นักพรตสองคนหนึ่งแก่หนึ่งหนุ่มกำลังเดินอยู่ริมหนองน้ำใหญ่ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ลมฤดูใบไม้ร่วงเยือกเย็น นักพรตเฒ่าบอกกับลูกศิษย์ว่าต้องการไปพบกับสหายเก่าคนหนึ่ง
คนหนุ่มผู้เป็นลูกศิษย์ก็ไม่ได้ถามว่าคนที่อีกฝ่ายจะไปพบเป็นใครกันแน่ ขอบเขตสูงหรือไม่ เพราะไม่มีความจำเป็น
ปีนั้นตอนที่ไปเยือนเกาะโดดเดี่ยวนอกมหาสมุทรแล้วถูกบัณฑิตคนหนึ่งปฏิเสธไม่ให้เข้าพบ
นักพรตหนุ่มก็อดปลงอนิจจังกับตบะของอาจารย์ตัวเองไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออาจารย์บอกว่าบัณฑิตคนนั้นไม่ใช่เทพเซียนพสุธาอะไร ยิ่งไม่ใช่ขอบเขตหยกดิบ ขอบเขตเซียนเหรินหรือขอบเขตบินทะยาน เดิมทีนักพรตหนุ่มก็คิดจะปลอบใจอาจารย์สักคำสองคำ เพียงแต่พอเห็นท่าทีไม่ยี่หระของอาจารย์ นักพรตหนุ่มจึงล้มเลิกความคิด เป็นแบบนี้ย่อมดีกว่า ความสามารถในการกำจัดปีศาจปราบมารของอาจารย์ไม่ได้เรื่อง เขาที่เป็นลูกศิษย์ก็มีมรรคกถาที่ไม่ได้ความเช่นกัน นี่ก็ดูเหมือนว่าพอมีเหตุผลน่าอภัยไม่ใช่หรือ?
ภายหลังอาจารย์ก็พาเขามาขึ้นฝั่งที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ไปเยือนภูเขามังกรพยัคฆ์อันเป็นสำนักเบื้องบนของพวกเขา ผลคือจางซานเฟิงถูกอาจารย์สั่งให้รออยู่ที่ตีนเขา นักพรตหนุ่มรู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่เขารู้สึกว่าอาจเป็นเพราะหน้าตาของอาจารย์ไม่ใหญ่พอ จึงไม่อาจพาคนขึ้นเขาไปด้วยกันได้ เลยไม่ได้พูดอะไร อาจารย์บอกเพียงว่าการขึ้นเขาครั้งนี้ก็เพราะต้องการขอร้องเรื่องหนึ่งจากพวกผู้สูงศักดิ์หวงจื่อเหล่านั้น หากทำสำเร็จ จางซานเฟิงก็สามารถขึ้นไปบนภูเขาได้ จางซานเฟิงจึงบอกให้อาจารย์ตั้งใจให้มากๆ หน่อย พูดคุยกับเหล่าผู้สูงศักดิ์หวงจื่อดีๆ อย่าทำตัวไม่แยแสสิ่งใดเหมือนตอนอยู่บนภูเขาบ้านตัวเองอีก เพราะถึงอย่างไรตนจะได้ขึ้นเขาไปเที่ยวชมจวนเทียนซือหรือไม่ก็ล้วนต้องพึ่งอาจารย์แล้ว
นักพรตเฒ่าบอกว่าอาจารย์เคยทำเรื่องอะไรให้คนไม่วางใจด้วยหรือ
สายตาของนักพรตหนุ่มฉายแววตำหนิ ตลอดหลายปีที่ตนฝึกตนอยู่บนยอดเขาพาตี้นั้น อาจารย์ท่านเคยทำเรื่องอะไรสำเร็จบ้างดีกว่า? บางครั้งเวลาที่นักพรตของสายอื่นหวังจะมาคุยธุระกับท่านผู้อาวุโส หากไม่ท่านไม่นอนหลับกรนครอกๆ ก็ต้องให้ตนหรือไม่ก็พวกศิษย์พี่ที่อายุมากหน่อยช่วยออกหน้าปฏิเสธให้ นานวันเข้า นักพรตสำนักเดียวกันสามสายอย่างไท่เสีย ป๋ายอวิ๋นและจื่อเสวียนยังไม่ทันได้พูดอะไร แค่เห็นหน้าตนก็ถอนหายใจ หมุนตัวกลับได้ก็จากไปทันที ไม่มีความลังเลเลยสักนิด แม้จะบอกว่าศิษย์ช่วยอาจารย์แบ่งเบาภาระเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน แต่ศิษย์ช่วยอาจารย์ต้านหายนะครั้งแล้วครั้งเล่า จะไม่เกินไปหน่อยหรือ?
นักพรตเฒ่าขึ้นเขาไปได้ไม่นานก็ลงมา บอกว่าคุยไม่สำเร็จ คงต้องเดือดร้อนให้ศิษย์ไม่สามารถขึ้นไปเปิดโลกกว้างบนจวนเทียนซือได้แล้ว
นักพรตหนุ่มจึงบอกว่าไม่เป็นไร กลับกันยังเป็นฝ่ายเอ่ยปลอบใจนักพรตเฒ่าด้วย
นักพรตเฒ่าซาบซึ้งใจน้ำหูน้ำตาไหล ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง บอกว่าซานเฟิงเอ๋ย ลูกศิษย์อย่างเจ้าช่างเป็นเสื้อนวมตัวเล็ก (เสื้อนวมเปรียบเปรยถึงคนที่เอาใจใส่ผู้อื่น โดยทั่วไปจะใช้กับลูกสาว โดยกล่าวว่าลูกสาวคือเสื้อนวมตัวเล็กของพ่อแม่) ของอาจารย์จริงๆ
นักพรตหนุ่มแหงนหน้ามองภูเขามังกรพยัคฆ์ที่อยู่ห่างไปไกลแวบหนึ่ง บนนั้นมีปราณเซียนล้อมวน เสียงนกกระเรียนเซียนแผดร้องแหลมยาว อาบทอด้วยรัศมีเรืองรอง เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพียงแต่ว่าความผิดหวังนี้ไม่ใช่ความผิดหวังที่มีต่ออาจารย์ แต่เป็นความผิดหวังที่มีต่อตนเอง ปีนั้นเขาออกจากภูเขามาตามคำสั่งของอาจารย์ อาจารย์บอกว่าอย่ามัวเตร็ดเตร่อยู่แถวภูเขาบ้านตัวเองเลย ไปดูทัศนียภาพของสถานที่ที่ห่างไปไกลสักหน่อย ดังนั้นจางซานเฟิงจึงนั่งเรือข้ามฟากมุ่งหน้าไปยังทิศไกล หลังจากผ่านประสบการณ์การท่องเที่ยวมารอบหนึ่ง เขาที่ผิดหวังห่อเหี่ยวก็ไม่อยากจะกลับสำนักทั้งอย่างนั้น จึงกัดฟันควักเงินเทพเซียนแทบทั้งหมดที่มีมานั่งเรือข้ามฟากของภูเขาต่าเจี้ยวข้ามทวีปไปถึงแจกันสมบัติทวีป ภายหลังได้รู้จักกับสหายคนหนึ่ง และจากนั้นต่อมาก็ได้รู้จักกับสหายอีกคนหนึ่ง คนทั้งสามต้องจากลากัน แต่ก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง แล้วการจากลาก็เกิดขึ้นอีก
หลังจากฝึกประสบการณ์ เรื่องราวบางอย่างนั้น นักพรตหนุ่มเข้าใจได้อย่างกระจ่างแจ้ง
ดังนั้นยิ่งนานวันจางซานเฟิงก็ยิ่งรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของอาจารย์
นักพรตเฒ่ามาหยุดเท้าอยู่ในมุมหนึ่งริมหนองน้ำใหญ่ บอกว่ารอสักเดี๋ยว
จางซานเฟิงที่สะพายหีบไม้ไผ่ยืนอยู่ด้านข้าง ถามเสียงเบาว่า “อาจารย์ มาเยี่ยมเยียนคนอื่นถึงบ้าน ไม่ได้พกของขวัญมาด้วยหรือ?”
เจินเหรินผู้เฒ่าที่บนชุดคลุมเต๋าปักลายมังกรเพลิงสองตัวขมวดคิ้วมุ่น “มัวแต่เร่งรีบเดินทางก็เลยลืมไป”
จางซานเฟิงถอนหายใจ “ต่อให้เป็นของขวัญที่มีราคาแค่ไม่กี่เหรียญเงินเกล็ดหิมะ นั่นก็ถือเป็นของขวัญเบาน้ำใจหนัก อาจารย์ พวกเราไม่ละเอียดรอบคอบกันเลยใช่ไหม? ครั้งหน้าหากท่านต้องไปพบเพื่อนรักอีก ท่านก็บอกข้าก่อนเถอะ ข้าจะเป็นคนเตรียมของขวัญให้ท่านเอง”
เจินเหรินผู้เฒ่าคิดแล้วก็พยักหน้าตอบตกลง ยังคงข่มกลั้นเอาไว้ไม่บอกความจริงแก่ลูกศิษย์ว่า หากพวกเราสองอาจารย์และศิษย์พกของขวัญมาเยี่ยมเยียนคนเขาจริงๆ เกรงว่าเทพวารีหนองน้ำใหญ่คงเข้าใจผิดคิดว่าตนจะเอาของขวัญมาก่อนแล้วค่อยตามด้วยกองทัพ หมายถลกหนังดึงเส้นเอ็น เกรงว่าเข่าคงอ่อนจนยืนไม่อยู่ แม้จะบอกว่าเทพวารีแห่งหนองน้ำใหญ่ผู้นี้เป็นเทพอันดับหนึ่งของศาลเทพวารีประจำราชวงศ์ใหญ่แห่งที่สามของใต้หล้าไพศาล แต่ปีนั้นเขาไม่รู้จักวางตัวเป็นคน…เป็นเทพสักเท่าไร ส่วนนิสัยของตัวผู้เฒ่าเองก็ไม่ค่อยดี ดังนั้นจึงเริ่มโคจรวิชาอภินิหาร ทำให้น้ำในหนองน้ำใหญ่เดือดพล่าน จนกระทั่งระดับน้ำของตลอดทั้งหนองน้ำใหญ่ลดลงไปจั้งกว่าแล้ว ในที่สุดเจ้าหมอนั่นจึงเริ่มคุกเข่าโขกหัวคำนับ ขอร้องให้เขาช่วยมีเมตตา
เวลานี้ เจินเหรินผู้เฒ่าที่ร่ายเวทอำพรางตาเริ่มเปิดเผยร่องรอยบางอย่าง
และไม่นานก็มีผู้เฒ่าสวมชุดสีทองคนหนึ่งแหวกผิวน้ำเดินออกมา พอขึ้นมาบนฝั่งแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร เป็นเพราะว่าไม่กล้า ในใจของเขาเต้นระรัวเหมือนตีกลอง รู้สึกกล้าๆ กลัวๆ พยายามตีหน้าให้นิ่ง เพราะกลัวว่าหากทนไม่ไหวตนจะลงไปนั่งคุกเข่าร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหล เอ่ยถ้อยคำชวนขนลุกเพื่อให้อีกฝ่ายเวทนาสงสาร ถึงเวลานั้นหากกลับกลายเป็นว่าทำให้เทพเซียนผู้เฒ่าไม่สบอารมณ์ จะไม่ยิ่งกลายเป็นหายนะใหญ่หรอกหรือ? หากจะพูดถึงราชสำนักใหญ่แห่งนี้กับทั้งบนและล่างภูเขา เทพวารีที่ทั้งระดับขั้นและตบะล้วนไม่ถือว่าต่ำอย่างเขาก็ถือว่าเป็นกระดูกแข็งที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง อีกทั้งยังเคยผ่านการต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับผู้ฝึกตนใหญ่หลายท่านที่ขอบเขตเหนือกว่ามาแล้ว ทว่ามีเพียงต้องเผชิญหน้ากับฮว่อหลงเจินเหรินเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น
ผู้ฝึกตนใหญ่ทั่วไป อย่างมากสุดก็ได้แค่ใช้เวทคาถาและสมบัติอาคมทำให้ร่างทองของเขาเกิดรอยปริร้าว เสียพลังต้นกำเนิดไปมาก ทว่าแค่นำควันธูปและโชคชะตาน้ำมาซ่อมแซม ร่างทองก็สามารถกลับคืนมาเป็นปกติได้แล้ว
แต่ฮว่อหลงเจินเหรินที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้กลับสามารถทำให้ร่างทองของเขาเละเป็นผุยผงได้ อีกทั้งเขายังไม่มีกำลังเหลือพอให้ตอบโต้อีกฝ่ายด้วย
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดฮว่อหลงเจินเหรินถึงได้สามารถลงมือกับองค์เทพแห่งภูเขาแม่น้ำได้ง่ายดายเพียงนี้ อีกทั้งกฎเกณฑ์ของสำนักศึกษาแผ่นดินกลางที่พันธนาการเทพเซียนผู้เฒ่าท่านนี้ก็มีน้อยมาก นี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย
นักพรตหนุ่มมองยอดฝีมือนอกโลกที่เหมือนคนมาสร้างกระท่อมฝึกตนตรงหน้าผู้นี้ ยิ่งเห็นสีหน้าเย็นชาหน้าตาบึ้งตึงไม่เอ่ยคำใดของอีกฝ่ายก็อดตำหนิอาจารย์ในใจไม่ได้ เห็นไหม นี่มีบรรยากาศแช่มชื้นน่าเฉลิมฉลองของการที่สหายเก่ากลับมาพบเจอกันเสียที่ไหน? หรืออาจารย์รู้สึกว่าต้องไปเสียหน้าอยู่บนภูเขามังกรพยัคฆ์ ก็เลยคิดว่ามาที่น่านน้ำของหนองน้ำเซิ่นเจ๋อแห่งนี้ หาสหายสักคนที่ความสัมพันธ์ธรรมดาไม่สนิทสนมกันมาก จะได้โอ้อวดตนที่เป็นลูกศิษย์ได้ว่าตัวเองมีสหายกว้างขวางอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง? อันที่จริงอาจารย์ท่านไม่ต้องทำแบบนี้เลย นักพรตหนุ่มเริ่มรู้สึกสงสารอาจารย์ขึ้นมาบ้างแล้ว
จางซานเฟิงกระแอมหนึ่งที “อาจารย์?”
ฮว่อหลงเจินเหรินที่ใจลอยไปไกลร้องอ้อรับหนึ่งที แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
ผู้เฒ่าชุดคลุมสีทองกลืนน้ำลาย ยิ้มอย่างฝืดเฝื่อนเอ่ยว่า “นานมากแล้วจริงๆ”
ฮว่อหลงเจินเหรินคร้านจะพูดจาไร้สาระกับเทพวารีของหนองน้ำใหญ่ผู้นี้ให้มากความ จึงเอ่ยเข้าประเด็นว่า “ข้าต้องการโอสถวารีขวดหนึ่งจากเจ้า”
ผู้เฒ่าร่างทองเกือบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
ก็แค่โอสถวารีแห่งชะตาชีวิตของตำหนักเทพวารีหนองน้ำเซิ่นเจ๋อเท่านั้น แค่เรื่องเล็กๆ ที่ให้คนนำความมาแจ้งก็ได้ ไหนเลยจะต้องให้เจินเหรินผู้เฒ่าเดินทางมาด้วยตัวเอง? แม้จะมาเดินอยู่บนทางเล็กๆ กลางป่ากลางเขาแค่ไม่กี่ก้าว แต่นั่นก็ยังถ่วงเวลาการฝึกตนของเทพเซียนผู้เฒ่าอยู่ดีไม่ใช่หรือ? ท่านเทพเซียนผู้เฒ่าท่านรู้หรือไม่ว่า พอท่านปรากฎตัวแบบนี้ก็เกือบจะทำให้จิตใจของเทพน้อยๆ อย่างข้าแหลกสลายแล้ว?
ผู้เฒ่าชุดคลุมสีทองรู้สึกถึงเพียงความโชคดีที่รอดชีวิตมาได้ วันหน้าจะต้องจัดงานเลี้ยงฉลองในตำหนักเทพวารีสักครั้ง เพราะถึงอย่างไรตลอดหนึ่งพันปีกว่าที่ผ่านมานี้เขาก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างกังวลใจมาโดยตลอด ด้วยกังวลว่าคราวหน้าที่ได้พบเจอฮว่อหลงเจินเหริน หากตนไม่ตายก็คงต้องหนังหลุดไปหนึ่งชั้น ไหนเลยจะคิดได้ว่าแค่โอสถวารีขวดเดียวก็สามารถยุติเรื่องราวได้แล้ว แน่นอนว่าคำว่าโอสถวารีแค่ขวดเดียวนี้ สามารถเอามาใช้ได้กับเทพเซียนผู้เฒ่าที่เป็นขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดอย่างฮว่อหลงเจินเหรินได้เท่านั้น ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินทั่วไปที่เชี่ยวชาญวิชาธาตุไฟล้วนไม่กล้าเอ่ยเช่นนี้ เทพวารีแห่งแผ่นดินกลางที่มีระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดอย่างเขาหากสู้ไม่ได้แล้วก็หนีไม่รอด แค่หนีไปหลบอยู่ในน้ำ แล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้? ถึงอย่างไรหากอีกฝ่ายใช้อำนาจมารังแกคนอื่นแล้วสร้างความครึกโครมที่ใหญ่โตขึ้นมาจริงๆ ราชวงศ์และสำนักศึกษาย่อมไม่มีทางนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ แน่นอน
ดังนั้นในมือของผู้เฒ่าชุดทองจึงมีขวดกระเบื้องใบหนึ่งโผล่ขึ้นมาทันที เขาถามอย่างระมัดระวังว่า “ขวดเดียวก็พอหรือ?”
ฮว่อหลงเจินเหรินคลี่ยิ้ม “เจ้าคิดว่าไงล่ะ”
ผู้เฒ่าชุดทองไม่พูดไม่จา ในมือก็มีโอสถวารีที่รวมรวบมาจากแก่นชะตาน้ำของหนองน้ำเซิ่นเจ๋อเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งขวด
อันที่จริงฮว่อหลงเจินเหรินต้องการแค่ขวดเดียวจริงๆ แต่จู่ๆ ก็นึกถึงสายป๋ายอวิ๋นของภูเขาบ้านตัวเองขึ้นมาว่า อาจจะมีคนต้องการใช้ของสิ่งนี้ช่วยในการฝ่าทะลุขอบเขต จึงไม่คิดจะปฏิเสธ
จางซานเฟิงกระตุกชายแขนเสื้อของอาจารย์เบาๆ
ฮว่อหลงเจินเหรินจึงยิ้มเอ่ยว่า “สหายคนนั้นของเจ้ามอบของขวัญชิ้นใหญ่ขนาดนั้นให้เจ้า อีกทั้งยังคบหากับเจ้าด้วยความจริงใจ แม้ว่าปีนั้นอาจารย์ก็ได้มอบของตอบแทนให้เขาไปแล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากว่ากันตามลำดับศักดิ์ของอาจารย์ ของตอบแทนนั่นก็ไม่ถือว่ามากพอสักเท่าไร ดังนั้นจึงคิดว่าจะมอบโอสถวารีให้เขาเพิ่มอีกหนึ่งขวด ทั้งเป็นการช่วยชดใช้น้ำใจคืนแทนเจ้า แล้วก็ตัดขาดผลกรรมบางอย่างด้วย ส่วนอีกขวดนั้น เอาไว้มอบให้กับศิษย์พี่ชายสายป๋ายอวิ๋นของเจ้า”
จางซานเฟิงไม่ค่อยเข้าใจนักว่าอะไรคือของตอบแทนและผลกรรมในปีนั้น
แต่พอคิดว่าเฉินผิงอันจะได้โอสถวารีเพิ่มอีกขวดหนึ่ง ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า
ฮว่อหลงเจินเหรินไม่ถือสาหากลูกศิษย์คนนี้กับคนหนุ่มผู้นั้นจะเดินไปพร้อมกันบนมหามรรคา คบหากันเป็นสหายได้ตราบนานเท่านาน แต่ผลกรรมยิบย่อยเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างก็ยังจำเป็นต้องเรียบเรียงให้ชัดเจนเสียก่อน
ฮว่อหลงเจินเหรินรับโอสถวารีสองขวดมา ขณะเดียวกันก็ทิ้งเจียวเพลิงตัวบางๆ ที่เหมือนเส้นด้ายเส้นหนึ่งไว้บนฝ่ามือของเทพวารีหนองน้ำเซิ่นเจ๋อ ช่วยในการหล่อหลอมร่างทององค์เทพของเขา
เอาของดีของคนอื่นมาแล้ว ถึงอย่างไรก็ควรมอบของตอบแทนกลับคืนไปบ้าง
นอกจากนี้ เกี่ยวกับเฉินผิงอัน อันที่จริงปีนั้นฮว่อหลงเจินเหรินไม่ยินดีจะช่วยดึงต้นกล้าให้เติบโตก่อนเวลา ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ลูกศิษย์อย่างจางซานเฟิง หรือควรจะบอกว่าตัวเขาเอง ต่างก็ติดค้างน้ำใจของอีกฝ่ายถึงสองส่วน
ส่วนหนึ่งคือตราประทับที่เทียนซือใหญ่รุ่นก่อนเป็นคนแกะสลักเองกับมือ นั่นไม่ใช่ของล้ำค่าอะไร แต่สำหรับจางซานเฟิงแล้วกลับมีความหมายลึกซึ้งและยาวไกล นี่ก็คือวาสนาแห่งเต๋า
สำหรับนักพรตเต๋าแล้ว ฟ้าดินกว้างใหญ่ วาสนาแห่งเต๋าใหญ่ที่สุด สมบัติอาคมและอาวุธเซียนยังถือว่าเป็นรองด้วยซ้ำ
สองก็คือกระบี่เล่มนั้น เพียงแต่ว่านี่ก็คือโชควาสนาแห่งเต๋าอีกอย่างหนึ่งก็เท่านั้น
และก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ว่าเหตุใดครั้งนี้ฮว่อหลงเจินเหริน ‘ขอร้อง’ คนอื่นไม่ได้ผล แล้วถึงไม่คิดจะระบายโทสะใส่จวนเทียนซือ
การขึ้นเขาไปตามนัดหมายครั้งนี้ ฮว่อหลงเจินเหรินหวังว่าจางซานเฟิงผู้เป็นลูกศิษย์จะได้รับสืบทอดตำแหน่งเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ที่เป็นดั่งการ ‘สืบทอดบรรดาศักดิ์’ จากเทียนซือใหญ่ของจวนเทียนซือคนปัจจุบัน
แต่จวนเทียนซือยอมรับว่ามหามรรคาของจางซานเฟิงในอนาคตนั้นมีความหวังก็จริง เพียงแต่รู้สึกว่าลางของกลียุคได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว น้ำไกลไม่อาจดับกระหายใกล้ จึงพูดอย่างเด็ดขาดว่าภายในเวลาหนึ่งร้อยปีจางซานเฟิงต้องไม่มีทางเป็นเสาหลักค้ำยันภูเขามังกรพยัคฆ์ได้แน่นอน บวกกับที่ภายในเวลาพันปีที่ผ่านมานี้ ทางจวนเทียนซือเองก็หาเทียนซือใหญ่ต่างแซ่สองคนมารอเข้ารับตำแหน่งไว้แล้ว จึงไม่ขอรับข้อเสนอจากฮว่อหลงเจินเหริน ดังนั้นขอแค่ฮว่อหลงเจินเหรินบินทะยานอยู่ในอุตรกุรุทวีปอย่างแท้จริงเมื่อไหร่ วันนั้นภูเขามังกรพยัคฆ์ของแผ่นดินกลางจะผลักดันเทียนซือใหญ่ต่างแซ่คนใหม่ให้มารับตำแหน่งทันที แม้จะบอกว่าเมื่อเทียบกับฮว่อหลงเจินเหรินแล้วจะด้อยกว่ามาก แต่เมื่อเทียบกับจางซานเฟิง แน่นอนว่าย่อมแตกต่างราวฟ้ากับเหว
ตอนนั้นในห้องโถงศาลบรรพจารย์ของจวนเทียนซือ นอกจากเทียนซือใหญ่ที่มีสีหน้าเป็นปกติไม่สะทกสะท้านแล้ว จิตแห่งเต๋าของผู้สูงศักดิ์หวงจื่อแทบทุกคนที่เหลืออยู่ล้วนวุ่นวาย อดหวาดหวั่นอย่างเลี่ยงไม่ได้
ด้วยกลัวว่าถ้าพูดไม่เข้าหูกัน ฮว่อหลงเจินเหรินจะลงไม้ลงมือ
โชคดีที่เจินเหรินผู้เฒ่าเพียงแค่ลงจากเขาไปเงียบๆ พาลูกศิษย์อย่างจางซานเฟิงออกไปจากอาณาเขตของภูเขามังกรพยัคฆ์
ริมหนองน้ำขนาดใหญ่ ผู้เฒ่าชุดทองดีใจเจียนคลั่ง กำลังคิดจะโขกหัวเอ่ยขอบคุณ แต่กลับถูกฮว่อหลงเจินเหรินใช้สายตาบอกเป็นนัยว่าอย่าได้ทำเหลวไหลแบบนั้นเด็ดขาด
ผู้เฒ่าชุดทองจึงรีบสงบจิตใจให้มั่นคง
จางซานเฟิงรับโอสถวารีสองขวดมาจากมือของฮว่อหลงเจินเหริน หลังเก็บเข้าไปในชายแขนเสื้อแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆ ผลิบาน
ในที่สุดตนก็สามารถทำอะไรบางอย่างเพื่อเฉินผิงอันได้แล้วใช่ไหม? ปีนั้นไม่เพียงแต่กินดื่มไม่จ่ายเงินติดตามอีกฝ่ายไปตลอดทาง ยังติดหนี้เฉินผิงอันอีกมากมาย ตอนอยู่เรือนผีแคว้นไฉ่อีก็เชื่อเสื้อเกราะน้ำค้างหวานชิ้นนั้นมา ตอนอยู่ท่าเรือแคว้นซูสุยยังเชื่อกระบี่เล่มนั้น ภายหลังตอนที่ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมสังหารที่แคว้นชิงหลวนกับสวีหย่วนเสีย ก็ยังเป็นเฉินผิงอันที่ลงมือช่วยเหลือไม่ใช่หรือ?
ฮว่อหลงเจินเหรินชำเลืองตามองผู้เฒ่าชุดทอง ฝ่ายหลังเข้าใจความนัยได้ทันที แล้วจึงกัดฟันควักเอาโอสถวารีขวดสุดท้ายที่พกติดตัวออกมายื่นส่งให้นักพรตหนุ่มคนนั้น
เป็นแค่นักพรตห้าขอบเขตล่างคนหนึ่ง?
นี่คือลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจบนยอดเขาพาตี้ของฮว่อหลงเจินเหรินจริงๆ หรือ? แม้จะบอกว่าฮว่อหลงเจินเหรินมีนิสัยประหลาด ยามรับลูกศิษย์ก็ไม่เคยดูจากพรสวรรค์ ทว่าในเมื่อเทพเซียนผู้เฒ่ายินดีจับมือกับลูกศิษย์คนหนึ่งเดินทางมาท่องเที่ยวในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ลูกศิษย์คนนี้จะธรรมดาได้หรือ?
นักพรตหนุ่มมีท่าทางเขินอายเล็กน้อย อยากได้โอสถวารีขวดนั้น แต่ก็รู้สึกว่าทำอย่างนั้นจะดูไม่มีคุณธรรม จึงเอ่ยปฏิเสธ
ผู้เฒ่าชุดคลุมสีทองกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวไร้ความละอายว่า โอสถวารีนี้เป็นของเล่นที่ไม่มีค่าที่สุดของบ้านตน ทั้งสองฝ่ายเพิ่งได้พบเจอกันเป็นครั้งแรก เขามีอายุมากกว่าหลายปี ตามหลักแล้วก็ควรต้องเป็นฝ่ายมอบของขวัญ
เขาไม่กล้าพูดด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นผู้อาวุโสที่อายุมากกว่าหลายปี ไม่อย่างนั้นหากตนเป็นผู้อาวุโสของนักพรตน้อย ก็ไม่เท่ากับว่าเป็นคนรุ่นเดียวกับฮว่อหลงเจินเหรินหรอกหรือ?
อันที่จริงจางซานเฟิงตั้งใจแล้วว่าจะไม่รับ แต่ฮว่อหลงเจินเหรินเกลี้ยกล่อมให้เขารับเอาไว้ บอกว่าวันหน้าหากมีโอกาสเดินทางมาที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเพียงลำพังก็สามารถมอบของขวัญกลับคืนได้
พอได้ยินคำว่า ‘มอบของขวัญกลับคืน’ นี้ เทพวารีชุดทองก็รู้สึกชาไปทั้งหนังหัว ในใจหวาดผวาพรั่นพรึงเกินจะกล่าว
เขาเดาออกว่าฮว่อหลงเจินเหรินมีความเกี่ยวข้องกับภูเขามังกรพยัคฆ์ เพราะในช่วงระยะเวลาหนึ่งพันปีหลังจากที่ฮว่อหลงเจินเหรินต้มน้ำในหนองน้ำให้เดือดพล่าน พอเขากลับไปถึงอุตรกุรุทวีปก็มักจะมีผู้สูงศักดิ์หวงจื่อของจวนเทียนซือลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ แล้วมาเยือนสนามรบที่พวกเขาเลื่อมใสแห่งนี้เป็นประจำ
จางซานเฟิงถึงได้รับโอสถวารีขวดที่สามเอาไว้ เขาประสานมือโค้งตัวขอบคุณตามพิธีการของลัทธิเต๋า
ผู้เฒ่าชุดทองไม่กล้าอยู่นาน รีบบอกลาจากไปทันที
เขาต้องรีบนำเจียวเพลิงที่เทพเซียนผู้เฒ่ามอบให้เส้นนั้นไปหล่อหลอมร่างทอง ซึ่งก่อนจะทำอย่างนั้น แน่นอนว่าต้องออกคำสั่งบอกให้ภูตน้ำทั้งหมดในเขตการปกครองไสหัวกลับเข้าไปในรังของตัวเองให้หมด ใครที่กล้าไม่ควบคุมขาของตัวเอง เทพวารีแห่งหนองน้ำเซิ่นเจ๋ออย่างเขาก็จะทำให้พวกเขาแบกศีรษะของตัวเองไว้ไม่อยู่
——