เฉินผิงอันมองสีท้องฟ้า
หวังตุ้นยิ้มถามว่า “ตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ นอกจากสุราดีสิบกว่าไหแล้ว ยังต้องการให้ทางหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวควักอะไรอีกหรือไม่?”
เฉินผิงอันตอบ “ม้าเร็วสองตัว รวมไปถึงที่อยู่ของท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งของแคว้นลวี่อิ๋ง”
หวังตุ้นกังขา “เพียงแค่นี้เองหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าว “แค่นี้ก็มากพอแล้ว”
หวังตุ้นชี้ไปทางโต๊ะคิดเงิน “เหล้าที่อยู่ด้านล่างโต๊ะมีรสชาติกลมกล่อมเข้มข้นยิ่งกว่า เซียนกระบี่เชิญเอาไปได้ตามสบาย”
เฉินผิงอันจึงลุกขึ้นยืนเดินไปที่โต๊ะคิดเงินแล้วเริ่มเทเหล้าใส่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
เปิดไหหนึ่งแล้วก็ตามด้วยอีกไหหนึ่ง
หลังจากเหล้าหมักเก่าแก่ห้าไหถูกเปิดผนึกดินออก หวังตุ้นก็นั่งไม่ติดอีกต่อไป เขาที่นอนฟุบอยู่บนโต๊ะคิดเงินเอ่ยโน้มน้าวเบาๆ ว่า “เดินทางอยู่ในยุทธภพ ดื่มเหล้าอาจทำให้เกิดเรื่อง น่าจะพอได้แล้วล่ะ”
เซียนกระบี่ชุดเขียวที่มองดูแล้วยังหนุ่มอยู่มากผู้นั้นหันหลังให้หวังตุ้น แต่มือที่เทเหล้ากลับไม่ได้หยุดนิ่ง “ไม่เป็นไร บรรจุเหล้าไปมากๆ หน่อยก็สามารถดื่มอย่างประหยัดได้เหมือนกัน”
หวังตุ้นลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเตือนว่า “ข้าสามารถเปลี่ยนหน้ากากใหม่ เปลี่ยนสถานที่ใหม่มาขายเหล้าต่อ”
เซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้นเงยหน้าขึ้นยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขออวยพรล่วงหน้าให้กิจการของเจ้าภูเขาหวังเจริญรุ่งเรือง มีเงินทองไหลมาเทมา”
หวังตุ้นเห็นว่าเขาไม่หลงกลก็ได้แต่เอ่ยต่อว่า “เหล้าเก่าแก่หลายไหที่อยู่ด้านล่างนั้นฤทธิ์แรงเกินไป มีชื่อว่าเหล้าโซ่วเหมย อันที่จริงเป็นเหล้าเก่าเก็บอยู่ใต้ดินของหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวข้า โดยทั่วไปแล้วคนในยุทธภพที่ชอบดื่มเหล้าไม่รู้จักชื่อของเหล้าชนิดนี้ ต่อให้ควักเงินจ่ายได้ไหวก็ไม่กล้ากินเกินสองชาม นั่นเป็นเพราะออกฤทธิ์แรงเกินไป ดังนั้นจึงถูกเรียกว่าสองถ้วยเซหรือไม่ก็สามถ้วยล้ม ไม่สู้เจ้าลองเปลี่ยนเป็นเหล้าธรรมดา รสชาติดีกว่ากันมาก”
คนหนุ่มส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ดื่มเหล้าไม่ใช่ดื่มชา ไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันในเรื่องรสชาติที่คงค้างอยู่ยาวนาน ดื่มเหล้าก็หวังให้เมามาย นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน”
หวังตุ้นทนไม่ไหวอีกต่อไป “ตอนนี้ในหมู่บ้านมีแขกสูงศักดิ์มาเยือนมากมายดุจก้อนเมฆ ขุนนาง สหายในยุทธภพ ผู้มีชื่อเสียงในวงการนักประพันธ์ ต่างก็ไม่อาจเพิกเฉยละเลยได้ เหล้าโซ่วเหมยสามสิบกว่าไหที่เก็บไว้ในหมู่บ้าน คาดว่าคงต้องหมดสิ้นแน่แล้ว การที่ข้ามาหลบหาความสงบอยู่ที่นี่ก็เพราะคิดว่า จะดีจะชั่วก็ยังสามารถเก็บเหล้าโซ่วเหมยไว้ได้สักสองสามไห เจ้าจะไม่เข้าใจกันสักหน่อยหรือ?”
คนหนุ่มเปิดเหล้าโซ่วเหมยไหสุดท้ายแล้ว เขาพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “เหตุใดผู้อาวุโสไม่พูดแต่เนิ่นๆ พอผนึกดินถูกเปิดออกก็ไม่อาจรั้งรสชาติเอาไว้ได้แล้ว ก่อนหน้านี้พวกเรานั่งอยู่ที่โต๊ะก็ดื่มเหล้ากันไปพอสมควร ไม่อย่างนั้นก็คงจะลองชิมรสชาติของเหล้าโซ่วเหมยนี่ดูได้ เวลานี้กลับไม่อาจบรรจุไว้ในกาเหล้าของข้าได้ ช่างน่าเสียดายจริงๆ น่าเสียดายยิ่งนัก ช่างเถิด ในเมื่อเจ้าหมู่บ้านอยากจะเก็บไว้ดื่มเองหนึ่งไห ทำตัวเป็นคนขี้เหนียวที่ยินดีแบ่งเหล้าให้คนอื่นดื่มแค่หนึ่งถ้วยเหมือนข้า ข้าก็คงไม่เอาไปแล้วล่ะ จะเก็บไหนี้ไว้ให้เจ้าภูเขาหวังก็แล้วกัน”
หวังตุ้นโบกมือ หัวเราะร่าเอ่ยว่า “ที่ไหนกันๆ เชิญเจ้าเทเหล้าไปได้ตามสบาย ข้าหวังตุ้นไม่ใช่คนประเภทนั้น มอบเหล้าให้แก่เซียนกระบี่บรรจุไว้ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ถือเป็นเรื่องงดงามในโลกมนุษย์ เป็นเรื่องที่ดีงามเรื่องหนึ่ง”
ดังนั้นถึงท้ายที่สุด เหล้าโซ่วเหมยจึงไม่เหลืออยู่แม้แต่ไหเดียว
หวังตุ้นหมุนตัวกลับ ไม่อยากมองเห็นอีก ท่าทางเสียใจอาลัยอาวรณ์คล้ายสตรีที่ต้องแต่งงานจากบ้านไปไกล
หวังตุ้นที่หันหลังให้โต๊ะคิดเงินถอนหายใจ “จะไปจากที่นี่เมื่อไหร่? หาใช่ว่าข้าไม่กระตือรือร้นอยากรับรองแขก แต่พวกเจ้าอย่าไปที่หมู่บ้านภูเขาส่าส่าวเลยจะดีกว่า ที่นั่นมีแต่การรับรองที่น่าเบื่อหน่าย”
จากนั้นหวังตุ้นก็บอกที่อยู่ของท่าเรือตระกูลเซียนแคว้นลวี่อิงโดยละเอียด
เฉินผิงอันเดินอ้อมออกมาจากโต๊ะคิดเงิน ยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างั้นก็รบกวนเจ้าหมู่บ้านหวังให้คนจูงม้ามาให้สองตัว พวกเราคงไม่ค้างแรมที่เมืองเล็กแล้ว แต่จะออกเดินทางทันที”
หวังตุ้นโบกมือหนึ่งครั้ง ลูกศิษย์ในหมู่บ้านคนหนึ่งที่ตามมาเพราะได้ข่าวก็ถูกเรียกตัวจากมุมของตรอกที่ห่างไปไกลให้มาอยู่ข้างกายเขา เป็นมือกระบี่วัยกลางคนหน้าตาหล่อเหลาปานหยกคนหนึ่ง หวังตุ้นฝึกวรยุทธปะปนกันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นวิชาหมัดวิชาตัวเบา หรือวิชาดาบ กระบี่ ทวนก็ล้วนเป็นบุคคลอันดับหนึ่งอย่างสมศักดิ์ศรีของแคว้นอู่หลิง ดังนั้นในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเขาจึงเชี่ยวชาญกันไปคนละอย่าง คนที่มายังร้านเหล้าผู้นี้ก็คือลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจที่ได้รับการสืบทอดวิชากระบี่จากหวังตุ้น อยู่ในแคว้นอู่หลิงก็สามารถยึดครองตำแหน่งยอดฝีมือสามอันดับแรกด้านวิชากระบี่ได้อย่างมั่นคง พอได้พบกับเฉินผิงอันและรับคำสั่งจากอาจารย์แล้ว ก่อนจะไปจากร้านเหล้าก็ไม่ลืมกุมหมัดคารวะเซียนกระบี่ชุดเขียวผู้นั้น “หวังจิ้งซานลูกศิษย์หมู่บ้านภูเขาส่าส่าวคารวะเซียนกระบี่ วันหน้าหากเซียนกระบี่เดินทางผ่านหมู่บ้าน ขอเซียนกระบี่โปรดชี้แนะวิชากระบี่แก่ผู้น้อยสักหน่อยเถิด”
เฉินผิงอันยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ได้เลย”
หวังตุ้นยิ้มกล่าว “ชี้แนะวิชากระบี่อะไรกัน กระบี่บินบนภูเขาบินไปบินกลับ เจ้าหวังจิ้งซานก็แพ้แล้ว บอกไปตามตรงเถอะว่าอยากเห็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของเซียนกระบี่กับตาตัวเอง จะหาข้ออ้างส่งเดชทำไม ไม่อายคนเขาบ้างหรือ”
เห็นได้ชัดว่าหวังจิ้งซานคุ้นเคยกับนิสัยของอาจารย์ตัวเองดี จึงไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนใดๆ เพียงบอกลาจากไปด้วยใบหน้าแต้มยิ้ม
เพียงไม่นานหวังจิ้งซานก็จูงม้าสองตัวมาจากทางหมู่บ้านภูเขา นอกจากหวังจิ้งซานแล้วยังมีม้าอีกสองตัว ผู้ขี่คือเด็กหนุ่มเด็กสาวคู่หนึ่ง ล้วนเป็นศิษย์น้องชายหญิงของหวังจิ้งซาน
สามคนห้าม้ามาเยือนอำเภอที่ห่างจากหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวไม่ไกลแห่งนี้
คนในหมู่บ้านทั่วไปไม่กล้าเปิดปากขอหวังจิ้งซานว่าจะไปรบกวนอาจารย์ที่ร้านเหล้าเพื่อชมมาดของเซียนกระบี่ในตำนาน ก็มีเพียงลูกศิษย์ที่อาจารย์รักและเอ็นดูที่สุดสองคนนี้เท่านั้นที่สามารถตามตื๊อจนหวังจิ้งซานจำต้องแข็งใจพามาด้วย
หวังตุ้นกับคนต่างถิ่นสองคนนั้นไม่ได้อยู่ที่ร้านเหล้า แต่ยืนอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยมซึ่งห่างจากร้านเหล้าไปไม่ใกล้
ไม่ได้มีคำพูดจาปราศรัยอย่างมีมารยาทอะไร เฉินผิงอันกับสุยจิ่งเฉิงพลิกตัวขึ้นหลังม้าแล้วก็ควบม้าจากไปไกลทันที
เด็กหนุ่มที่สะพายกระบี่เหมือนกับหวังจิ้งซานกำสองมือเป็นหมัด จุ๊ปากพูดว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นเซียนกระบี่อย่างที่กล่าวถึงในตำรา!”
หวังตุ้นยิ้มถาม “ดวงตาสุนัขข้างไหนของเจ้ามองออกเสียล่ะ?”
เด็กหนุ่มไม่กลัวอาจารย์อย่างหวังตุ้นแม้แต่น้อย เขางอนิ้วสองข้างชี้ไปที่ดวงตาของตัวเอง “ล้วนมองออกทั้งคู่!”
ท่าทางเช่นนี้ แน่นอนว่าเรียนรู้มาจากอาจารย์ของเขา
เด็กสาวพกดาบพูดอย่างไม่เห็นเป็นสำคัญว่า “ข้าไม่เห็นจะมองอะไรออกเลย”
เด็กหนุ่มหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าเรียนดาบ ไม่เหมือนข้า แน่นอนว่าไม่อาจสัมผัสได้ถึงปณิธานกระบี่ที่มากมายไร้ที่สิ้นสุดบนร่างของเซียนกระบี่คนนั้น พูดไปแล้วก็ไม่กลัวว่าจะทำให้เจ้าตกใจ ข้าแค่มองไม่กี่ครั้งก็ได้รับผลประโยชน์มหาศาล คราวหน้าที่เจ้าและข้าประลองฝีมือกัน ต่อให้ข้าเพียงแค่ยืมใช้ปราณกระบี่เสี้ยวหนึ่งของเซียนกระบี่ เจ้าก็ยังต้องพ่ายแพ้อย่างมิต้องสงสัย!”
หวังตุ้นตบศีรษะเด็กหนุ่ม “เจ้าเด็กโง่ เมื่อครู่ตอนที่เซียนกระบี่ผู้นั้นอยู่ ทำไมเจ้าไม่พูดแบบนี้เล่า?”
เด็กหนุ่มพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “พลังอำนาจของเซียนกระบี่เปี่ยมล้นเกินไป ข้าถูกปณิธานกระบี่ที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินขุมนั้นสยบกำราบเอาไว้ เลยเปิดปากไม่ออก”
หวังตุ้นเงื้อฝ่ามือตบไปอีกครั้ง ทำเอาเด็กหนุ่มหัวสั่น “ไสหัวไปไกลๆ เลย”
เด็กหนุ่มเดินอาดๆ ก้าวออกไป ก่อนจะหันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “ตอนที่เดินทางมา ได้ยินศิษย์พี่จิ้งซานเล่าว่าหลูต้าหย่งเจียวพลิกแม่น้ำผู้นั้นได้ลิ้มรสกระบี่บินของเซียนกระบี่ ข้าจะไปถามดูเสียหน่อย หากไม่ทันระวังให้ข้าได้สัมผัสกับปณิธานที่แท้จริงของกระบี่บินอีกเสี้ยวหนึ่ง เฮอะๆ อย่าว่าแต่ศิษย์พี่หญิงเลย ต่อให้เป็นศิษย์พี่จิ้งซาน วันหน้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอีกต่อไป สำหรับข้าแล้ว นั่นจะเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่สำหรับศิษย์พี่จิ้งซาน กลับเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเสียนี่กระไร”
กล่าวจบเด็กหนุ่มที่สะพายกระบี่ก็ก้าวเท้าเผ่นแน่บไปอย่างรวดเร็วราวกับบิน
หวังจิ้งซานกลั้นยิ้ม “อาจารย์ นิสัยกวนๆ นี้ของศิษย์น้องเหมือนใครกันแน่นะ?”
เพื่อปัดเรื่องให้พ้นตัว หวังตุ้นจึงเริ่มสาดโคลนส่งเดช “น่าจะเหมือนศิษย์พี่หญิงใหญ่ของพวกเจ้ากระมัง”
ฟู่โหลวไถลูกศิษย์ใหญ่ของหวังตุ้น ใช้ดาบ แล้วก็เป็นปรมาจารย์วิชาดาบสามอันดับแรกของแคว้นอู่หลิง อีกทั้งฟู่โหลวไถยังแตกฉานในวิชากระบี่ เพียงแต่ว่าเมื่อหลายปีก่อนแม่นางเฒ่าผู้นั้นแต่งงานออกเรือนไปแล้ว คอยช่วยเหลือสามีอบรมบุตร แล้วก็เลือกที่จะออกจากยุทธภพไปอย่างสิ้นเชิง ส่วนคนที่นางแต่งงานด้วยกลับไม่ใช่จอมยุทธใหญ่ในยุทธภพที่เหมาะสมคู่ควรกัน แล้วก็ไม่ใช่ลูกหลานชนชั้นสูงที่คนในตระกูลเป็นขุนนางสืบทอดต่อกันมาหลายสมัย เป็นเพียงแค่บุรุษธรรมดาที่พอมีฐานะ อีกทั้งยังเด็กกว่านางตั้งเจ็ดแปดปี ที่น่าประหลาดก็คือคนทั้งหมู่บ้านภูเขาส่าส่าว นับตั้งแต่หวังตุ้นไปจนถึงเหล่าศิษย์น้องชายหญิงของฟู่โหลวไถกลับไม่มีใครรู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะสม แล้วก็ไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยกับคำซุบซิบนินทาในยุทธภพ ในอดีตตอนที่หวังตุ้นไม่อยู่ในหมู่บ้าน อันที่จริงก็เป็นฟู่โหลวไถที่ทำหน้าถ่ายทอดวิชาความรู้ ต่อให้หวังจิ้งซานจะมีอายุมากกว่าฟู่โหลวไถ แต่ก็ยังเคารพนับถือศิษย์พี่หญิงใหญ่อย่างมาก
ดังนั้นเด็กสาวจึงพูดบ่นอย่างคนไม่ได้รับความเป็นธรรมว่า “อาจารย์ ไม่ใช่ว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่อยู่ในหมู่บ้านแล้วแล้วท่านผู้อาวุโสจะฆ่าลาเมื่อเสร็จงานโม่แป้งได้นะ แบบนี้ออกจะไม่มีคุณธรรมในยุทธภพเกินไปหน่อยแล้ว”
หวังตุ้นแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน พาลูกศิษย์ทั้งสองเดินไปทางร้านเหล้า
หลังจากปิดร้านเหล้าแห่งนี้แล้ว แน่นอนว่าก็ต้องย้ายรังใหม่
หวังตุ้นนั่งอยู่ข้างโต๊ะสุรา หวังจิ้งซานจึงเริ่มอาศัยโอกาสนี้รายงานสถานการณ์ล่าสุดของหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวให้ผู้เฒ่าฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรายรับรายจ่าย การไปมาหาสู่กับผู้อื่น ฤกษ์ดีในการแขวนกรอบป้ายที่ฮ่องเต้ประทานให้ควรเป็นวันใด จอมยุทธใหญ่คนใดของพรรคใดมอบเทียบเชิญและของขวัญมาให้ แต่กลับไม่ได้เข้ามาพักในหมู่บ้าน หรือมีใครที่ตอนมาพักแรมได้มาร้องทุกข์กับเขาหวังจิ้งซาน ต้องการให้หวังตุ้นช่วยนำความไปบอกต่อแก่คนอื่นเมื่อไหร่ แล้วมีงานเลี้ยงฉลองครบรอบวันเกิดของผู้เฒ่าในยุทธภพคนใดของพรรคใด หมู่บ้านภูเขาส่าส่าวจำเป็นต้องให้ใครไปมอบของขวัญ รองเจ้ากรมท่านหนึ่งของที่ว่าการกรมอาญาส่งจดหมายมาที่หมู่บ้าน ต้องการให้หมู่บ้านส่งคนไปช่วยทางการคลี่คลายคดีคนตายในเมืองหลวง…
หวังตุ้นหยิบกาเหล้าที่อยู่บนโต๊ะเทเหล้าลงในถ้วยขาวใบใหญ่แล้วดื่มเหล้าคำแล้วคำเล่า เรื่องบางอย่างที่หวังจิ้งซานตัดสินใจมาเรียบร้อยแล้ว ส่วนใหญ่หากผู้เฒ่าพยักหน้ารับก็จะถือว่าผ่านไปได้ แต่หากรู้สึกว่ายังไม่เหมาะสมมากพอก็จะเปิดปากชี้แนะสองสามคำ เรื่องบางอย่างที่หวังตุ้นคิดว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญก็จะพูดอย่างละเอียด หวังจิ้งซานก็จะจดจำไปทีละเรื่อง
เด็กสาวพกดาบที่นั่งอยู่ด้านข้างฟังจนหาว แต่ก็ไม่กล้าขอสุราดื่ม ได้แต่นอนฟุบตัวอยู่บนโต๊ะ มองไปทางถนนของโรงเตี๊ยม แอบคิดในใจว่าสตรีที่สวมหมวกคลุมหน้าผู้นั้นหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ จะเป็นสาวงามคนหนึ่งหรือไม่? หรือว่าพอปลดหมวกมาแล้ว หน้าตาจะงั้นๆ เอง ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกตื่นตะลึงได้สักเท่าไร? แต่เด็กสาวก็ยังรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เซียนกระบี่ที่เดิมทีคิดว่าชั่วชีวิตนี้อาจไม่มีโอกาสได้พบเจอสักครั้ง นอกจากความอ่อนเยาว์ที่ทำให้คนตกตะลึงแล้ว อย่างอื่นๆ ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรสอดคล้องกับภาพลักษณ์ของเซียนกระบี่ที่อยู่ในใจนางสักเท่าไร
หวังจิ้งซานพูดอยู่นานเกือบครึ่งชั่วยามถึงจะรายงานเรื่องความครึกครื้นที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านช่วงที่ผ่านมาได้จบ
หวังจิ้งซานไม่เคยดื่มสุรา ยึดติดลุ่มหลงอยู่กับวิชากระบี่ ยิ่งไม่เคยใกล้ชิดสตรี แล้วยังเป็นมังสวิรัติ แต่พอศิษย์พี่หญิงใหญ่อย่างฟู่โหลวไถถอยออกจากยุทธภพ กิจธุระต่างๆ ในหมู่บ้าน ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นเขากับผู้ดูแลผู้เฒ่าคนหนึ่งที่คอยจัดการ ฝ่ายหลังจะรับผิดชอบเรื่องภายในเป็นหลัก ส่วนหวังจิ้งซานรับผิดชอบเรื่องภายนอก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ดูแลเฒ่าอายุมากแล้ว มีต้นตอโรคมากมายถูกทิ้งไว้ยามท่องอยู่ในยุทธภพในอดีต เรี่ยวแรงจึงเริ่มหดหาย ดังนั้นส่วนมากจึงเป็นหน้าที่รับผิดชอบของหวังจิ้งซาน ก็เหมือนอย่างครั้งนี้ที่หลังจากหวังตุ้นผู้เป็นอาจารย์ได้เลื่อนสู่อันดับสิบคน ผู้ดูแลเฒ่าก็เริ่มยุ่งวุ่นวายหัวไม่วางหางไม่เว้น ต้องให้หวังจิ้งซานออกหน้าไปสานสัมพันธ์กับผู้อื่น เพราะถึงอย่างไรคนในยุทธภพจำนวนไม่น้อยที่พอจะมีชื่อเสียง แม้แต่ลูกศิษย์ของหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวที่มาต้อนรับตนมีสถานะอะไร ตบะเท่าไรก็ยังคิดเล็กคิดน้อยยิบย่อย หากหวังจิ้งซานออกหน้าด้วยตัวเอง แน่นอนว่าพวกเขาต้องรู้สึกว่ามีหน้ามีตา แต่หากเป็นลู่จัวที่พรสวรรค์ในการฝึกตนย่ำแย่ที่สุดในบรรดาลูกศิษย์มากมายของผู้อาวุโสหวังตุ้นรับผิดชอบเป็นผู้รับรอง แขกเหล่านั้นก็จะพากันบ่นพึมพำ
หวังตุ้นยกถ้วยเหล้าขึ้นดื่ม พอวางลงแล้วจึงกล่าวว่า “จิ้งซาน เจ้าขุ่นเคืองศิษย์พี่หญิงฟู่ของเจ้าไหม? หากนางยังอยู่ในหมู่บ้าน กิจธุระวุ่นวายเหล่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าแบกไว้บนบ่าเพียงลำพัง ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะเลื่อนเป็นขอบเขตเจ็ดได้เร็วกว่านี้”
หวังจิ้งซานยิ้มกล่าว “หากจะบอกว่าไม่นึกตำหนินางเลย ขนาดตัวข้าเองก็ยังไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจสักเท่าไร หากจะบอกว่าไม่พอใจจริงๆ ก็คงจะเป็นข้อที่ว่าเหตุใดศิษย์พี่หญิงฟู่ถึงได้ออกเรือนไปกับบุรุษธรรมดาสามัญเช่นนั้น เพราะคิดเสมอมาว่าศิษย์พี่หญิงจะต้องหาคนที่ดีกว่านี้ได้”
หวังตุ้นยิ้มกล่าว “เรื่องความรักของชายหญิง หากสามารถใช้เหตุผลได้ คาดว่าคงไม่มีนิยายบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญมากมายจนเหมือนน้ำท่วมเอ่อกลายเป็นอุทกภัยพวกนั้นแล้ว”
หัวข้อประเภทนี้ หวังจิ้งซานไม่เคยสนใจอยากมีส่วนร่วมด้วย
ในความเป็นจริงแล้วต่อให้จะไม่ค่อยชอบบุรุษที่บางครั้งจะติดตามศิษย์พี่หญิงฟู่มาปรากฏตัวในหมู่บ้านภูเขา และทุกครั้งจะต้องทำท่าทางขลาดกลัวไม่ชวนให้ชื่นชอบผู้นั้นสักเท่าไร แต่หวังจิ้งซานก็ปฏิบัติต่อเขาอย่างมีมารยาทเสมอ มารยาทเรื่องใดที่ควรมีก็ไม่เคยขาดไปแม้แต่น้อย ไม่เพียงเท่านี้ ยังพยายามสั่งห้ามพวกศิษย์น้องชายหญิงทั้งหลาย เพราะกังวลว่าหากพวกเขาไม่ระวังเปิดเผยอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ออกไป สุดท้ายคนที่ลำบากใจก็ยังคงเป็นศิษย์พี่หญิงฟู่
—–