนักจินอูมาชำระล้างกระบี่ มีความเป็นไปได้มากที่เจ้าจะเหน็ดเหนื่อยรำคาญใจ ดังนั้นอันที่จริงตอนนี้ข้าก็เริ่มเสียใจแล้วที่พูดเรื่องเส้นสายเหล่านั้นกับเจ้า”
หลิ่วจื้อชิงส่ายหน้า “ยิ่งเป็นปัญหาเช่นนี้ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าหากข้าชำระล้างกระบี่สำเร็จ ผลเก็บเกี่ยวที่ได้จะมากกว่าที่ข้าจินตนาการเอาไว้”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็แค่หาเหตุผลส่งเดชมาเตือนเจ้าไปอย่างนั้นเอง”
หลิ่วจื้อชิงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงแล้วเริ่มใช้นิ้ววาดยันต์ เพียงแต่ว่าการกระทำครั้งนี้ของเขาเป็นไปอย่างเชื่องช้า อีกทั้งไม่ได้จงใจปิดบังริ้วกระเพื่อมปราณวิญญาณของตัวเองด้วย เพียงไม่นานก็มีเจียวเพลิงสีแดงสดสองเส้นล้อมวน เขาเงยหน้าขึ้นถามว่า “เรียนเป็นหรือยัง?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “จำวิธีการได้แล้ว วิถีการโคจรของปราณวิญญาณข้าก็พอจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่ตอนนี้ข้ายังทำไม่ได้”
หลิ่วจื้อชิงขมวดคิ้ว “หากเจ้ายินดีเอาความคิดจิตใจในการทำการค้ามาใช้กับการฝึกตนสักครึ่งหนึ่ง จะมีสภาพน่าอเนจอนาถเช่นนี้หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มขื่นเอ่ยว่า “หลิ่วจื้อชิง เจ้าอย่ามาทำตัวเป็นคนนั่งพูดไม่ปวดเอวอยู่แถวนี้ ข้าคือคนที่สะพานแห่งความเป็นอมตะเคยถูกสะบั้นขาดมาก่อน สามารถมีสภาพได้อย่างทุกวันนี้ก็ถือว่าไม่อเนจอนาถแล้ว”
การประมือกันสามครั้งก่อนหน้านี้ นิสัยใจคอของหลิ่วจื้อชิงเป็นอย่างไร เฉินผิงอันรู้แน่ชัดอยู่แก่ใจแล้ว
แรกเริ่มสุดตกลงกันไว้แล้วว่าผู้ฝึกกระบี่คอขวดขอบเขตโอสถทองอย่างหลิ่วจื้อชิงจะออกแรงแค่ห้าส่วน ส่วนเขาก็เพียงแค่ออกหมัด
เฉินผิงอันวาดวงกลมกินรัศมีสิบจั้งวงหนึ่ง แล้วใช้ตบะตอนที่อยู่ในนครมังกรเฒ่ามารับมือกับกระบี่บินของหลิ่วจื้อชิง
ครั้งแรกที่หลิ่วจื้อชิงบังคับกระบี่บิน เนื่องจากดูถูกระดับความแข็งแกร่งทนทานของเรือนกายเฉินผิงอันเกินไป อีกทั้งยังไม่เคยชินกับวิธีใช้บาดแผลแลกบาดแผล หนึ่งหมัดต่อยล้มก็ไม่มีทางออกหมัดที่สองซ้ำเด็ดขาดของอีกฝ่าย เนื่องจากตกลงกันไว้แล้วว่าแค่แบ่งแพ้ชนะไม่แบ่งเป็นตาย ดังนั้นครั้งแรกที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่มีชื่อว่า ‘น้ำตก’ เล่มนั้นของหลิ่วจื้อชิงปรากฎกาย แม้ว่าจะรวดเร็วดั่งน้ำตกสวรรค์ที่ตกพุ่งลงมายังโลกมนุษย์ กระนั้นก็ยังได้แค่ทิ่มแทงตรงจุดที่เหนือหัวใจของเขาไปหนึ่งชุ่น ผลคือคนผู้นั้นปล่อยให้กระบี่บินแทงทะลุไหล่ของตัวเองไป เพียงชั่วพริบตาก็มาโผล่ตรงหน้าหลิ่วจื้อชิง กระบี่บินที่มีความเร็วสุดขีดหมุนตัววนกลับ แทงเข้าที่ข้อเท้าของคนผู้นั้น หลิ่วจื้อชิงเพิ่งจะขยับตัวออกห่างมาได้แค่ไม่กี่จั้งกลับยังถูกคนผู้นั้นตามติดเหมือนเงา ปล่อยหนึ่งหมัดต่อยให้เขาลอยพ้นไปจากวงกลมที่วาดไว้ โชคดีที่หลังจากอีกฝ่ายออกหมัด ก่อนที่จะโจมตีโดนเขาก็ได้จงใจกดพละกำลังเอาไว้ แต่หลิ่วจื้อชิงก็ยังกระแทกลงบนพื้นแล้วไถลครูดออกไปหลายจั้ง ทั่วร่างเต็มไปด้วยฝุ่นดิน
หลิ่วจื้อชิงก็แค่มีสภาพกระเซอะกระเซิงเท่านั้น หลังจากพลิ้วกายลุกขึ้นยืน เขาก็มองเจ้าคนที่ทั้งไหล่และข้อเท้าล้วนถูกกระบี่บินแทงทะลุจริงๆ แล้วถามว่า “ไม่เจ็บ?”
การที่กระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่รับมือได้ยาก นอกจากความเร็วแล้ว ยังเป็นเพราะหากแทงทะลุเรือนกายหรือช่องโพรงลมปราณของฝ่ายตรงข้ามก็ยากที่บาดแผลจะประสานตัวหายดีได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีผลลัพธ์ที่น่ากลัวคล้ายคลึงกับ ‘ความขัดแย้งบนมหามรรคา’ สมบัติอาคมชนิดอื่นๆ ที่ใช้โจมตีบนโลกใบนี้ก็สามารถทิ้งบาดแผลไว้ได้อย่างยาวนานเหมือนกัน หรืออาจถึงขั้นทิ้งโรคร้ายไว้เบื้องหลังนับไม่ถ้วน แต่ไม่ได้ตอแยพัวพัน เร่งร้อนถี่กระชั้นแต่กลับดุร้ายอำมหิตดั่งทำนบน้ำพังทลายในเสี้ยววินาทีเหมือนกับปราณกระบี่ ก็เหมือนกับว่าในฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างมนุษย์ได้มีมังกรข้ามแม่น้ำตัวหนึ่งบุกเข้ามาแล้วพลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทร ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อการโคจรปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณ และการเข่นฆ่ากันระหว่างผู้ฝึกตน ส่วนใหญ่แล้วหากปราณวิญญาณวุ่นวายก็จะเป็นภัยร้ายถึงแก่ชีวิต แล้วนับประสาอะไรกับที่การหล่อหลอมเรือนกายของผู้ฝึกลมปราณทั่วไปไม่อาจเทียบได้กับผู้ฝึกตนสำนักการทหารและผู้ฝึกยุทธเต็มตัว หากได้รับความเจ็บปวดก็ย่อมส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
หนึ่งกระบี่ยังเป็นเช่นนี้ แล้วหากโดนกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่แทงเข้าหลายๆ ทีจะเป็นอย่างไร?
ตอนนั้นคนผู้นั้นยิ้มกล่าวว่า “ไม่กระทบต่อการออกหมัดหรอก”
ต่อมาในการประมือครั้งที่สอง หลิ่วจื้อชิงก็เริ่มระมัดระวังเรื่องระยะห่างของทั้งสองฝ่าย
เฉินผิงอันเริ่มใช้ตบะตอนที่อยู่ในชายหาดโครงกระดูกช่วงแรกรับมือกับศัตรู ใช้มันมาหลบเลี่ยงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของหลิ่วจื้อชิงที่ผลุบๆ โผล่ๆ อย่างลึกลับ
หลังจากการประมือครั้งนั้นสิ้นสุดลง คนทั้งสองต่างก็นั่งขัดสมาธิอยู่นอกวงกลม ทั่วร่างของเฉินผิงอันเต็มไปด้วยบาดแผลเล็กๆ นับไม่ถ้วน หลิ่วจื้อชิงเองก็ฝุ่นดินเปรอะเปื้อนเต็มตัว
ตอนนั้นเฉินผิงอันอดไม่ไหวเปิดปากถามไปว่า “ข้าเคยได้สัมผัสกับกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่เฒ่าโอสถทองคนหนึ่งมาก่อน เหตุใดเจ้าออกแรงแค่เจ็ดส่วน แต่กระบี่บินกลับยังเร็วขนาดนี้?”
ตอนนั้นหลิ่วจื้อชิงอารมณ์ไม่ใคร่จะดีจึงตอบว่า “แค่เจ็ดส่วนจริงๆ เชื่อหรือไม่ก็เรื่องของเจ้า”
วันที่สาม หลิ่วจื้อชิงมองเจ้าคนที่ทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นผู้นั้นแล้วเอ่ยว่า “ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ? วันนี้จะออกกระบี่ด้วยกำลังเก้าส่วนแล้ว แม้ว่าเจ้าและข้าจะตกลงกันแล้วว่าไม่แบ่งเป็นตาย แต่…”
ไม่รอให้หลิ่วจื้อชิงเอ่ยจบ คนผู้นั้นก็ยิ้มกล่าวว่า “เชิญออกกระบี่ได้ตามสบาย”
เฉินผิงอันรับมือกับศัตรูอีกครั้งด้วยตบะที่ใช้ตอนต้านรับทัณฑ์สวรรค์ทะเลเมฆ เพียงแต่ว่าไม่ได้ใช้กระบวนท่าหมัดอันเป็นสมบัติก้นกรุของตัวเองก็เท่านั้น
สุดท้ายหลิ่วจื้อชิงยืนอยู่นอกวงกลม จำต้องใช้มือนวดซีกแก้มที่บวมฉึ่ง ใช้ปราณวิญญาณสลายอาการบวมไปช้าๆ
เฉินผิงอันยืนอยู่บนเส้นวงกลม ยิ้มกว้างสดใส บนร่างมีรูที่เลือดสดไหลซึมเพิ่มมาหลายรู แต่ก็เพียงแค่นี้ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่บาดแผลที่อันตรายถึงชีวิต แค่ต้องพักรักษาตัวช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น
—–