ยามเข้าสู่ช่วงหน้าฝน การเดินทางไปเยือนต่างบ้านต่างเมือง เดิมทีก็เป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดใจอย่างถึงที่สุด แล้วนับประสาอะไรกับที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เหมือนถูกมีดจ่อคอเช่นนี้ นี่ทำให้สุยซินอวี่รองเจ้ากรมผู้เฒ่ายิ่งกังวลใจมากกว่าเดิม ผ่านจุดพักม้ามาหลายแห่ง ได้เห็นบทกวีที่นักท่องเที่ยวซึ่งผ่านทางมาทิ้งไว้บนผนังแต่ละบท ก็ยิ่งทำให้นักประพันธ์ใหญ่ท่านนี้รู้สึกร่วมไปด้วย หลายครั้งต้องดื่มเหล้าดับทุกข์ ทำเอาเด็กหนุ่มเด็กสาวที่มองดูอยู่ยิ่งกังวลใจ มีเพียงสตรีสวมหมวกคลุมหน้าเท่านั้นที่ยังคงสุขุมไม่สะทกสะท้านใดๆ
ม้าทั้งสี่ตัวได้แต่เลือกถนนทางหลวงในการเดินทางไปยังเมืองหลวงแคว้นอู่หลิงเท่านั้น ท่ามกลางม่านสนธยาของวันนี้ ฝนที่ตกกระหน่ำเพิ่งจะซาเม็ด ต่อให้ก่อนหน้านี้จะพยายามควบม้าเร็วอยู่ท่ามกลางพายุฝน แต่ก็ยังไม่อาจไปถึงจุดพักม้าก่อนที่ค่ำคืนจะมาเยือนได้ นี่ทำให้รองเจ้ากรมผู้เฒ่าที่เพิ่งปลดงอบและเสื้อกันฝนออกจากตัวรู้สึกทุกข์ใจจนมิอาจบรรยายออกมาเป็นถ้อยคำ เขากวาดตามองไปรอบด้าน มักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าต้องมีอันตรายรายล้อม หากไม่เป็นเพราะร่างกายของผู้เฒ่ายังนับว่าแข็งแรง หลังจากลาออกจากการเป็นขุนนางกลับคืนสู่บ้านเกิดก็มักจะไปท่องเที่ยวตามภูเขาแม่น้ำกับสหายเก่าเป็นประจำ ป่านนี้ก็คงล้มป่วย ไม่อาจทนรับกับความยากลำบากที่ต้องเดินทางระหกระเหินเช่นนี้ไปนานแล้ว
บนถนนทางหลวง ในจุดลับตาข้างถนนมีใบหน้าที่ไม่แปลกตาสักนิดปรากฏตัว เขาก็คือชายฉกรรจ์ใบหน้าดุร้ายที่เป็นกลุ่มคนในยุทธภพซึ่งเจอกันตรงศาลาเล็กของถนนชาม้าโบราณ เขาเดินอยู่ห่างจากม้าทั้งสี่ของตระกูลสุยไม่ถึงสามสิบก้าว ในมือของชายฉกรรจ์ถือดาบเล่มยาว ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็วิ่งพุ่งเข้ามาหาพวกเขาทันที
สุยซินอวี่ตะโกนเสียงดัง “เซียนกระบี่ช่วยด้วย!”
เพียงแต่ว่าฟ้าดินรอบด้านเงียบสงัดไร้เสียงตอบรับ
จากนั้นข้างกายของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าที่ดึงบังเหียนหยุดม้าในฉับพลันก็มีเสียงฝีเท้าม้าเร่งร้อนดังขึ้น เป็นม้าของสตรีสวมหมวกที่ทะยานตัวออกไป
แสงดาบเปล่งวาบ หนึ่งม้าวิ่งสวนไหล่ผ่านชายฉกรรจ์ถือดาบผู้นั้นไป
ดูเหมือนว่าตรงช่วงเอวของสตรีสวมหมวกคลุมหน้าจะถูกแสงดาบฟาดฟัน เรือนกายอรชรโก่งหนีจนเกิดเป็นเส้นโค้ง ร่างพลัดหลุดลงจากหลังม้า กระอักเลือดไม่หยุด
ชายฉกรรจ์ยังคงบุกรุดหน้าไปไม่หยุดนิ่ง ทว่าไม่นานฝีเท้าของเขาก็ค่อยๆ ชะลอช้าลง โซเซเดินหน้าต่อไปได้อีกไม่กี่ก้าวก็ทรุดฮวบลงกับพื้น
ใบหน้า ลำคอและหัวใจ สามจุดนี้ต่างก็ถูกปิ่นทองด้ามหนึ่งแทงเข้าไป แต่หากไม่เป็นเพราะปิ่นทองสามชิ้นที่เหมือนกับอาวุธลับของผู้ฝึกยุทธ แล้วก็คล้ายกับกระบี่บินของเซียนกระบี่มีจำนวนมากพอ อันที่จริงการทำเช่นนี้จะเสี่ยงอันตรายอย่างมาก อาจจะไม่สามารถสังหารผู้ฝึกยุทธในยุทธภพคนนี้ได้ในเสี้ยววินาที ปิ่นทองที่ปักตรงใบหน้าได้แค่แทงทะลุข้างแก้ม เลือดไหลโชกมองดูเหมือนน่ากลัวเท่านั้น ส่วนปิ่นทองที่อยู่ตรงหัวใจก็พลาดเป้าไปหนึ่งชุ่น ไม่สามารถแทงทะลุหัวใจได้อย่างแม่นยำ มีเพียงปิ่นทองตรงลำคอเท่านั้นที่ถึงจะเป็นบาดแผลร้ายแรงถึงชีวิตได้อย่างแท้จริง
สตรีสวมหมวกคลุมหน้าโงนเงนลุกขึ้นยืน เอามือกุมหน้าท้องเอาไว้ ไม่รู้ว่าทำไม ตอนที่มือดาบแห่งยุทธภพผู้นี้ออกดาบถึงได้เปลี่ยนจากคมดาบเป็นสันดาบแทน นี่น่าจะเป็นเพราะเขาแค่ต้องการให้บาดเจ็บ หาใช่ฆ่าเพื่อเอาชีวิตไม่ สุยจิ่งเฉิงพยายามปรับลมหายใจของตัวเองให้ราบรื่น หูได้ยินเสียงปังเบาๆ ดังขึ้นจากจุดที่ห่างไปไกลแสนไกลแว่วๆ
สุยจิ่งเฉิงหันหน้าไปตะโกนเสียงดัง “ระวัง! รีบลงจากหลังม้าไปซ่อนตัว!”
มีคนยิงธนูคันใหญ่ ลูกธนูพุ่งแหวกอากาศมาถึงด้วยความเร็ว เสียงหวีดดังนั้นมากพอจะทำให้จิตวิญญาณของคนสะท้านไหว
มุมปากของสุยจิ่งเฉิงมีเลือดสดไหลซึม แต่กระนั้นก็ยังพยายามฝืนข่มกลั้นความเจ็บปวดรวดร้าวตรงหน้าท้อง กลั้นลมหายใจทำสมาธิท่องคาถา ในมือหนึ่งทำมุทราตามภาพที่บันทึกอยู่ในสมุดเล่มเล็กซึ่งยอดฝีมือเคยมอบให้ในอดีต จากนั้นบิดเอว ชายแขนเสื้อพลิ้วหมุนคว้าง ปิ่นทองสามชิ้นถูกดึงออกจากศพที่กองอยู่บนถนนทางหลวง พุ่งเข้ารับหน้าลูกธนูดอกนั้น ปิ่นทองพุ่งไปด้วยความเร็วอย่างถึงที่สุด ต่อให้จะช้ากว่าเสียงของลูกธนู แต่กระนั้นปิ่นทองก็ยังสามารถพุ่งชนบนลูกธนูจนเกิดสะเก็ดไฟสามสะเก็ดได้ ทว่าวิถีของลูกธนูกลับยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงสาดยิงเข้าหาศีรษะของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าที่อยู่บนหลังม้า
ใบหน้าของสุยจิ่งเฉิงเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ต่อให้นางจะแอบมอบเสื้อไผ่ผ้าโปร่งตัวนั้นให้บิดาสวมเอาไว้ แต่หากลูกธนูยิงเข้าที่หัว ต่อให้เจ้าจะเป็นชุดคลุมอาคมเทพเซียนในตำนานชิ้นหนึ่ง แต่จะสามารถช่วยได้อย่างไร?
สุยจิ่งเฉิงเบิกตากว้าง น้ำตาไหลทะลักพรั่งพรูออกมาจากดวงตา
ยามคับขันเป็นตาย ความจริงใจย่อมปรากฏ
ต่อให้สุยจิ่งเฉิงจะไม่เห็นด้วยกับการวางตัวเป็นคนในสังคมและการเป็นขุนนางของบิดาไปเสียทั้งหมด ทว่าความรักความผูกพันระหว่างพ่อลูกกลับไม่ใช่ของปลอม
ก็เหมือนกับเสื้อไผ่ผ้าโปร่งที่บางเบาราวกับปีกจักจั่นตัวนั้น การที่นางยอมมอบให้สุยซินอวี่สวมไว้บนร่าง สาเหตุส่วนหนึ่งก็เพราะสุยจิ่งเฉิงเดาออกว่าตัวเองยังไม่มีอันตรายถึงชีวิต ทว่ายามที่หายนะใหญ่มาเยือน แล้วสามารถยินดีเดิมพันเหมือนอย่างสุยจิ่งเฉิงนี้ หาใช่สิ่งที่สตรีทุกคนบนโลกจะทำได้ โดยเฉพาะยิ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดกับสตรีที่ฉลาดเฉลียวซึ่งมีปณิธานอยู่กับการฝึกตนเป็นอมตะอย่างสุยจิ่งเฉิงด้วยแล้ว
นาทีถัดมา
คนชุดขาวสะพายกระบี่ผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวจากความว่างเปล่า เขาเหยียบยืนอยู่บนลูกธนูดอกนั้นพอดี ทำให้มันพลิ้วร่วงลงบนบริเวณใกล้กับสุยซินอวี่หนึ่งคนหนึ่งม้า ก่อนที่ลูกธนูใต้ฝ่าเท้าจะแหลกสลายกลายเป็นผุยผง
แล้วก็มีลูกธนูอีกดอกพุ่งเสียงแหลมเข้ามา คราวนี้ความเร็วมีมากอย่างถึงที่สุด ถึงขั้นมีภาพปรากฎการณ์ของสายฟ้าระเบิดพื้นดินสะเทือน ก่อนที่ลูกธนูจะแหวกอากาศมาถึงยังมีเสียงผึ่งเพราะสายธนูถูกดีดจนขาดสะบั้นด้วย
ทว่าลูกธนูกลับถูกคนหนุ่มชุดขาวคว้าจับเอาไว้ แล้วมันก็ระเบิดคาอยู่ในกำมือของเขา
เซียนกระบี่ชุดขาวมองไปยังจุดที่ลูกธนูพุ่งมา แล้วยิ้มกล่าวว่า “เซียวซูเย่ เจ้าคือมือดาบไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงเปลี่ยนมาใช้ธนูแล้วเล่า?”
แล้วเซียนกระบี่ชุดขาวก็พุ่งตัวออกไป
สุ่ยจิ่งเฉิงตะโกนขึ้นว่า “ระวังจะเจอแผนล่อเสือออกจากถ้ำ…”
เพียงแต่ว่าเซียนกระบี่ที่เปลี่ยนมาสวมชุดสีขาวผู้นั้นทำเหมือนไม่ได้ยิน ยังคงกระโจนออกไปไล่ล่าอีกฝ่ายตามลำพัง แสงสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นจากพื้น ทำให้คนมองตาพร่าเลือนจิตวิญญาณแกว่งไกว
สุยจิ่งเฉิงรีบพลิกตัวขึ้นหลังม้าแล้วควบตะบึงออกไป กวักมือเรียกเอาปิ่นทองสามชิ้นที่ตกอยู่บนพื้นมาเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ แล้วหันตะโกนเสียงดังกับคนทั้งสาม “รีบไป!”
ม้าสี่ตัวของตระกูลสุยควบทะยานจากไปทันที
หลังจากห้อม้ามาได้หลายลี้ก็ยังคงไม่เห็นเค้าโครงของจุดพักม้า รองเจ้ากรมผู้เฒ่ารู้สึกเพียงว่าแรงกระแทกจากหลังม้าทำให้กระดูกของเขาเคลื่อนไปหมดแล้ว น้ำตาจึงไหลอาบใบหน้าเหี่ยวย่น
สุยจิ่งเฉิงยกมือข้างหนึ่งขึ้นสูง หยุดม้ากะทันหัน
คนบนหลังม้าทั้งสามตัวที่เหลือก็รีบดึงรั้งบังเหียนหยุดตามไปด้วย
บนถนนเบื้องหน้า เฉาฟู่เอามือหนึ่งไพล่หลัง ผายมือข้างหนึ่งมายังสตรีสวมหมวกคลุมหน้า “จิ่งเฉิง ติดตามข้าขึ้นเขาไปฝึกตนเถอะ ข้าสามารถรับรองได้ว่า ขอแค่เจ้าขึ้นเขาไปพร้อมกับข้า รุ่นลูกรุ่นหลานของตระกูลสุยในอนาคตล้วนจะต้องมีความร่ำรวยเกียรติยศรอคอยอยู่”
สีหน้าของสุยซินอวี่แปรเปลี่ยนไม่หยุดนิ่ง
สุยจิ่งเฉิงแค่นหัวเราะเสียงเย็น “หากเป็นเช่นนี้จริง เจ้าเฉาฟู่จะต้องเปลืองแรงขนาดนี้หรือ? ด้วยนิสัยของท่านพ่อและคนตระกูลสุยข้า มีแต่จะยกข้าประคองส่งให้เจ้าด้วยสองมือ หากข้าเดาไม่ผิด ก่อนหน้านี้ลูกศิษย์ของหยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นหลุดปากพูดโดยไม่ทันระวัง บอกว่ารายชื่อปรมาจารย์ใหญ่สิบคนบนอันดับใหม่ถูกจัดไว้เรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสหวังตุ้นของแคว้นอู่หลิงพวกเราจะอยู่รั้งท้ายสุด? ถ้าเช่นนั้นสี่สาวงามก็น่าจะมีคำตอบแล้วเช่นกัน ทำไม ข้าสุยจิ่งเฉิงก็โชคดีได้เลื่อนสู่อันดับนี้เหมือนกันหรือ? นี่หมายความว่าอย่างไร? หากข้าเดาไม่ผิด อาจารย์ที่เป็นเทพเซียนพสุธาคนนั้นของเจ้าต้องการตัวข้าสุยจิ่งเฉิง นี่คือเรื่องจริง แต่น่าเสียดายที่พวกเจ้าคงไม่สามารถปกป้องข้าสุยจิ่งเฉิงได้ นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตระกูลสุยเลย เพราะฉะนั้นจึงได้แต่วางแผนอย่างลับๆ ชิงลักพาตัวข้าไปยังสถานที่ฝึกตนของเจ้าเฉาฟู่เสียก่อน”
เฉาฟู่ดึงมือกลับมา เดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า “จิ่งเฉิง เจ้าฉลาดเฉลียวเช่นนี้มาโดยตลอด ช่างทำให้คนทึ่งยิ่งนัก ไม่เสียแรงที่เป็นสตรีซึ่งมีวาสนาในการฝึกตนอย่างลึกล้ำ มาผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับข้าเถิด เจ้าและข้าขึ้นเขาเดินทางไกล ทะยานลมอย่างอิสระเสรีไปด้วยกัน จะไม่มีความสุขมากหรอกหรือ? กลายมาเป็นผู้ฝึกตนที่ดื่มน้ำค้างกินแสงอรุโณทัย เพียงแค่ดีดนิ้วเวลาหกสิบปีในโลกมนุษย์ก็ผ่านพ้นไปแล้ว ญาติทั้งหลายล้วนกลายเป็นเพียงกระดูกขาวโพลน จะต้องสนใจไปไย หรือหากรู้สึกละอายใจจริงๆ ต่อให้จะต้องเจอกับพิบัติภัยบ้าง แต่ขอแค่ลูกหลานตระกูลสุยยังอยู่ก็ยิ่งถือว่าเป็นความโชคดีของพวกเขา รอให้ข้าและเจ้าจับมือกันเลื่อนเป็นเซียนดินเมื่อไหร่ ตระกูลสุยที่อยู่ในแคว้นอู่หลิงก็ยังคงผงาดขึ้นมาได้อย่างสบายๆ อยู่ดี”
ในที่สุดสุยซินอวี่ก็ฟังความนัยในถ้อยคำของเฉาฟู่ออกเสียที จนกระทั่งบัดนี้เขาถึงเพิ่งจะกระจ่างแจ้ง ที่แท้อีกฝ่ายก็แค่สนใจว่าสุยจิ่งเฉิงจะเป็นหรือตายเท่านั้น หากบุตรสาวของตนจากไป ดูเหมือนว่าตระกูลสุยจะต้องเจอกับหายนะล้างวงศ์ตระกูล?
สุยซินอวี่จึงสบถด่าดังลั่น “เฉาฟู่ ข้าปฏิบัติกับเจ้าอย่างดีมาโดยตลอด เหตุใดเจ้าถึงต้องคิดร้ายหวังทำลายตระกูลสุยของข้าเช่นนี้!”
เฉาฟู่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ท่านลุงสุยย่อมดีกับข้าไม่น้อย ปีนั้นสายตาก็ยิ่งดีเยี่ยม ถึงได้เลือกข้ามาเป็นลูกเขย บุญคุณครั้งนี้ หากตัวของท่านลุงสุยเองไม่มีโอกาสได้รับไว้ ในอนาคตเมื่อข้ากับจิ่งเฉิงฝึกตนประสบผลสำเร็จแล้วย่อมต้องชดใช้คืนให้กับลูกหลานตระกูลสุยเป็นเท่าตัวอย่างแน่นอน”
สุยซินอวี่โมโหจนต้องยกมือขึ้นกุมขมับ
เฉาฟู่ทอดสายตามองไปไกล “ไม่มัวพูดจาเกรงอกเกรงใจกับพวกเจ้าแล้ว จิ่งเฉิง ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย หากเจ้ายอมจากไปกับข้าแต่โดยดี ข้าจะไม่ฆ่าพวกเขาสามคน แต่หากเจ้าไม่เต็มใจ จะต้องให้ข้าตีเจ้าสลบให้จงได้ ถ้าอย่างนั้นศพอีกสามศพ เจ้าก็จะไม่ได้เห็นอีก ดังนั้นวันหน้าหากถึงคราวต้องกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมก็คงไม่มีโอกาสได้ทำแล้ว มีเพียงถึงเทศกาลชิงหมิงที่เจ้าและข้าสองสามีภรรยาจะได้เซ่นไหว้อยู่บนภูเขาของข้าไกลๆ เท่านั้น”
สุยจิ่งเฉิงปลดหมวกแล้วโยนทิ้ง ถามว่า “เจ้าและข้าสองคนขี่ม้าไปที่ภูเขาเซียนลูกนั้น? ไม่กลัวว่าเซียนกระบี่สังหารซูเซียวเย่แล้วจะย้อนกลับมาหาเรื่องเจ้าหรือ?”
เฉาฟู่คีบยันต์ออกมาสองสามแผ่น พูดอย่างมั่นใจว่า “ตอนนี้เจ้าเองก็ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนครึ่งตัวแล้ว แปะยันต์แผ่นนี้ เจ้าและข้าก็พอจะฝืนทะยานลมเดินทางไกลไปด้วยกันได้”
สุยจิ่งเฉิงพลิกตัวลงจากหลังม้า “ข้าตกลง”
เฉาฟู่ยื่นมือออกมา “แบบนี้สิจึงจะถูก รอให้เจ้าได้เห็นวิชาเซียนของเซียนซือบนภูเขาเซียนที่แท้จริงเมื่อไหร่ก็จะเข้าใจเองว่าการเลือกในวันนี้ของเจ้านั้น ฉลาดถึงเพียงใด”
คนทั้งสองอยู่ห่างกันอีกแค่สิบกว่าก้าว
ทันใดนั้นปิ่นทองสามชิ้นก็พุ่งออกมาจากร่างของสุยจิ่งเฉิงอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ ทว่ากลับถูกเฉาฟู่สะบัดชายแขนเสื้อม้วนหอบพวกมันเข้ามากุมไว้ในกำมือ ต่อให้จะทำเพียงแค่กุมปิ่นทองที่ส่องรัศมีแสงเรืองรองไว้หลวมๆ ฝ่ามือกลับยังคงแสบร้อนเหมือนถูกลวก ผิวหนังปริแตก พริบตาเดียวเลือดสดก็ไหลนอง เฉาฟู่ขมวดคิ้ว ใช้นิ้วคีบยันต์สีทองแผ่นหนึ่งที่อาจารย์มอบให้ก่อนออกเดินทางออกมาแล้วท่องคาถาเบาๆ ใช้ยันต์ห่อหุ้มปิ่นทองทั้งสามชิ้นไว้ภายใน ภาพเหตุการณ์ประหลาดที่แสงอัญมณีเจิดจ้าถึงได้หายไป จากนั้นจึงเก็บมันใส่ไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง เฉาฟู่ยิ้มเอ่ยว่า “จิ่งเฉิง วางใจเถอะ ข้าไม่โกรธเจ้าหรอก นิสัยพยศดื้อรั้นเช่นนี้ของเจ้านี่แหละที่ทำให้ข้าหวั่นไหวได้มากที่สุด”
เส้นสายตาของเฉาฟู่มองผ่านสุยจิ่งเฉิงไป “เพียงแต่เจ้ากลับคำก่อน ถ้าอย่างนั้นก็อย่าโทษหากสามีจะผิดสัญญาบ้าง”
แต่เฉาฟู่ก็ทำท่าอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มอย่างจนใจว่า “ทำไม ด้านหลังข้ามีคนหรือ จิ่งเฉิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าฝึกตนอยู่บนภูเขานั้น การคล้อยไปตามสถานการณ์ตามชะตาลิขิตคือความรู้อย่างหนึ่งที่ต้องใช้อย่างระมัดระวังรอบคอบ”
เพียงแต่ว่าสีหน้าของสุยจิ่งเฉิงยังคงแปลกประหลาดอยู่อย่างนั้น
เฉาฟู่พลันหันขวับกลับไป ไม่มีใครอยู่
สุยจิ่งเฉิงกัดฟัน ปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณที่สะสมไว้ไม่มากล้วนไหลกรูไปยังข้อมือ เส้นเอ็นในฝ่ามือข้างหนึ่งส่องประกายแสงสีขาวนวลเรื่อเรือง แล้วนางก็พุ่งตัวออกไปเงื้อมือตบใส่เฉาฟู่อย่างรวดเร็ว
หมายโจมตีท้ายทอย
ทว่าเฉาฟู่กลับหันตัวมา พลิกฝ่ามือกลับหลัง กุมข้อมือขาวนวลเนียนที่เพียงแค่โคจรปราณวิญญาณ ปราณวิญญาณก็เต็มล้นอยู่ในเส้นลายมือข้างนั้นของสุยจิ่งเฉิงเอาไว้ กระชากอีกฝ่ายเข้าหาตัวแล้วศอกเข้าที่หน้าผากของสุยจิ่งเฉิงเต็มแรง จากนั้นสะบัดร่างนางทิ้งหนักๆ สุยจิ่งเฉิงตัวอ่อนยวบอยู่บนพื้น แล้วจึงถูกเฉาฟู่เหยียบที่แขนข้างนั้นซ้ำอีกที เขาโน้มตัวลงมายิ้มกล่าวว่า “รู้หรือไม่ว่าผู้ฝึกตนที่แท้จริงอย่างข้า ขอแค่เพ่งมองเข้าไปในดวงตาเรียวยาวสุกใสคู่นี้ของเจ้าก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนแล้วว่าด้านหลังข้ามีใครอยู่หรือไม่? การที่ข้าหันหน้ากลับไปก็แค่ทำให้เจ้ามีความหวังแล้วก็ต้องสิ้นหวังเท่านั้นเอง”
เฉาฟู่บิดปลายเท้า สุยจิ่งเฉิงร้องอู้อี้อยู่ในลำคอ เขาใช้สองนิ้วจิ้มลงบนหน้าผากของสตรี ฝ่ายหลังก็เหมือนโดนร่ายคาถากักร่างใส่ เฉาฟู่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว จะบอกความจริงแก่เจ้าก็ได้ หลังจากที่ราชวงศ์ต้าจ้วนเลือกเจ้าให้เป็น ‘สาวงามตระกูลสุย’ หนึ่งในสี่สาวงามใหญ่ เจ้าก็จะมีทางให้เดินได้สามทาง หากไม่ติดตามบิดาของเจ้าไปเมืองหลวงต้าจ้วน หลังจากนั้นถูกคัดเลือกให้เป็นชายารัชทายาท ก็ต้องถูกฮ่องเต้ของแคว้นใดแคว้นหนึ่งในแถบทิศเหนือมาดักลักพาตัวกลางทาง แล้วพาไปเป็นฮองเฮาของแคว้นเล็กๆ ริมชายแดน หรือไม่ก็ถูกข้าพาไปยังสำนักที่ตั้งอยู่ชายแดนแคว้นชิงสือ ถูกอาจารย์ของข้าหลอมร่างเจ้าให้กลายเป็นเตาหลอมคนตัวเป็นๆ ก่อน และนางก็จะยังถ่ายทอดวิชาลับวิชาหนึ่งให้แก่เจา ถึงเวลานั้นค่อยเปลี่ยนมือส่งมอบเจ้าให้แก่เซียนที่แท้จริง เขาเป็นถึงอาจารย์อาซึ่งเป็นเจ้าตำหนักเกล็ดทองเชียวนะ เจ้าเองก็อย่าได้หวาดกลัวไปเลย สำหรับเจ้าแล้วนี่คือเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า มีโอกาสได้ฝึกบำเพ็ญคู่กับเซียนก่อกำเนิดคนหนึ่ง ขอบเขตของเจ้าที่เดินบนเส้นทางของการฝึกตนมีแต่จะพัฒนาไปได้พันลี้ในหนึ่งวัน ขนาดซูเซียวเย่ยังไม่รู้เรื่องพวกนี้ ดังนั้นเซียนกระบี่ที่พบเจอโดยบังเอิญผู้นั้นใช่ผู้ฝึกตนโอสถทองตำหนักเกล็ดทองอะไรซะที่ไหน เขาก็แค่ขู่ให้คนกลัวไปอย่างนั้นเอง ส่วนข้าก็คร้านจะเปิดโปงเขา พอดีกับที่ให้ซูเซียวเย่ได้ออกแรงมากๆ หน่อย ต่อให้ซูเซียวเย่ตายไป การค้าครั้งนี้ ข้าและอาจารย์ก็ยังได้กำไรก้อนใหญ่อยู่ดี”
เฉาฟู่กล่าวอย่างปลงอนิจจัง “จิ่งเฉิง เจ้าและข้าไร้วาสนาต่อกันจริงๆ ก่อนหน้านี้ที่เจ้าใช้เหรียญทองแดงทำนาย อันที่จริงก็ถูกต้องแล้ว”
เฉาฟู่ประคองสุยจิ่งเฉิงให้ลุกขึ้นยืน คีบยันต์สองแผ่นออกมาแปะลงบนข้อเท้าทั้งสองของนาง แล้วจึงมองไปยังม้าสามตัวของตระกูลสุย “ไม่ว่าอย่างไรก็ล้วนต้องตายกันหมด”
และเวลานี้เอง ข้างกายของเฉาฟู่ก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา “มีแค่นี้หรือ ไม่มีความลับที่มากกว่านี้จะพูดอีกแล้ว? หากเป็นเช่นนี้ บรรพจารย์ตำหนักเกล็ดทองผู้นั้นต้องการตัวสุยจิ่งเฉิง ส่วนอาจารย์ของเจ้าก็ได้ส่วนแบ่งเป็นอาวุธอันเป็นโชควาสนาบนมหามรรคาที่อยู่บนร่างของนาง แล้วเจ้าล่ะ เดินทางเหนื่อยยาก ใช้กลอุบายที่มีจนหมดสิ้น เหน็ดเหนื่อยตรากตรำเปลืองแรงไปเปล่าๆ อย่างนั้นหรือ?”
เฉาฟู่ยิ้มจืดชืดพลางยืดเอวขึ้นตรง หันหน้าไปมองก็เห็นว่าคนชุดเขียวสวมงอบมายืนอยู่ข้างกายของตน เฉาฟู่จึงถามว่า “เจ้าไม่ได้ไล่ตามเซียวซูเย่ไปแล้วหรอกหรือ?”
คนผู้นั้นกล่าว “จิตหยินเดินทางไกล เจ้าคุยโวว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริง เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้หรือ?”
เฉาฟู่กล่าวอย่างจนใจ “ดูเหมือนว่ามีน้อยนักที่เซียนกระบี่จะให้จิตหยินออกเดินทางไกล”
คนผู้นั้นพยักหน้ารับ “ดังนั้นถึงได้บอกว่าท่องอยู่ในยุทธภพน้อยไป ก็ควรทำเรื่องชั่วให้น้อยหน่อย”
เฉาฟู่ยังจะพูดอะไรต่อ
ทว่ากลับหงายหลังผลึ่งหมดสติไปอย่างสิ้นเชิงเสียก่อน
เฉินผิงอันโบกมือหนึ่งครั้ง สลายตราผนึกปราณวิญญาณน้อยนิดที่เฉาฟู่ร่ายไว้บนหน้าผากของสุยจิ่งเฉิงทิ้ง
แล้วก็โบกชายแขนเสื้ออีกครั้ง ศพที่อยู่บนถนนก็ถูกกวาดออกจากเส้นทาง ร่วงไปตกลงในพุ่มหญ้าห่างไปไกล
ห่างออกไปไกลแสนไกล รุ้งยาวเส้นหนึ่งที่ลอยห่างจากพื้นมาแค่สองสามจั้งทะยานกระบี่มาถึง มือข้างหนึ่งถือศีรษะที่ตายตาไม่หลับมาด้วย จากนั้นจึงพลิ้วกายลงบนถนน ร่างทับซ้อนกับคนชุดเขียว ริ้วคลื่นกระเพื่อมอยู่ครู่หนึ่งก็กลายเป็นคนคนเดียวกัน
เพียงแต่ว่าในมือของคนชุดเขียวมีศีรษะเพิ่มมาอีกหนึ่งหัว
เฉินผิงอันพูดกับสุยจิ่งเฉิงว่า “เจ้าฉลาดขนาดนี้ ตัดสินใจได้หรือยังว่าหลังจากนี้จะเลือกเดินทางไหน?”
สุยจิ่งเฉิงนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น เริ่มโขกหัวคำนับ “หากข้าอยู่ที่แคว้นอู่หลิง ตระกูลสุยต้องพินาศวอดวายอย่างแน่นอน หากข้าไม่อยู่ พวกเขาจึงจะมีโอกาสรอดชีวิต ขอเซียนซือโปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วย!”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองหมวกม่านที่ก่อนหน้านี้สุยจิ่งเฉิงโยนทิ้งไว้บนพื้นแล้วยิ้มกล่าวว่า “หากเจ้าฝึกตนเร็วกว่านี้ สามารถกลายเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ได้รับการสืบทอดอย่างเป็นระบบจากสำนัก ตอนนี้คงประสบผลสำเร็จไม่น้อย”
—–