ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา เฉินผิงอันที่ไม่เอ่ยอะไรสักคำก็กลับเข้าไปในห้อง
สุยจิ่งเฉิงไม่มีอะไรทำก็เลยหมุนบิดใบบัวที่ยังคงเป็นสีเขียวปลั่งใบนั้นต่อ
ฉีจิ่งหลงเอ่ยว่า “จะถือสาหรือไม่หากข้าจะเอ่ยถ้อยคำบางอย่างที่เกี่ยวพันกับการฝึกตนของเจ้า หาใช่ว่าข้าจงใจจะสืบเสาะไม่ แต่เป็นเพราะทั้งการหายใจทำสมาธิ การโคจรลมปราณของเจ้า ล้วนทำให้ข้ารู้สึกคุ้นเคย”
สุยจิ่งเฉิงส่ายหน้า “ถือสิ”
เพียงแต่ว่านางหันหน้าไปชำเลืองมองตรงห้องนั้นแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “ท่านหลิว ท่านลองพูดมาเถอะ”
ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “วิชาการเข้าฌานทำสมาธิของเจ้า เหมือนกับหลี่อวี๋เซียนซือ ไท่เสียหยวนจวินที่เป็นหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายของฮว่อหลงเจินจวินอย่างมาก”
สุยจิ่งเฉิงกล่าวอย่างกังขา “ท่านหลิว เดี๋ยวนะ แม้ว่าข้าจะไม่รู้กฎเกณฑ์มากมายบนภูเขา แต่ติดตามผู้อาวุโสเดินทางมาตลอดทางนี้ก็รู้ดีว่าเจินเหรินของลัทธิเต๋ามีขอบเขตแค่เซียนดิน ทว่าหากเป็นหยวนจวิน อย่างน้อยก็ต้องเป็นขอบเขตหยกดิบของห้าขอบเขตกลางไม่ใช่หรือ เป็นเพราะหลี่อวี๋เซียนซือมีพรสวรรค์ดีเกินไป เป็นครามที่เกิดจากต้นคราม แต่สีเข้มกว่าคราม เป็นศิษย์ที่เหนือกว่าอาจารย์อย่างนั้นหรือ?”
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องน่าสนใจบนภูเขาของอุตรกุรุทวีปเรา ฮว่อหลงเจินจวินท่านนั้นเป็นเซียนซือต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์จากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ข่าวลือบางอย่างบอกว่า…ช่างเถิด เรื่องนี้ไม่อาจพูดส่งเดชได้ ข้าคงไม่พูดถึงแล้ว แต่สรุปก็คือเทพเซียนผู้เฒ่าท่านนี้มีขอบเขตสูงมาก สูงมากอย่างถึงที่สุด ก็แค่ใช้ยศเจินเหรินมาโดยตลอดก็เท่านั้น อีกทั้งยังเล่าลือกันว่าเขาชอบนอนหลับมาก สามารถฝึกตนและบรรลุมรรคาได้ในความฝัน ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างถึงที่สุด ส่วนหลี่อวี๋นั้นคือหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของฮว่อหลงเจินจวิน เนื่องจากการรับลูกศิษย์ของเทพเซียนผู้เฒ่าขึ้นอยู่กับความชอบของเขาเอง ไม่ได้ดูที่พรสวรรค์ ไม่ดูที่ฐานกระดูก ทุกครั้งที่ลงจากภูเขาล้วนจะต้องพาคนสองคนกลับไปด้วยเสมอ เป็นเหตุให้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่อยู่ในทำเนียบวงศ์ตระกูลศาลบรรพจารย์มีมากถึงสี่สิบห้าสิบคน ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนาน ก็มีทั้งคนอย่างหลี่อวี๋เซียนซือที่ได้เลื่อนขั้นเป็นหยวนจวินแห่งลัทธิเต๋า แต่ว่าที่ว่ามากกว่านั้นกลับแก่ตายไปบนคอขวดใหญ่จุดต่างๆ ขอบเขตถ้ำสถิตไปจนถึงขอบเขตก่อกำเนิดจะมีค่อนข้างเยอะ ตอนนี้บนภูเขายังเหลือผู้สืบทอดอีกยี่สิบกว่าคนที่ฝึกตนกันต่อไป เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนแต่ละรุ่นมีความต่างทางอายุค่อนข้างมาก ขอบเขตก็ยิ่งต่างชั้นกันไกลโข ไท่เสียหยวนจวินท่านนี้ปิดด่านมาหลายปีแล้ว ทว่าสายของนางได้แตกกิ่งก้านสาขาออกไป มีลูกศิษย์อยู่บนภูเขาเยอะที่สุด ลูกศิษย์สามรุ่นนับจากนางมาก็มีถึงร้อยกว่าคน”
สุยจิ่งเฉิงหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
ผู้อาวุโสเคยบอกว่าตัวอักษรที่สลักบนปิ่นทองชิ้นหนึ่งในสามชิ้นนั้น มีคำว่า ‘ไท่เสียอี้กุ่ย’!
สุยจิ่งเฉิงรีบสงบจิตใจของตัวเอง
ความคิดในใจเริ่มตีกันวุ่นวาย
ฉีจิ่งหลงหันหน้ามาชำเลืองตามองสุยจิ่งเฉิงด้วยสายตาซับซ้อน ช่างเถิด เรื่องบางอย่างมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ไม่อาจพูดโพล่งออกไปได้ ผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไรก็ให้ท่านเฉินผู้นั้นปวดหัวไปแล้วกัน
อันที่จริงรากฐานมหามรรคาของสุยจิ่งเฉิงไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น นางจะต้องเป็นลูกศิษย์ที่ไท่เสียหยวนจวิน หลี่อวี๋เซียนซือหมายตาอย่างแน่นอน ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่าความเป็นไปได้นั้นทั้งมีสูงมาก แล้วก็มีน้อยนิดในขณะเดียวกัน เพราะก่อนหน้าที่หลี่อวี๋จะปิดด่านซึ่งเป็นด่านใหญ่ตัดสินเป็นตาย นางได้รับลูกศิษย์คนสุดท้ายที่ฐานกระดูกดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุดคนหนึ่งมาไว้แล้ว ตอนนี้อายุยังไม่ถึงสี่สิบปี แต่กลับกลายเป็นตัวเลือกที่จะได้เสียบแทนคนหนุ่มสาวผู้โดดเด่นสิบคนรุ่นถัดไปของอุตรกุรุทวีปหากมีใครตกอันดับไป
ผู้ฝึกตนบนภูเขา ยิ่งอยู่บนยอดเขามากเท่าไร เรื่องของการให้สถานะอาจารย์และศิษย์ก็ยิ่งไม่อาจทำแบบขอไปทีได้มากเท่านั้น
อีกอย่างถึงอย่างไรท่านเฉินผู้นั้นก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินที่แท้จริง จึงไม่แน่เสมอไปว่าจะมองความลี้ลับที่ซุกซ่อนอยู่บนร่างของสุยจิ่งเฉิงออก เพียงแต่ว่านี่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายเสมอไป
ไม่ว่าจะอย่างไร ดูจากปณิธานกระบี่อ่อนจางที่อยู่บนร่างของสุยจิ่งเฉิงขุมนั้น ฉีจิ่งหลงก็พอจะเดาออกถึงเบาะแสเสี้ยวหนึ่ง วิธีการฝึกตนเช่นนี้อันตรายเกินไป แล้วก็ค่อนข้างจะเป็นปัญหา หากจัดการไม่เหมาะสมจะเกี่ยวพันไปถึงรากฐานมหามรรคา
ฉีจิ่งหลงถึงขั้นที่พอจะไล่ตามเส้นสายเส้นนี้ รวมไปถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างผู้ฝึกตนใหญ่บางส่วนของอุตรกุรุทวีป จนได้ข้อสรุปที่มากกว่าเดิม
แต่ว่าเรื่องราวมากมายบนภูเขา รู้ได้ แต่ไม่อาจพูดออกมาได้
ส่วนลูกศิษย์คนเล็กของหยวนจวินท่านนั้นอย่างกู้โม่นั้น ฉีจิ่งหลงเคยเจอนางครั้งหนึ่งระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยวหาประสบการณ์ พรสวรรค์ของนางดีเยี่ยมอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่านิสัยกลับออกจะเจ้าอารมณ์ไปสักหน่อย
สายของไท่เสีย ล้วนเป็นแบบนี้เสมอมา
ลงจากภูเขามากำจัดปีศาจปราบมาร ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง ตัวตายมรรคาดับสลายจะนับเป็นอะไรได้
ขอแค่มีเหตุผล ต่อให้เจอกับผู้ฝึกตนที่ขอบเขตสูงกว่าสองสามขอบเขต เทียนซือต่างแซ่ทุกคนในสายของไท่เสียก็ล้วนจะออกกระบี่เหมือนกัน
และในประวัติศาสตร์ก็มีผู้ฝึกตนเซียนดิน รวมไปถึงเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนมากมายที่เงื้อกระบี่สังหารผู้ฝึกตนน้อยแห่งลัทธิเต๋าที่ไม่รู้กาลเทศะเหล่านั้น เดิมนึกว่าเรื่องจะจบลงอย่างเงียบเชียบ ทว่าคนส่วนใหญ่ล้วนถูกไท่เสียหยวนจวินหรือไม่ก็เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องของนางไล่ฆ่าอย่างไม่มีข้อยกเว้น หากมีผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาที่สามารถสกัดขวางหรือโจมตีให้พวกเขาถอยร่นได้ก็ไม่เป็นไร ท่ามกลางประวัติศาสตร์อันยาวนานนับพันปีของฮว่อหลงเจินจวินนี้ เคยมีสองครั้งที่เขาลงจากภูเขา ครั้งหนึ่งตบให้ผู้ฝึกตนสำนักการทหารขอบเขตสิบสองคนหนึ่งตายอย่างง่ายๆ และการลงมืออีกครั้งก็สังหารเซียนกระบี่ขอบเขตสิบสองที่คิดว่ามีความสามารถมากพอจะปกป้องตัวเองได้ให้ตายไปโดยตรง ตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้เฒ่าไม่เคยมีความเสียหายแม้แต่น้อย ถึงขั้นที่ว่าการเข่นฆ่าบนยอดเขาที่เดิมทีควรจะรุนแรงจนฟ้าดินเปลี่ยนสี กลับกลายเป็นว่าไม่มีคลื่นเคลื่อนไหวใดๆ
ตะวันจันทราผลัดเปลี่ยน กลางวันกลางคืนสลับผัน
เมื่อเฉินผิงอันเดินออกจากห้องมาเป็นครั้งที่สอง สุยจิ่งเฉิงก็รีบออกจากห้องตัวเองทันที
คราวนี้ฉีจิ่งหลงไม่ได้พูดอะไร
เฉินผิงอันยังคงนั่งลงบนม้านั่งตัวยาว ใบบัวที่วางไว้บนม้านั่งยาวตัวนั้น หลังจากปราณวิญญาณสลายหายไปแล้วก็ปรากฏลางว่าจะเหี่ยวแห้ง สีสันไม่เป็นสีเขียวขจีสดปลั่งเหมือนเดิมอีกต่อไป
สุยจิ่งเฉิงไม่ได้นั่งลงบนเก้าอี้ เพียงแค่ยืนอยู่ห่างไปไม่ไกล
สะโอดสะองดุจดอกผุดตาน
เฉินผิงอันหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาดื่มเหล้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ต้องเป็นกังวล”
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ขนาดเจ้ายังไม่เป็นกังวล แล้วข้าจะต้องกังวลอะไร”
เฉินผิงอันหันหน้ามามอง “รบกวนเจ้าแล้ว”
คำตอบของฉีจิ่งหลงกระชับเรียบง่าย “ไม่ต้องเกรงใจ”
เฉินผิงอันถาม “ท่านหลิว เกี่ยวกับการกำราบวานรในใจของลัทธิพุทธ เจ้ามีความเข้าใจเป็นของตัวเองหรือไม่?”
ฉีจิ่งหลงส่ายหน้า “เข้าใจเพียงแค่ผิวเผิน ไม่มีค่าพอให้พูดถึง วันหน้าหากเข้าใจได้ถึงจุดที่สูงยิ่งกว่านี้แล้วค่อยจะบอกให้เจ้าฟังอีกครั้ง”
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ข้าเคยเจอกับภิกษุสมณศักดิ์สูงที่บรรลุพระธรรมอยู่คนหนึ่ง ดังนั้นพอจะมีความคิดบางอย่างอยู่บ้าง ลองมาคุยกันดูดีไหม?”
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “แบบนี้ย่อมดีที่สุด”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ยื่นฝ่ามือออกมาข้างหนึ่ง งอนิ้วทั้งห้าเหมือนตะขอแล้วค้างนิ่งไม่ขยับ เหมือนกำลังพันธนาการวัตถุอะไรบางอย่าง “แบบนี้เรียกว่ากำราบหรือไม่?”
ฉีจิ่งหลงใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งอยู่ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า “หากเริ่มต้นก็เป็นเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่อย่างแน่นอน แต่หากว่าเป็นผลลัพธ์สุดท้าย ก็ไม่ถือว่าสมบูรณ์แบบนัก”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ จากนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งยอง ใช้ปลายนิ้วยันพื้นที่ปูด้วยแผ่นหินสีเขียวซึ่งอยู่ข้างสระบัวเอาไว้ จากนั้นก็วาดเส้นสองเส้นตื้นๆ ขึ้นมา ก่อนจะวาดเส้นอีกหลายเส้นแผ่ออกไปสี่ด้านแปดทิศ
สุดท้ายเขายื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาปาดลบเส้นทั้งหมด ทว่ากลับไม่ได้ลบเกลี้ยง ยังคงเหลือร่องรอยของเส้นเล็กๆ น้อยๆ ที่บ้างก็เชื่อมโยง บ้างก็ขาดออกจากกัน
ฉีจิ่งหลงถามว่า “นี่ก็คือสภาพจิตใจของพวกเรา? จิตใจดุจวานรและม้าพยศที่วิ่งตะบึงไปสี่ทิศ มองดูเหมือนว่าได้ย้อนกลับมาจุดเดิมของจิตดั้งเดิม แต่ขอแค่ไม่ทันระวัง อันที่จริงร่องรอยอื่นๆ บนเส้นทางหัวใจก็ไม่ได้ถูกเช็ดทิ้งได้สะอาดอย่างแท้จริง?”
เฉินผิงอันไม่ได้เอ่ยอะไร เขาลุกขึ้นเดินไปใช้มือขวาวักน้ำกอบมือเล็กๆ มาจากบ่อ แล้วเดินกลับมายืนใกล้กับวงกลมนั้น มือซ้ายอีกข้างหนึ่งหยิบเอาน้ำหนึ่งหยดมาหยดลงตรงใจกลางของวงกลม
ฉีจิ่งหลงเพ่งสายตามองไป
จากนั้นเฉินผิงอันก็ทรุดตัวนั่งยอง เอามือข้างหนึ่งปาดออกไปเบาๆ
บนพื้นกระดานหินเขียว มองดูเหมือนว่าไม่มีหยดน้ำเหลืออยู่แล้ว แต่ท่ามกลางร่องรอยที่อ่อนจางนั้นกลับยังมีน้ำเส้นเล็กๆ ที่ไหลลามไปสี่ทิศ อีกทั้งยังสั้นยาวไม่เท่ากัน ไกลใกล้ไม่เหมือนกัน
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มกล่าวว่า “ท่านหลิวพูดถูกแล้ว”
ฉีจิ่งหลงคิดแล้วก็เอ่ยว่า “แต่เมื่อวานรที่ไม่อยู่นิ่งและม้าพยศเหยียบย่างผ่านไปแล้วจะต้องทิ้งร่องรอยไว้จริงๆ หรือ? จะไม่ใช่รอยเท้าในหิมะที่พอดวงตะวันขึ้น ถูกแสงแดดสาดส่องก็หลอมละลายไปอย่างสิ้นเชิงหรอกหรือ?”
จากนั้นคนทั้งสองต่างก็จมเข้าสู่ภวังค์การครุ่นคิด
สุยจิ่งเฉิงมานั่งยองอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน นางพยายามเบิกตากว้างหวังให้ตัวเองมองเห็นอะไรบางอย่าง
ไม่อย่างนั้นหากยังเอาแต่มึนงงอยู่อย่างนี้จะไม่ขายหน้ามากหรอกหรือ?
เมื่อนางเงยหน้าขึ้น
ก็สังเกตเห็นว่าผู้อาวุโสชำเลืองตามองนาง
นางจึงกลับไปนั่งบนม้านั่งยาว วางท่าว่า ‘ข้าควรจะไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง’
เฉินผิงอันตบศีรษะตัวเอง โยนน้ำในบ่อที่อยู่กลางฝ่ามือทิ้ง บิดข้อมือหนึ่งครั้ง ในมือก็มีคัมภีร์ลัทธิพุทธที่เป็นกระดาษสีเขียวแผ่นนั้นปรากฎ เขาลุกขึ้นยืน นำมันมามอบให้ฉีจิ่งหลง “ข้าไม่รู้จักภาษาสันสกฤต เจ้าลองดูสิว่าเป็นบทไหนในคัมภีร์พุทธ?”
ฉีจิ่งหลงรับกระดาษแผ่นนั้นมาแล้วก็ยิ้มกล่าว “บท? นี่ก็คือพระธรรมที่สมบูรณ์แบบเล่มหนึ่ง”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง แล้วทรุดตัวลงนั่งข้างกายอีกฝ่าย
ฉีจิ่งหลงคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ข้าคงไม่บอกเนื้อหากับเจ้าให้มากความแล้ว วันหน้าเมื่อเจ้าได้เข้าวัดตามโชควาสนานำพา ก็ลองไปถามภิกษุเอาเอง จำไว้ว่าต้องเก็บเอาไว้ให้ดี”
เฉินผิงอันเก็บกระดาษ…เก็บคัมภีร์พุทธเล่มนั้นลงไป
แล้วเขาก็พลันหัวเราะออกมา “ก็ดีเหมือนกัน แม้ว่าจะไม่รู้จักตัวอักษรของคัมภีร์พระพุทธ แต่ก็สามารถเอามาใช้คัดตัวอักษรให้จิตใจสงบได้”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เตรียมจะไปคัดตัวอักษรอยู่ในห้อง
สุยจิ่งเฉิงทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูด
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร”
ขอบตาของสุยจิ่งเฉิงแดงก่ำ
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “อย่าคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะชักดาบไม่จ่ายเงินได้”
สุยจิ่งเฉิงถลึงตาใส่เขา บิดเอวเดินกลับไปนั่งลงบนม้านั่งตัวยาว
สายตาของฉีจิ่งหลงมองตรงไปด้านหน้าตลอดเวลา เขากะพริบตาปริบๆ ในใจคิดว่าท่านเฉินนับว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งเลยทีเดียว
หรือว่าตนควรจะขอเรียนรู้จากเขาดูสักหน่อย?
เพราะถึงอย่างไรทั้งในและนอกสำนัก บนและล่างภูเขา สายตาของผู้ฝึกตนหญิงหลายคนล้วนทำให้ฉีจิ่งหลงรู้สึกผิดและละอายใจได้ทั้งสิ้น
นี่ก็คือปัญหาของการใช้เหตุผลกับทุกเรื่อง
ไม่ส่งผลกระทบต่อการฝึกตนบนมหามรรคาและความใสกระจ่างของจิตแห่งกระบี่ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องน่าเสียดายจำนวนมากที่เกิดขึ้นเพราะตน ตนไม่เป็นไร ทว่าพวกนางกลับเป็น แบบนี้ไม่ค่อยดีสักเท่าไร
วันนี้หลังจากที่เฉินผิงอันคัดตัวอักษรเสร็จก็ปิดด่านต่ออีกครั้ง เริ่มจุดไฟเปิดเตาตู้ทองห้าสีใบนั้น
หลอมดินห้าสีของขุนเขาใหญ่ต้าหลีเป็นครั้งสุดท้าย
ท่ามกลางม่านราตรีของคืนนี้
ฉีจิ่งหลงหลับตาทำสมาธิ
ส่วนสุยจิ่งเฉิงนั่งเหม่อลอย
ฉีจิ่งหลงลืมตาขึ้น หันหน้าไปตวาดเบาๆ “วอกแวกอะไร ด่านสำคัญบนมหามรรคา เชื่อใจคนข้างกายสักครั้งจะเป็นไรไป หรือว่าเดียวดายอยู่เพียงลำพังตลอดเวลานั้นดีจริงๆ?!”
ริ้วคลื่นที่ค่อนข้างวุ่นวายในห้องแห่งนั้นกลับคืนสู่ความนิ่งสงบอีกครั้ง
สุยจิ่งเฉิงตื่นตระหนกเล็กน้อย “มีศัตรูมาลอบโจมตีหรือ? เป็นเทพเซียนตำหนักเกล็ดทองผู้นั้น?”
ฉีจิ่งหลงส่ายหน้า แต่กลับไม่พูดอะไรให้มากความ
แสงกระบี่สีขาวเส้นหนึ่งและแสงอร่ามระยิบระยับเส้นหนึ่งพากันพุ่งมาจากขอบฟ้าที่ห่างไปไกล พลังอำนาจนั้นมากพอจะสร้างความอึกทึกครึกโครมให้กับตลอดทั้งท่าเรือหัวมังกรแคว้นลวี่อิงได้
ผู้ฝึกตนแทบทุกคนในโรงเตี๊ยมเงยหน้ามองแวบหนึ่ง ทุกคนที่ไม่ว่าจะเดินเล่นอยู่ในโรงเตี๊ยมหรือพูดคุยกันอยู่ในลานบ้านก็ล้วนพากันกลับเข้าไปในห้อง
แสงกระบี่เส้นนั้นพลิ้วกายลงฝั่งตรงข้ามของสระบัว ส่วนแสงเรืองรองเส้นนั้นพลิ้วกายลงบนใบบัวกลางสระ
ผู้ฝึกตนหญิงกู้โม่ ลูกศิษย์คนสุดท้ายของไท่เสียหยวนจวินหลี่อวี๋ สวมชุดนักพรตเต๋าพิเศษของเซียนซือต่างแซ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ บนชุดคลุมเต๋าปักเป็นรูปเมฆสีแดงสดหลายดอก บนเมฆมีประกายแสงไหลเวียนวน แผ่รัศมีออกมารอบทิศ
ชุดคลุมอาคม ‘ไท่เสีย’ นี้ (เสียแปลว่าแสงอรุโณทัย/แสงสีเงินสีทอง/เมฆที่อาบย้อมไปด้วยสีสันยามพระอาทิตย์ขึ้นและตก) ก็คือหนึ่งในวัตถุขึ้นชื่อของหลี่อวี๋ ไท่เสียหยวนจวิน
อีกคนหนึ่งคือผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่โดดเด่นมากคนหนึ่ง แต่กลับไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาของฮว่อหลิงเจินเหริน
เป็นเช่นนี้จริงเสียด้วย
ฉีจิ่งหลงกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ
ผู้ฝึกตนบนภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนหญิงล้วนต้องมี ‘เพื่อนสาวที่สนิทสนม’ อยู่เสมอ
แน่นอนว่าไท่เสียหยวนจวินก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่เซียนกระบี่หญิงที่อยู่ภาคกลางของอุตรกุรุทวีปผู้นั้นไม่ได้ไปเยือนภูเขาห้อยหัว ก็สามารถเข้าใจได้แล้ว
นี่น่าจะเป็นเพราะรอให้สหายรักอย่างหลี่อวี๋ออกด่านมาได้สำเร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน
—–