สุยจิ่งเฉิงรู้สึกปรับตัวไม่ค่อยทันอยู่บ้าง
ผู้อาวุโสหวังตุ้นในความทรงจำของนาง คือบุคคลอันดับหนึ่งด้านวรยุทธนับตั้งแต่แคว้นอู่หลิงก่อตั้งมา ได้ฉายาว่าเป็นปรมาจารย์ที่ใช้เพียงแค่มือข้างเดียวก็สามารถเอาชนะคนทั่วทั้งยุทธภพแคว้นอู่หลิง ชื่อเสียงของเขาในราชสำนักล้วนดีงามมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธในยุทธภพหรือปัญญาชนในวงการนักประพันธ์ หรือแม้แต่พ่อค้าหาบเร่ก็ยังพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าผู้อาวุโสหวังตุ้นคือผู้เฒ่าสวมชุดเขียวคนหนึ่งที่มีบุคลิกสุภาพสง่างาม เชี่ยวชาญศาสตร์ทั้งสี่อย่างพิณ หมากล้อม พู่กันและวาดภาพ นอกจากทักษะของทั้งร่างที่เชี่ยวชาญและชำนาญแล้ว ยังช่วยบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่แคว้นและชาวประชา เคยเป็นหนึ่งบุรุษที่ทำหน้าที่เป็นหน้าด่านสกัดขวางกองทัพทหารม้าของแคว้นศัตรูที่มาโจมตีทางชายแดนทิศใต้ เพื่อช่วงชิงเวลาที่มากพอในการจัดขบวนทัพให้แก่กองทัพชายแดนของแคว้นอู่หลิง…
เฉินผิงอันทรุดตัวนั่งลงไปก่อน สุยจิ่งเฉิงจึงนั่งตาม
หวังตุ้นลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เดินไปหยิบเหล้าสามกามาจากทางโต๊ะคิดเงิน แจกจ่ายคนละหนึ่งกาแล้วพูดอย่างใจกว้างว่า “ข้าเลี้ยงเอง”
ตอนที่หวังตุ้นวางกาเหล้าไว้ตรงหน้าสุยจิ่งเฉิงได้พูดเบาๆ ว่า “บุตรสาวของรองเจ้ากรมเฒ่าสุยซินอวี่สินะ? หน้าตางดงามจริงๆ สาวงามทั้งสี่คนทัดเทียมกัน ต่างคนต่างก็มีความงามไปคนและแบบ ไม่มีใครสูงหรือต่ำกว่าใคร ช่วยเพิ่มความมีหน้ามีตาให้แก่สตรีแคว้นอู่หลิงของพวกเรา เทียบกับตาเฒ่าที่อยู่อันดับล่างสุดในยุทธภพอย่างข้าแล้วคู่ควรจะได้รับกรอบป้ายจากตาเฒ่าฮ่องเต้มากกว่าเสียอีก แต่ข้าก็ต้องเอ่ยประโยคที่เป็นธรรมสักหน่อย เซียนกระบี่ผู้นี้ของเจ้า ไม่ว่าเขาจะเป็นอาจารย์หรือสามีของเจ้า ก็ค่อนข้างจะขี้เหนียวไปหน่อย ถึงได้ยอมแบ่งเหล้าให้เจ้าแค่ถ้วยเดียว”
สุยจิ่งเฉิงมองเฉินผิงอันที่อยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเปิดผนึกดิน แล้วเทเหล้าลงในถ้วยขาวใบใหญ่ ก่อนที่จะหันมาพูดกับผู้เฒ่าที่บอกว่าตัวเองสวมหน้ากากด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าหมู่บ้านผู้เฒ่าหวัง…”
หวังตุ้นได้ยินแล้วก็ไม่ใคร่จะสบอารมณ์นัก เขาโบกมือทันที “ไม่เฒ่าๆ คนแก่แต่ใจไม่แก่ เรียกข้าว่าเจ้าหมู่บ้านหวังก็พอ หรือจะเรียกชื่อข้าตรงๆ ว่าหวังตุ้นก็ยังได้”
สุยจิ่งเฉิงพยักหน้ารับ “เจ้าหมู่บ้านหวัง ตอนนี้เซียวซูเย่มือดาบแห่งแคว้นชิงสือได้ตายไปแล้ว”
หวังตุ้นถอนหายใจ ฟังออกถึงความนัยในถ้อยคำของ ‘สาวงามตระกูลสุย’ ผู้นี้ เขายกเหล้าขึ้นจิบหนึ่งคำ “แต่ข้าก็ยังเป็นอันดับสุดท้ายอยู่ดีไม่ใช่หรือ? ราชวงศ์ต้าจ้วนเลือกตาเฒ่าสักคนมา ฝีมือก็ยังสูงกว่าข้าอยู่ดี”
สุยจิ่งเฉิงรู้สึกว่าตนไม่มีอะไรให้พูดอีกแล้ว
หวังตุ้นหัวเราะร่าหันไปมองคนหนุ่มชุดเขียว อีกฝ่ายคือเซียนกระบี่แซ่เฉินที่มีเรื่องราวปรากฎอยู่ในรายงานภูเขาแม่น้ำติดต่อกันหลายฉบับ บันทึกช่วงแรกเริ่มสุดน่าจะเป็นบนเรือข้ามฟากลำหนึ่งที่มุ่งหน้าไปยังสวนน้ำค้างวสันต์ ไม่ยอมเอากระบี่บินออกมาใช้ ใช้เพียงหมัดปะทะหมัดก็สามารถต่อให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองแซ่เลี่ยวของจวนเถี่ยชางราชวงศ์ต้ากวานหล่นร่วงลงไปจากเรือข้ามฟาก ภายหลังหลิ่วจื้อชิงเซียนกระบี่แห่งตำหนักจินอูขี่กระบี่ผ่านมา บอกว่าเขาใช้หนึ่งกระบี่ฟันผ่าเมฆสายฟ้าที่พิทักษ์ตำหนักจินอู่ ภายหลังคนบนเส้นทางเดียวกันที่เดิมทีควรกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่เปิดฉากสังหารกันคู่นี้ กลับไปดื่มชาร่วมกันที่หน้าผาอวี้อิ๋งแห่งสวนน้ำค้างวสันต์ เล่าลือกันว่าพวกเขายังกลายมาเป็นสหายกันด้วย ส่วนตอนนี้เขาก็มาตัดหัวของเซียวซูเย่อยู่ในอาณาเขตของแคว้นอู่หลิง
หวังตุ้นเอ่ยถาม “เซียนกระบี่ต่างถิ่นเช่นเจ้าคงจะไม่ฟันข้าให้ตายด้วยหนึ่งกระบี่เพียงเพราะข้าพูดว่าเจ้าไม่ใจกว้างมากพอหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างระอาใจ “แน่นอนว่าไม่”
หวังตุ้นยกถ้วยเหล้าขึ้น เฉินผิงอันก็ยกตาม คนทั้งสองชนถ้วยกันเบาๆ หวังตุ้นดื่มเหล้าไปแล้วก็ถามเบาๆ ว่า “อายุเท่าไรแล้ว?”
เฉินผิงอันตอบ “ประมาณสามร้อยปี”
หวังตุ้นวางถ้วยเหล้าลง ยกมือลูบคลำหัวใจ “คราวนี้ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ไม่อย่างนั้นคงต้องรู้สึกว่าตัวเองอายุมากปูนนี้ล้วนเอาเวลาไปใช้บนร่างสุนัขหมดแล้ว”
สุยจิ่งเฉิงยิ้มบางๆ
แม้จะบอกว่าไม่คล้ายคลึงกับผู้อาวุโสหวังตุ้นในความทรงจำของตนเลยแม้แต่น้อย แต่ดูเหมือนว่าเจ้าหมู่บ้านผู้เฒ่าของหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวที่นั่งอยู่บนโต๊ะสุราคนนี้จะให้ความรู้สึกที่ดียิ่งกว่า
หวังตุ้นกดเสียงลงถามเบาๆ “ใช้หมัดปะทะหมัดต่อยให้เจ้าคนแซ่เลี่ยวผู้นั้นร่วงลงจากเรือข้ามฟากจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ประมาทไปหน่อย อันตรายอย่างมากเลยล่ะ”
หวังตุ้นยิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นพวกเราสองคนมาประลองฝีมือกันหน่อยดีไหม? เอาแบบที่ว่าหยุดเมื่อพอสมควร วางใจเถอะ ล้วนเป็นเพราะข้าดื่มเหล้าเข้าไป เห็นยอดฝีมือนอกโลกที่แท้จริงก็เลยเกิดคันไม้คันมือขึ้นมาเท่านั้น”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
หวังตุ้นกล่าว “กินเหล้าสองกาของคนอื่นเขาเปล่าๆ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ไม่ยินดีจะทำหรือ?”
หวังตุ้นเห็นว่าคนผู้นั้นไม่มีแววจะเปลี่ยนใจก็เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าข้าขอร้องเจ้า?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็พยักหน้ารับ “เอาตามคำบอกของผู้อาวุโสหวัง ใช้หมัดปะทะหมัด หยุดเมื่อพอสมควร”
หวังตุ้นลุกขึ้นยืน กวาดตามองไปรอบด้าน แล้วก็คล้ายจะเลือกโต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ด้านข้างได้ เขาจึงยื่นฝ่ามือออกไปกดลงเบาๆ ขาโต๊ะทั้งสี่ก็แหลกสลายกลายเป็นผุยผง แต่กลับเงียบเชียบไร้เสียง ผิวหน้าโต๊ะร่วงลงบนพื้นเบาๆ
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “หากรู้สึกว่าสองคนกระโดดขึ้นไปประมือกันบนโต๊ะจะดูเหมือนเล่นกายกรรมในสายตาของคนอื่นมากเกินไป ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็แค่ย้ายโต๊ะตัวนี้ออกไปก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ”
หวังตุ้นอึ้งตะลึง “ข้าก็อยากจะทำแบบนั้นอยู่เหมือนกัน แต่ที่ทำแบบนี้ก็ไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะเป็นการลดสถานะของเซียนกระบี่อย่างเจ้าหรอกหรือ?”
คนทั้งสองเดินขึ้นไปบนหน้าโต๊ะแทบจะเวลาเดียวกัน
สุยจิ่งเฉิงอยากจะลุกขึ้นเดินออกไปจากร้าน แต่เฉินผิงอันผายมือออกมาบอกเป็นนัยแก่นางว่าไม่ต้องลุกขึ้น
หวังตุ้นยืนได้มั่นคงแล้วก็กุมหมัดกล่าวว่า “หวังตุ้นแห่งหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวแคว้นอู่หลิง ฝึกวิชาหมัดจนพอจะประสบความสำเร็จ หวังขอคำชี้แนะ”
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน แต่กลับไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงผายฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา “เชิญ”
บอกชื่อแซ่และสำมะโนครัวที่แท้จริงคงไม่เหมาะสมสักเท่าไร
ให้บอกไปว่าตนเองชื่อเฉินคนดีอะไรนั่น เขาก็ไม่เต็มใจ
พวกคนดูที่อยู่ห่างออกไปไกลพากันร้องฮือฮา เหตุใดตาเฒ่าขายเหล้าถึงกลายเป็นผู้อาวุโสหวังตุ้นไปได้?
เพียงแต่ว่าเมื่อผู้เฒ่าคนนั้นลอกหน้ากากออก เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง กลุ่มผู้คนก็เกิดอารมณ์ตื่นเต้นฮึกเหิม เป็นผู้อาวุโสหวังตุ้นที่เป็นดั่งมังกรเทพเห็นหัวไม่เห็นหางจริงๆ ด้วย!
หวังตุ้นออกหมัดรวดเร็วดุจสายฟ้า พลังอำนาจดุดันน่าครั่นคร้าม แต่กลับไม่มีปราณสังหาร
ส่วนคนชุดเขียวกลับเน้นป้องกันมากกว่าโจมตี
ตอนที่คนทั้งสองสลับตำแหน่งยืนกัน หวังตุ้นยิ้มกล่าว “พอจะรู้รากฐานกันคร่าวๆ แล้ว ถึงเวลาที่พวกเราควรจะปลดปล่อยฝีมือกันได้แล้วกระมัง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
พวกผู้ฝึกยุทธในยุทธภพที่นั่งอยู่บนหลังคาเรือน หัวกำแพงและบนต้นไม้ของตรอกที่อยู่ห่างไปไกลรู้สึกฮึกเหิมเป็นกำลัง ศึกบนยอดเขาที่ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันในพื้นที่จำกัดเช่นนี้ ร้อยปีก็ไม่อาจได้พานพบจริงๆ
ไม่เสียแรงที่ผู้อาวุโสหวังตุ้นคือบุคคลอันดับหนึ่งของแคว้นอู่หลิงพวกเรา เจอกับเซียนกระบี่คนหนึ่ง ไม่เพียงแต่กล้าออกหมัด ยังไม่ตกเป็นรองอีกด้วย
แม้จะบอกว่าเซียนกระบี่ผู้นั้นไม่ได้เรียกกระบี่บินออกมา แต่เพียงแค่เท่านี้ พูดประโยคที่มีมโนธรรมสักหน่อย ก็ถือว่าผู้อาวุโสหวังตุ้นสู้สุดชีวิต เอาเกียรติยศของผู้ฝึกยุทธที่ไม่เคยได้รับความพ่ายแพ้มาตลอดชีวิตไปเดิมพัน เพื่อช่วงชิงเกียรติและศักดิ์ศรีที่ใหญ่เทียมฟ้ามาให้แก่คนในยุทธภพแคว้นอู่หลิงทุกคน! ผู้อาวุโสหวังตุ้นช่างเป็นจิตบู๊ของแคว้นอู่หลิงพวกเราจริงๆ!
เหล่าชายชาตรีในยุทธภพที่ได้แต่กล้าชมศึกอยู่ไกลๆ หนึ่งเป็นเพราะไม่มีใครที่เป็นปรมาจารย์ด้านวรยุทธที่แท้จริง สองเป็นเพราะอยู่ห่างจากร้านเหล้ามาค่อนข้างไกล แน่นอนว่าเห็นได้ไม่ชัดเจนเท่ากับสุยจิ่งเฉิง
ยกตัวอย่างเช่นนางเห็นว่าตอนที่ผู้อาวุโสคิดจะยุติการประลองครั้งนี้ เขาพลันลงมืออย่างรวดเร็ว เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว บิดข้อมือหนึ่งครั้ง ทั้งปัดหมัดหนึ่งของหวังตุ้นทิ้งไปได้ หนึ่งฝ่ามือพุ่งไปด้านหน้าต่อ แล้วก็ทั้งคิดจะตบลงบนใบหน้าของหวังตุ้น น่าจะสามารถใช้ฝ่ามือตบให้ร่างหวังตุ้นพ้นออกไปจากหน้าโต๊ะที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของคนทั้งสองได้ คิดไม่ถึงว่าหวังตุ้นจะรีบขยิบตา ส่วนผู้อาวุโสก็พยักหน้ารับเบาๆ หมัดของหวังตุ้นที่เดิมทีช้ากว่าหนึ่งระดับจึงปะทะกับฝ่ามือของผู้อาวุโสแทบจะเวลาเดียวกัน คนทั้งสองถอยกรูดไปด้านหลังสองก้าว ทั้งสองฝ่ายมีจิตใจสื่อถึงกันเป็นอย่างยิ่ง ต่างก็พลิ้วกายลงบนขอบโต๊ะเหมือนกัน
สุยจิ่งเฉิงเห็นว่าหวังตุ้นเริ่มขยิบตาอีกครั้ง ผู้อาวุโสชุดเขียวก็เริ่มขยิบตาเหมือนกัน คราวนี้สุยจิ่งเฉิงมึนงงไปหมด ทำไมถึงได้รู้สึกว่าคนทั้งสองกำลังหั่นราคากันอยู่นะ? แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นการต่อรองราคา การออกหมัดของคนทั้งสองกลับรวดเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละครั้งล้วนเป็นเจ้าส่งมาข้าปล่อยกลับ แทบจะได้ผลลัพธ์ที่สูสีกัน ไม่ว่าใครก็ล้วนไม่ได้เปรียบใคร คนนอกมองมา นี่ก็คือศึกแห่งปรมาจารย์ที่ไม่แบ่งสูงต่ำอย่างแท้จริง
สุดท้ายคนทั้งสองน่าจะตกลง ‘ราคา’ กันได้พอใจแล้ว หนึ่งคนหนึ่งหมัดจึงกระแทกลงบนหน้าอกของฝั่งตรงข้าม ผิวโต๊ะใต้ฝ่าเท้าแตกออกเป็นสอง ต่างคนต่างกระทืบเท้าหยุดยืนนิ่ง จากนั้นก็กุมหมัดคารวะกัน
การต่อสู้สิ้นเสร็จ ปิดงาน
หวังตุ้นหัวเราะเสียงดัง “คิดไม่ถึงว่าเซียนกระบี่คนหนึ่งจะมีวิชาหมัดที่ดีขนาดนี้”
อีกฝ่ายพูดเสียงดังกังวานว่า “ปณิธานหมัดของเจ้าหวังตุ้นกลับเข้มข้นยิ่งกว่า ขัดเกลามาได้อย่างไร้ข้อตำหนิยิ่งกว่า นานหน่อยคือสิบปี สั้นหน่อยคือห้าปี ข้าจะยังต้องมาเยือนหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวแห่งนี้เพื่อประลองวิชาหมัดกับเจ้าหวังตุ้นอีกครั้งเป็นแน่”
สุยจิ่งเฉิงนวดคลึงขมับ ก้มหน้าดื่มเหล้า เพราะรู้สึกว่าทนมองตรงๆ ไม่ไหว สำหรับการที่คนทั้งสองยกยอปอปั้นกันเองนั้นก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกว่ายุทธภพที่แท้จริง เหตุใดจึงเหมือนสุราที่ผสมปนด้วยน้ำเปล่าอย่างนี้เล่า?
หากเป็นพวกหูซินเหวย เซียวซูเย่ที่มีการกระทำเช่นนนี้ นางสุยจิ่งก็คงไม่คิดอะไรมาก แต่เขากับผู้อาวุโสหวังตุ้นกลับหน้าหนาไร้ความละอายกันเช่นนี้ ทำให้สุยจิ่งเฉิงเกือบจะรู้สึกว่าฟ้าถล่มดินทลาย ชีวิตนี้ไม่อยากจะไปแตะต้องนิยายต่อสู้ในยุทธภพอีกแล้ว
หวังตุ้นเดินมาที่หน้าร้านแล้วชูหมัดขึ้นสูง ถือเป็นการคารวะทักทายทุกคนแล้ว จากนั้นก็โบกมือ “แยกย้ายกันไปเถอะ”
เสียงไชโยโห่ร้องและเสียงให้กำลังใจดังขึ้นๆ ลงๆ จากนั้นก็ค่อยๆ แว่วหายไป
ผู้อาวุโสหวังตุ้นเอ่ยขนาดนี้แล้ว ทุกคนจึงไม่สะดวกใจจะอยู่ต่ออีก
ตอนที่หวังตุ้นย้อนกลับมานั่งที่เดิม เซียนกระบี่ชุดเขียวผู้นั้นก็ได้ไปเก็บหน้าโต๊ะที่แบ่งครึ่งเป็นสองแผ่นอยู่บนพื้นกลับมาวางทับซ้อนบนโต๊ะเหล้าอีกตัวหนึ่งแล้ว
หวังตุ้นนั่งลงแล้วก็ดื่มเหล้าหนึ่งคำ เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ในเมื่อเจ้ามีตบะสูงเช่นนี้ เหตุใดถึงต้องเป็นฝ่ายมาหาข้าหวังตุ้นที่เป็นเพียงแค่นักสู้ในยุทธภพคนหนึ่ง? เพื่อตระกูลที่อยู่เบื้องหลังสตรีสกุลสุยผู้นี้น่ะหรือ? หวังว่าเมื่อพวกเจ้าทั้งสองไปจากแคว้นอู่หลิง มุ่งหน้าขึ้นเขาไปฝึกตนแล้ว ข้าหวังตุ้นจะช่วยดูแลพวกเขาบ้าง?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่ได้มีข้อเรียกร้องเช่นนี้ ข้าเพียงหวังว่าเมื่อข้ามาปรากฏตัวที่นี่จะเป็นการตักเตือนคนบางคนที่อยู่ในมุมมืดว่า หากคิดจะลงมือกับตระกูลสุยก็จะต้องชั่งน้ำหนักถึงผลที่ตามมาจากการถูกข้าไปทวงแค้นดูบ้าง”
หวังตุ้นอืมรับหนึ่งคำพลางผงกศีรษะ “การวางอุบายหลอกลวงกันเองของพวกผู้ฝึกตนบนภูเขา อันที่จริงก็เป็นเพียงแค่บุญคุณความแค้นในยุทธภพที่ทั้งสองฝ่ายมีอายุขัยยืนนานก็เท่านั้น แก่นแท้ไม่มีอะไรแตกต่างกัน ต่างก็ไม่มีความหมายใดๆ กลับเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่น่าจะถือว่าอายุน้อยอย่างเจ้าที่ไม่เหมือนเทพเซียนบนภูเขาซึ่งข้าเคยพบเจอมาในอดีต ดังนั้นเลี้ยงเหล้าเจ้า ข้าจึงไม่รู้สึกว่าเป็นการย่ำยีสุราพวกนี้ให้เสียเปล่า ข้าพูดแบบนี้ ฟังดูวางโตไปหน่อยหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ผู้ฝึกยุทธฝึกตนเน้นย้ำในเรื่องของการเหยียบยืนบนพื้นได้อย่างมั่นคงมากที่สุด ไม่มีทางลัดให้เดิน หากจิตใจและปณิธานไม่สูงสักหน่อย ไม่มองให้ไกลสักหน่อย จะค่อยๆ เดินทีละก้าวไปจนถึงยอดเขาได้อย่างไร”
แม้ว่าหวังตุ้นจะขายเหล้า แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ชื่นชอบดื่มเหล้าสักเท่าไร ส่วนใหญ่แล้วจึงมักจะจิบเหล้าคำเล็กดื่มช้าๆ ไม่เคยมีท่วงท่ากระดกดื่มอย่างผึ่งผาย เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเสียใจว่า “ร้านเหล้าแห่งนี้คงเปิดต่ออีกไม่ได้แล้ว คำพูดจริงใจมากมายของคนในยุทธภพก็คงไม่ได้ยินอีกแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เจ้าหมู่บ้านหวังไม่ชอบฟังถ้อยคำดีๆ ขนาดนี้เชียวหรือ?”
หวังตุ้นเบ้ปาก “ก็ชอบอยู่หรอก ตอนเป็นหนุ่มชอบฟังมากเป็นพิเศษ ตอนนี้ก็ยิ่งรักเลย เพียงแต่ชอบฟังถ้อยคำดีๆ เช่นนี้ หากไม่ยอมรับฟังถ้อยคำจริงใจและถ้อยคำที่ไม่น่าฟังให้มากๆ หน่อย ข้ากลัวว่าข้าหวังตุ้นจะลอยเข้าไปในทะเลเมฆ ถึงเวลานั้นตัวลอยไปแล้ว อีกทั้งยังไม่มีวิชาอภินิหารของเซียนอะไรอีก จะไม่ร่วงตกลงมาตายหรอกหรือ?”
—–