หลังจากที่เฉินผิงอันชักเท้ากลับมาจากธารน้ำก็พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนักๆ มือขวาของเขาสั่นสะท้าน บนมือมีฝุ่นผงจำนวนมากที่ร่วงเผลาะลงมา
ตอนนั้นมือขวาของเฉินผิงอันถูกนักฆ่าของภูเขาเกอลู่ใช้วิชาอภินิหารของลัทธิพุทธพันธนาการเอาไว้ นี่ก็คือเศษธุลีจากการที่ผลกรรมซึ่งรัดพันอยู่ถูกกระเทือนให้สลายหายไป
ในฐานะผู้ฝึกกระบี่ที่ใกล้จะฝ่าทะลุขอบเขตเต็มที ขนาดฉีจิ่งหลงก็ยังให้คำวิจารณ์เกี่ยวกับการลอบฆ่าที่ริมลำคลองว่า ‘อันตรายอย่างถึงที่สุด’ บางทีสาเหตุครึ่งหนึ่งอาจเป็นเพราะวิชาอภินิหารของลัทธิพุทธวิชานี้
เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง ใช้สองมือวักน้ำมาล้างหน้า มองใบหน้าของตัวเองที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำ เขาเอียงศีรษะ ใช้ฝ่ามือถูตอหนวดบางๆ ที่อยู่ตรงคาง เริ่มรู้สึกเป็นกังวลว่าตนจะกลายเป็นชายฉกรรจ์เคราดกอย่างสวีหย่วนเสียหรือไม่
เฉินผิงอันยื่นมือลงไปในน้ำ แบฝ่ามือออกแล้วกดลงเบาๆ กระแสน้ำไหลในลำธารพลันหยุดนิ่ง แต่ต่อมาก็ไหลรินไปเป็นปกติเหมือนเดิม
เฉินผิงอันเปลี่ยนท่าฝ่ามือ วาดฝ่ามือหมุนเป็นวงกลม กระแสน้ำวนตรงฝ่าเท้ายิ่งนานก็ยิ่งขยายใหญ่ เพียงแต่ว่าไม่นานเฉินผิงอันก็หยุดการกระทำนี้ลง น้ำในลำธารจึงเริ่มกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
เมื่อก่อนตอนที่เดินทางท่องเที่ยวหาประสบการณ์พร้อมกับจางซานเฟิง เคยเห็นนักพรตหนุ่มผู้นั้นยกมือทำท่าทางบางอย่างอยู่กับตัวเองเป็นประจำ จะกำเป็นหมัดก็ไม่กำ จะแบฝ่ามือก็ไม่แบ ให้ความรู้สึกแปลกประหลาด เฉินผิงอันจึงลองเรียนรู้ท่ามือเหล่านั้นมาอย่างผิวเผิน เพียงแต่มักจะรู้สึกว่าตัวเองยังทำไม่ถูก อันที่จริงนี่เป็นเรื่องที่ประหลาดมาก หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งอ่อนด้อยของวิชาหมัด ต่อให้มีจางซานเฟิงร้อยคนก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉินผิงอัน แล้วนับประสาอะไรกับที่หากเป็นเรื่องของการเรียนวิชาหมัด เฉินผิงอันเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วมาโดยตลอด ก็เหมือนปีนั้นตอนที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว ท่าปรับแก้มังกรใหญ่ซึ่งเป็นท่าหมัดรากฐานของจ้งชิว เฉินผิงอันได้เห็นแล้วลองร่ายออกมา ก็ไม่เพียงแต่เหมือนทางภาพลักษณ์ภายนอก ยังเหมือนทางจิตวิญญาณอยู่อีกหลายส่วน ทว่าวิชาหมัดของจางซานเฟิง เฉินผิงอันกลับเรียนไม่เป็นเสียที
เวลานี้เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้คิดลึก คิดแค่ว่าวิชาหมัดของจางซานเฟิงเป็นวิชาหมัดของผู้ฝึกตนบนภูเขา เป็นวิชาที่ใช้หล่อเลี้ยงลมปราณโดยเฉพาะ จึงจำเป็นต้องมีมรรคกถาเต๋าประกอบด้วย
การที่ผู้ฝึกยุทธของยุทธภพชั้นล่างสุดถูกเรียกอย่างเยาะเย้ยว่านักต่อสู้ ก็เพราะว่าเป็นแค่กระบวนท่าหมัด วิธีการใช้เล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่เคยรู้ถึงความหมายที่แท้จริง สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว สิ่งที่พิถีพิถันอย่างแท้จริงก็ยังคงเป็นเส้นทางการเดินของปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้น หากลึกลงไปยิ่งกว่านั้นก็คือคำว่าปณิธานอันศักดิ์สิทธิ์ นั่นจะเป็นขอบเขตที่ยิ่งลี้ลับมหัศจรรย์ กระบวนท่าหมัดแบบเดียวกัน ปณิธานหมัดกลับมีความแตกต่าง วิชาหมัดแบบเดียวกันที่เรียนมาจากอาจารย์คนเดียวกัน แต่กลับอาจเกิดภาพบรรยากาศที่แตกต่างกันไปดั่งบุตรทั้งเก้าของมังกร นี่คือหลักการเดียวกับการที่คนบนโลกมองภูเขามองสายน้ำ มองลมมองหิมะแล้วเกิดความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นถึงได้มีคำกล่าวที่บอกว่าอาจารย์พาเข้าสำนัก ฝึกฝนอยู่ที่ตัวเอง
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ใช้ท่าเดินนิ่งหกก้าวมายืดเส้นยืดสายไปหนึ่งรอบ
หลอมจิตแห่งวีรบุรุษได้ก็คือกุญแจสำคัญของขอบเขตหก
คำว่าจิตวีรบุรุษนั้น ไม่ใช่สิ่งของที่จับต้องได้จริง แต่เป็นตำแหน่งที่เอาไว้ใช้ฝึกฝนหล่อเลี้ยงลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์กับจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ ความหมายของมันยิ่งใหญ่ ค่อนข้างคล้ายคลึงกับโอสถทองของผู้ฝึกตน
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันบอกว่าตัวเองอยู่ห่างจากการฝ่าทะลุขอบเขตอีกแค่สองความหมาย ตอนนี้มีจิตแห่งวีรบุรุษหนึ่งดวงแล้ว ก็เหลือแค่ความหมายอย่างสุดท้ายนั่นแล้ว ในความเป็นจริงแล้วระดับความแข็งแกร่งทนทานของเรือนกายและจิตวิญญาณเฉินผิงอันนั้นสามารถทัดเทียมได้กับขอบเขตร่างทองมานานแล้ว การขัดเกลาจากหมัดของชุยเฉิง กับการประมือกับจูเหลี่ยน การหล่อหลอมท่ามกลางบ่อสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์ บวกกับการเข่นฆ่าสังหารหลายครั้งบนเส้นทางของการเดินทางไกล แน่นอนว่ายังมีการฝึกหมัดอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สิ่งละอันพันละน้อยเหล่านี้ล้วนเป็นการฝึกตนอยู่ด้านนอกของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่ง
ทว่าข้อเล็กๆ นี้กลับมีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็นคอขวดใหญ่ ห่างจากขอบเขตร่างทองก็คือปราการธรรมชาติขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
แต่เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อน ยิ่งคอขวดใหญ่เท่าไรก็ยิ่งดี เพราะโอกาสที่จะช่วงชิงขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยิ่งมีมากเท่านั้น
คำว่าแข็งแกร่งที่สุดนี้ เมื่อก่อนเฉินผิงอันแทบไม่เคยคิดถึง ปีนั้นที่เป็นขอบเขตสามที่แข็งแกร่งที่สุด นั่นก็เพราะถูกหมัดแต่ละหมัดของผู้เฒ่าบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วหล่อหลอมออกมา ไม่เกี่ยวสักนิดเลยว่าเฉินผิงอันจะต้องการหรือไม่ เมื่ออยู่บนมือของชุยเฉิงที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ เจ้าเฉินผิงอันไม่อยากได้ก็จะไม่เอาได้หรือ?
หนึ่งในเส้นสายของเส้นทางหัวใจเฉินผิงอัน ปลายด้านหนึ่งของเส้นหนึ่งในนั้นก็คือเป็นอย่างที่ผู้เฒ่าเหยาเคยพูดไว้ ‘อะไรที่ควรเป็นของเจ้าก็คว้าไว้ให้ดี อะไรที่ไม่ใช่ของเจ้าก็อย่าแม้แต่จะคิด’ สรุปโดยรวมแล้วก็หนีไม่พ้นสี่คำบนกรอบป้ายของลัทธิพุทธซุ้มก้ามปูที่บอกว่า ‘อย่าแสวงหาสิ่งนอกกาย’ แล้วก็ขยายความออกไปได้เป็นเหตุผลที่ว่า ‘ชะตาแปดฉื่อ อย่าไขว่คว้าหนึ่งจั้ง’ และเฉินผิงอันก็มองมันเป็นหลักการเหตุผลที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน นี่ก็คือเส้นทางหัวใจที่น้ำมาคลองก็สำเร็จ ดังนั้นทุกคำพูดและทุกการกระทำท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานของเฉินผิงอันจึงได้รับอิทธิพลที่ซึมซับเข้าไปโดยไม่รู้ตัว
ยกตัวอย่างเช่นโชคชะตาบู๊ของนครมังกรเฒ่าที่ถูกเฉินผิงอันต่อยกลับไป อีกทั้งยังต่อยกลับไปถึงสองครั้งติด นอกจากนี้เฉินผิงอันก็แทบไม่ยินดีที่จะเข้าไปแสวงหาโชควาสนาในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล แต่ชอบ ‘เก็บตกสมบัติเล็กๆ น้อยๆ ไม่เป็นชิ้นไม่เป็นอัน’ มากกว่า
ก็เหมือนกับคนธรรมดาบนโลกมองธารน้ำที่จะมองเห็นแค่กระแสน้ำไหล ไม่มีทางเห็นไปถึงใต้ท้องน้ำ
เฉินผิงอันเองก็เคยเป็นคนหนึ่งในนั้น นี่คือหลักการเหตุผลที่เฉินผิงอันค่อยๆ คิดจนกระจ่างหลังจากที่พิศคนพิศมรรคา ฝึกฝนและถามใจตัวเองอย่างต่อเนื่องท่ามกลางการเดินทางมาเยือนอุตรกุรุทวีปครั้งนี้
เข้าใจคนอื่นคือผู้รอบรู้ เข้าใจตัวเองคือผู้รู้แจ้ง
ยากมากนัก
ดังนั้นความรู้ที่ผ่านการอนุมานขบคิดใคร่ครวญมาครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายนำมาสรุปรวบรวม ถึงจะกลายมาเป็นหลักการเหตุผลที่เป็นของตัวเองอย่างแท้จริง
เฉินผิงอันกลับไปนั่งลงข้างริมธารน้ำอีกครั้ง
เขามองไปทางทิศใต้
ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
เขาถึงได้หัวเราะออกมา
แล้วทำท่ามือเหมือนเขกมะเหงก
ไม่รู้ว่าตอนนี้เผยเฉียนที่อยู่ในโรงเรียนเรียนหนังสือเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
……
เรือข้ามทวีปแห่งหนึ่งที่มาจากสำนักพีหมาของชายหาดโครงกระดูกจอดเทียบท่าบนภูเขาหนิวเจี่ยวเขตการปกครองหลงเฉวียนช้าๆ
สตรีเรือนกายอรชรอ้อนแอ้น สวมหมวกคลุมใบหน้า ในมือถือไม้เท้าเดินป่า ข้างกายมีผู้ปกป้องมรรคาที่แผ่ภาพบรรยากาศของโอสถทองคนหนึ่งติดตามมาด้วย
ก็คือสุยจิ่งเฉิงที่เดินทางข้ามทวีปลงใต้ และหรงช่างผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดแห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง
เมื่อเรือข้ามฟากขับเคลื่อนเข้ามาในอาณาเขตของแจกันสมบัติทวีป สุยจิ่งเฉิงก็มักจะออกจากห้องมาก้มหน้าลงมองภูเขาแม่น้ำของต่างทวีปอยู่ตรงหัวเรือบ่อยๆ
ใต้ฝ่าเท้าก็คือราชวงศ์ต้าหลี
ก่อนหน้านี้หลังจากที่เข้ามาในอาณาเขตของจังหวัดหลงโจวที่ลดระดับขั้นจากถ้ำสวรรค์เป็นพื้นที่มงคล หรงช่างมองไกลๆ ไปยังภูเขาพีอวิ๋นก็ทอดถอนใจเอ่ยว่า “ภาพบรรยากาศของภูเขาสายน้ำชวนให้คนตื่นตะลึง ไม่เสียแรงที่เป็นขุนเขาเหนือของหนึ่งทวีป”
อุตรกุรุทวีปก็มีห้าขุนเขาอยู่มากมายเช่นกัน เพียงแต่เมื่อเทียบกับภูเขาพีอวิ๋นที่อยู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาบนโลกแห่งนี้แล้ว กลับยังด้อยกว่าอยู่อักโข
ได้ยินมาว่าเว่ยป้อเทพแห่งขุนเขาเหนือกำลังจะฝ่าทะลุห้าขอบเขตบน หรงช่างก็ยิ่งทอดถอนใจไม่หยุด องค์เทพแห่งขุนเขาเฝ้าพิทักษ์เขตอิทธิพลของตัวเองก็เทียบเท่าได้กับอริยะที่เฝ้าพิทักษ์ฟ้าดินขนาดเล็ก นั่นก็คือขอบเขตจะต้องสูงกว่าเดิมไปอีกหนึ่งระดับ หากเว่ยป้อเลื่อนขั้นไปมีตบะของขอบเขตหยกดิบ ก็เท่ากับว่าต้าหลีมีองค์เทพร่างทองขอบเขตเซียนเหรินอยู่ท่านหนึ่ง อันที่จริงพลังการต่อสู้ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น ที่สำคัญก็คือโชคชะตาแคว้นของต้าหลีที่ไม่ว่าจะเป็นปราณวิญญาณภูเขาแม่น้ำหรือโชคชะตาบุ๋นบู๊ตลอดทั้งแถบของขุนเขาเหนือ ที่จะยิ่งมั่นคงแข็งแกร่งได้เพราะสาเหตุนี้
ตามคำบอกเล่าของสุยจิ่งเฉิง เว่ยป้อกับผู้อาวุโสคนนั้นมีความสัมพันธ์ที่สนิทแนบแน่น
ม่านราตรีหนาหนัก จำนวนเรือข้ามฟากบนภูเขาหนิวเจี่ยวมีไม่มาก ดังนั้นเรือจากสำนักพีหมาจึงดูสะดุดตามากเป็นพิเศษ
คืนนี้เรือข้ามฟากจะมาจอดอยู่ที่นี่หนึ่งคืน พรุ่งนี้เช้าถึงจะออกเดินทาง เพื่อสะดวกให้ผู้โดยสารจากอุตรกุรุทวีปได้ออกไปเที่ยวชมอดีตถ้ำสวรรค์ที่ปริแตกแล้วหล่นลงสู่พื้นดินแห่งนี้ ว่ากันว่าบนภูเขาหนิวเจี่ยวก็มีร้านค้าตระกูลเซียนที่เพิ่งจะเปิดกิจการอยู่แห่งหนึ่ง ส่วนข้อที่ว่าจะสามารถเก็บตกของดีอะไรได้หรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับกำลังทรัพย์และสายตาของแต่ละคน ทว่าผู้รับผิดชอบดูแลเรือข้ามฟากของสำนักพีหมาก็ได้บอกแก่ผู้โดยสารเรือทุกคนอย่างตรงไปตรงมาว่า เมื่อมาถึงอาณาเขตของขุนเขาเหนือแจกันสมบัติทวีปนี้ ก็ไม่ใช่อุตรกุรุทวีปอีกต่อไป อีกทั้งเขตการปกครองหลงเฉวียนยังมีอริยะหร่วนฉงที่มีชาติกำเนิดจากศาลลมหิมะเป็นผู้เฝ้าพิทักษ์ มีกฎเกณฑ์เข้มงวด ไม่สามารถทะยานลมขี่กระบี่ได้ตามใจชอบ ไม่ว่าใครก็ตามที่ลงจากเรือไปแล้วสร้างปัญหาวุ่นวาย ก็อย่าได้โทษว่าสำนักพีหมาดูดายไม่สนใจ
ตรงท่าเรือมีบุรุษชุดขาวท่วงท่างามสง่าดุจองค์เทพคนหนึ่งปรากฏตัว ตรงหูห้อยต่างหูทรงกลมสีทองไว้หนึ่งวง ใบหน้าประดับรอยยิ้ม กำลังมองมายังสุยจิ่งเฉิงและหรงช่าง
ข้างกายของเขามีนกวิเศษบินล้อมวนไม่หยุด แล้วก็เหมือนจะมีแสงรัศมีสีเงินสีทองระยิบระยับแผ่ออกมา
หรงช่างมองไม่ออกว่าอีกฝ่ายมีตบะตื้นลึกแค่ไหน ถ้าอย่างนั้นสถานะของเขาก็ชัดเจนอย่างยิ่งแล้ว นั่นก็คือเทพภูเขาที่มีระดับขั้นสูงที่สุดในแจกันสมบัติทวีป เว่ยป้อ
สุยจิ่งเฉิงก้าวเร็วๆ เดินขึ้นหน้าไปหา ถามเสียงเบาว่า “ใช่ท่านเทพภูเขาเว่ยหรือไม่?”
เว่ยป้อมองไม้เท้าเดินป่าในมือของสุยจิ่งเฉิงแวบหนึ่ง ยกมือหนึ่งครั้ง ไล่พวกนกทั้งหลายออกไป จากนั้นก็คลี่ยิ้มบางๆ พร้อมพยักหน้ารับ “ข้าได้รับกระบี่บินส่งข่าวแล้ว ก็เลยมารับพวกเจ้า”
หรงช่างรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
มีองค์เทพแห่งขุนเขาท่านใดที่กระตือรือร้นเกรงอกเกรงใจกันขนาดนี้บ้าง? จำเป็นต้องออกมาต้อนรับพวกเขาสองคนด้วยตัวเองเลยหรือ เพราะจะว่าไปแล้ว พวกเขาก็ถือว่าเป็นแค่คนแปลกหน้าต่างถิ่นที่เดินทางมาไกลเท่านั้น
หากเป็นแจกันสมบัติทวีปในอดีต เขาหรงช่างที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่งได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เมื่ออยู่ที่ภูเขาพีอวิ๋นของต้าหลี หรงช่างกลับไม่คิดว่าตัวเองจะมีหน้ามีตาใหญ่โตถึงเพียงนั้น
ที่นี่คือเขตอิทธิพลของถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ที่มีมากเลยก็คือเทพเซียนที่เป็นดั่งมังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบ
เซี่ยสือเทียนจวินแห่งอุตรกุรุทวีป เฉาซีเซียนกระบี่แห่งทักษินาตยทวีป นี่ก็ตั้งสองคนแล้ว เล่าลือกันว่าพวกเขาต่างก็มีชาติกำเนิดมาจากตรอกหนึ่งของเมืองเล็ก
ดังนั้นเมื่อมาถึงที่นี่ ใครก็อย่าได้คิดจะเอาขอบเขตของตัวเองมาพูดคุย เพราะมีแต่จะกลายเป็นเรื่องตลกของผู้อื่นเท่านั้น
สุยจิ่งเฉิงรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย นางรีบยอบตัวทำความเคารพ “รบกวนท่านเทพภูเขาเว่ยแล้ว”
เว่ยป้อโบกมือ รอยยิ้มบนใบหน้าอ่อนโยน “แม่นางสุยไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันเช่นนี้ ต่อจากนี้จะเดินเล่นที่ร้านผ้าห่อบุญของภูเขาหนิวเจี่ยวก่อนสักรอบ หรือจะตรงไปที่ภูเขาลั่วพั่วเลย?”
สุยจิ่งเฉิงตอบ “พวกเราไปที่ภูเขาลั่วพั่วก่อนก็แล้วกัน”
เว่ยป้อพยักหน้ารับ แล้วจึงร่ายวิชาอภินาร พาสุยจิ่งเฉิงกับหรงช่างไปถึงตีนเขาของภูเขาลั่วพั่วด้วยกัน
แล้วหรงช่างก็ต้องตกตะลึงอยู่ในใจอีกครั้ง
การเลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตบนขององค์เทพแห่งขุนเขาเหนือต้าหลีผู้นี้น่าจะมีปัญหาไม่มาก ระดับของความสอดผสานกลมกลืนระหว่างภูเขาสายน้ำของเขาช่างชวนให้คนตกใจนัก
ย่อพื้นที่ภูเขาสายน้ำพันลี้ให้เล็กลง ถูกหอบหุ้มร่างให้เดินทางไปไกล หรงช่างค้นพบว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตนเล่มนั้นกลับไม่มีความเคลื่อนไหวสักเท่าไรเลย
เว่ยป้อเอ่ยขออภัย “ถึงอย่างไรก็เป็นภูเขาของเฉินผิงอัน ข้าไม่อาจส่งพวกเจ้าไปยังเรือนพักที่อยู่กึ่งกลางภูเขาได้โดยตรง คงต้องรบกวนให้แม่นางสุยกับเซียนกระบี่หรงเดินขึ้นเขากันไปเองแล้ว”
เรือนหลังหนึ่งตรงหน้าประตูภูเขา มีชายฉกรรจ์หลังค่อมคนหนึ่งที่ไม่ใส่รองเท้าวิ่งเท้าเปล่าออกมา พอเห็นสตรีที่สวมหมวกคลุมหน้าแล้วก็คร้านจะชำเลืองตามองบุรุษอีก
เว่ยป้อเอ่ยแนะนำว่า “ท่านผู้นี้คือพี่ใหญ่ต้าเฟิง เป็นคนเฝ้าประตูของภูเขาลั่วพั่ว”
เจิ้งต้าเฟิงยืนอยู่ข้างกายเว่ยป้อ ถูมือยิ้มกล่าว “คงเป็นแม่นางสุยกระมัง? อยากจะเข้าไปนั่งในบ้านของข้าก่อนหรือไม่ ข้ากับเว่ยป้อสามารถทำอาหารมื้อดึกให้เจ้าได้ ถือเสียว่าเป็นการช่วยรับรองแขกแทนเฉินผิงอัน ช่วยต้อนรับแม่นางสุยแทนเขา หลังจากกินอิ่มหนำสำราญแล้ว จะพักค้างแรมก็ไม่มีปัญหา บ้านของข้าใหญ่ ห้องหับก็เยอะแยะ อย่าว่าแต่แม่นางสุยคนเดียวเลย ต่อให้แม่นางสุยพาเพื่อนที่เป็นสตรีมาด้วยกันหลายๆ คนก็ไม่ต้องกลัว…ใช่แล้ว ข้าแซ่เจิ้ง แม่นางสุยสามารถเรียกข้าว่าพี่ใหญ่เจิ้งก็ได้ ไม่ต้องเห็นกันเป็นคนอื่นคนไกล”
สุยจิ่งเฉิงรู้สึกรับมือไม่ทันอยู่บ้าง
เว่ยป้อกล่าวอย่างระอาใจว่า “แม่นางสุยกับเซียนกระบี่หลงจะหยุดพักกินอาหารมื้อดึก หรือจะขึ้นเขาเดินทางต่อทันทีเลยก็ได้ทั้งนั้น”
ผลคือสุยจิ่งเฉิงกับหรงช่างเห็นบุรุษหลังค่อมคนนั้นกระทืบเท้าของเว่ยป้อหนึ่งที ยังคงพูดหน้ายิ้มไม่เปลี่ยน “แค่อาหารมื้อดึกมื้อเดียวเท่านั้น ไม่รบกวนๆ”
สุยจิ่งเฉิงเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นไปบนภูเขาดีกว่า มีเรื่องบางอย่างยังต้องพูดกับท่านเทพภูเขาเว่ยอย่างละเอียด จดหมายลับที่ส่งมากับกระบี่บินไม่อาจเปิดเผยรายละเอียดได้มากนัก”
เจิ้งต้าเฟิงถอนหายใจหนึ่งที ปลายเท้าออกแรงขยี้บนรองเท้าของเว่ยป้อหนักๆ ซ้ำอีกครั้ง เว่ยป้อสีหน้าเป็นปกติ พูดกับสุยจิ่งเฉิงว่า “ตกลง”
หรงช่างที่มองดูอยู่เกือบจะมีเหงื่อผุดออกมาจากหน้าผาก จิตแห่งกระบี่ไม่มั่นคง
—-