เจียงซ่างเจินเดินมาถึงท่าเรือแห่งหนึ่ง “ก่อนที่หลิวจื้อเม่าจะปิดด่านได้ขอพื้นที่เขตอิทธิพลเดิมซึ่งรวมถึงเกาะชิงเสียกับเกาะซู่หลินเป็นหนึ่งในนั้นจากข้า เขาคิดว่าจะมอบมันให้แก่กู้ช่านผู้เป็นลูกศิษย์ เพราะเขาไม่รู้ว่าเขตพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับนครอวิ๋นโหลวนั้น ข้าคิดจะมอบมันให้กับกู้ช่านโดยเฉพาะอยู่แล้ว แต่เด็กหนุ่มอย่างกู้ช่านที่อายุยังน้อยผู้นั้น พอได้ยินเรื่องนี้กลับกล้ารับเอาไว้ สมกับคำว่าหิวตายขี้ขลาด อิ่มตายใจกล้าเสียจริง”
หลิวเหล่าเฉิงเอ่ยว่า “เจ้าเด็กคนนี้ หากอยู่ต่อในทะเลสาบซูเจี่ยน สำหรับสำนักเจินจิ้งแล้ว อาจกลายมาเป็นภัยร้ายแอบแฝง”
เจียงซ่างเจินหันหน้ามาส่งยิ้มด้วยรอยยิ้มคลุมเครือ
หลิวเหล่าเฉิงยิ้มกล่าวอย่างจริงใจว่า “แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงแค่เพราะข้ามีความแค้นกับเขาและเกาะชิงเสีย ข้าหลิวเหล่าเฉิงและสำนักเจินจิ้งต่างก็ไม่ใคร่ยินดีเห็นกู้ช่านค่อยๆ ลุกผงาด เลี้ยงเสือไว้เป็นภัย คือข้อห้ามใหญ่หลวง”
ไม่ใช่เพียงแค่
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “เจ้ารู้สึกว่าที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของกู้ช่านคืออะไร?”
หลิวเหล่าเฉิงตอบ “แน่นอนว่าต้องเป็นเฉินผิงอันที่ไม่ได้อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนแล้ว รวมไปถึงกฎเกณฑ์ที่เฉินผิงอันสอนเขา กวนอี้หรานที่มีความสัมพันธ์ไม่เลวกับเฉินผิงอัน หรือไม่อาจจะยังมีคนที่ข้าไม่รู้อยู่อีก พวกเขาย่อมต้องคอยจับตามองทุกการกระทำของกู้ช่านอย่างลับๆ นี่หมายความว่ากวนอี้หรานต้องใช้โอกาสนี้จับตามองข้าและหลิวจื้อเม่า รวมไปถึงสำนักเจินจิ้งไปพร้อมกันด้วย เรื่องเหล่านี้ กู้ช่านน่าจะคิดได้แล้ว”
สำหรับเรื่องเลี้ยงเสือไว้เป็นภัย
เจียงซ่างเจินไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
แม้ว่าหลิวจื้อเม่าจะมีขอบเขตต่ำกว่าหลิวเหล่าเฉิง แต่ได้ไปมาหาสู่กับราชสำนักต้าหลีมากกว่า อีกทั้งในอดีตยังคาดหวังว่าจะได้เป็นเจ้าแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างสมชื่อมากกว่าหลิวเหล่าเฉิง ดังนั้นในเรื่องบางเรื่องจึงมองการณ์ไกลได้กว่าหลิวเหล่าเฉิง แน่นอนว่าสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ส่วนตัวของหลิวจื้อเม่าเอง เพราะฉะนั้นหัวสมองของเขาถึงแล่นได้มากกว่า ส่วนหลิวเหล่าเฉิงนั้น ในฐานะผู้ฝึกตนอิสระที่มีความหวังบนมหามรรคา ความคิดจิตใจจึงบริสุทธิ์กว่า ไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนมากขนาดนั้น
อันที่จริงก่อนที่หลิวจื้อเม่าจะปิดด่าน เขาเคยไปหากู้ช่านที่ตรอกเก่าโทรมของนครน้ำบ่อมาก่อน
เจียงซ่างเจินเดาออกว่าด้วยเรื่องอะไร
มอบตำราถ่ายทอดมรรคา
ขอเกาะชิงเสียกลับคืนมาจากสำนักเจินจิ้งก็คือการปกป้องมรรคาที่ยาวไกลสำหรับกู้ช่าน
เพราะหลิวจื้อเม่าเองก็สามารถคาดเดาแผนการที่ยาวนานแผนหนึ่งของเจียงซ่างเจินออกเช่นกัน
แทนที่จะปล่อยให้สกุลซ่งต้าหลีประคับประคองกองกำลังที่ไม่รู้จักมาเล่นงานสำนักเจินจิ้ง ก็ไม่สู้ให้สำนักเจินจิ้งเป็นฝ่ายหาคนที่เหมาะสมแล้วส่งตัวไปให้ถึงที่ยังดีกว่า
สำหรับสองฝ่ายแล้ว นี่คือทางเลือกที่ฉลาดซึ่งไม่ ‘เสียหายภายใน’ มากที่สุด
เจียงซ่างเจินเดินอาดๆ ไปเยือนเขตการปกครองหลงเฉวียนสองครั้ง ขอแค่คนที่มีใจไม่ได้ตาบอดก็ล้วนย่อมต้องมองเห็นอยู่ในสายตา เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องที่เจียงซ่างเจินจงใจให้คนใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งอยู่แล้ว
เฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่ว
เจียงซ่างเจินแห่งสำนักเจินจิ้ง
สะพานที่เชื่อมอยู่ตรงกลางนั้น ก็คือเกาะชิงเสียและกู้ช่าน
ดังนั้นด่านยากที่แท้จริงของสำนักเจินจิ้งไม่ได้อยู่ที่กู้ช่าน ทะเลสาบซูเจี่ยน หรือแม้แต่สำนักโองการเทพอะไร
แต่อยู่ที่เบื้องหลังสถานการณ์ใหญ่สองอย่าง หนึ่งคือกองทัพม้าเหล็กต้าหลีฮุบกลืนหนึ่งแคว้น จากนั้นก็ต้องต้านทานกองกำลังอีกกองที่ใหญ่ยิ่งกว่า
เวลานั้นต่างหากจึงจะเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สำนักเจินจิ้งต้องเปลี่ยนจากทางเลือกมาเป็นคัดเลือกแล้ว
แต่สิ่งเหล่านี้ อย่าว่าแต่หลิวเหล่าเฉิงเลย ต่อให้เป็นหลิวจื้อเม่าก็ยังถูกปิดหูปิดตา บุคคลยิ่งใหญ่อย่างสำนักเจินจิ้ง เมื่ออยู่ในสายตาของผู้ฝึกตนอิสระสองคนนี้ พวกเขาจะยินดีขบคิดถึงความรู้ในส่วนลึกที่มองดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองได้อย่างไร?
ผู้ฝึกตนอิสระ นอกจากตบะของตัวเองพอจะมีน้ำหนัก หมัดใหญ่หน่อยแล้ว ยังจะเข้าใจอะไรอีก?
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเจอสายตาดูแคลน เจอการข่มกำราบจากเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลมาจนพอแล้ว แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆ ก็ยังเพ้อฝันคิดว่าขอบเขตก็คือหลักการเหตุผลทุกอย่าง
ไม่คิดจะใคร่ครวญดูให้ดีว่าเหตุใดสำนักกุยหยกถึงได้มีเจ้าสำนักที่ใกล้จะได้เป็นขอบเขตบินทะยาน เหตุใดเขาเจียงซ่างเจินถึงได้ครอบครองกิจการบ้านเรือนอย่างในทุกวันนี้? ลำดับก่อนหลังไม่อาจเรียบเรียงผิดพลาดได้ สามลัทธิร้อยสำนักที่ตอนนี้มีกฎเกณฑ์เข้มงวด ช่วงแรกเริ่มสุดนั้น มีใครบ้างที่ไม่ได้มีชาติกำเนิดมาจากเด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลนที่ได้แต่เอาชีวิตรอดไปวันๆ อยู่บนผืนแผ่นดินโลกมนุษย์? ใครบ้างที่ไม่ใช่หุ่นเชิดที่ใยชักอยู่ในมือของทวยเทพผู้อยู่สูงส่งบนสวรรค์ชั้นฟ้า?
ไม่ใช่ว่าเจียงซ่างเจินดูแคลนผู้ฝึกตนอิสระบนโลก ในความเป็นจริงแล้วปีนั้นที่เขาเดินทางท่องเที่ยวอยู่ในอุตรกุรุทวีปก็เคยเป็นผู้ฝึกตนอิสระมานานหลายปี อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกตนอิสระได้ไม่เลวอีกด้วย
เจียงซ่างเจินมองไปยังทะเลสาบซูเจี่ยนที่ริ้วคลื่นสีเขียวมรกตแผ่กระเพื่อมแล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “ไม้บรรทัดของเหล่าอาจารย์ ไม่ใช่ว่ามีมากเกินไป แต่มีน้อยเกินไป ตีเบาเกินไป ลูกศิษย์มักจะความจำไม่ดี จำไม่ได้ว่าเคยโดนตี แล้วก็ไม่เคยมีคนคิดว่า เหล่าอาจารย์จะมีความกลัดกลุ้มกังวลใจของตัวเองบ้างหรือไม่ วันใดอยู่ดีๆ จะพูดว่าผิดหวังก็ผิดหวังเลยหรือไม่ คนบนโลกทุกคนที่ชอบทำจิตใจให้สงบและใช้เหตุผล หากผิดหวังขึ้นมา นั่นก็แสดงว่าสิ้นหวังอย่างแท้จริงแล้ว”
ในใจของหลิวเหล่าเฉิงยังคงไม่มีความรู้สึกร่วมด้วยสักเท่าไร
เจียงซ่างเจินพลันหันหน้ามาถามว่า “เจ้าสำนักขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งควักเอาความจริงใจออกมาพูดกับเจ้า เจ้าจะไม่ตั้งใจฟังก็ได้ แต่ถ้าเป็นขอบเขตเซียนเหรินเล่า?”
หลิวเหล่าเฉิงพลันขนลุกอยู่ในใจ
เจียงซ่างเจินยิ้มตาหยี “คนไม่รู้ไม่ผิด เพราะถึงอย่างไรอริยะก็เคยกล่าวไว้ว่า ไม่ทันอบรมสั่งสอนก็ลงโทษคือการกระทำอันป่าเถื่อน”
เจียงซ่างเจินลูบคลำปลายคาง “เดิมทีไม่ควรบอกความจริงแก่เจ้าเร็วขนาดนี้ สมบัติพิทักษ์ภูเขาที่ข้าซ่อนไว้บนร่างของสาวใช้ยาเอ๋อร์นั่นต่างหากถึงจะเป็นด่านเป็นตายที่แท้จริงของเจ้ากับหลิวจื้อเม่า แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว เพราะจู่ๆ ข้าก็พลันคิดเรื่องหนึ่งได้อย่างกระจ่างแจ้ง ใช้เหตุผลพูดคุยกับผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกเจ้า แค่หมัดแข็งกว่าก็เพียงพอ หากใช้ความคิดและจิตใจมากเกินไป มีแต่จะถ่วงเวลาการใช้จ่ายเงินของข้าเจียงซ่างเจิน”
ไม่ใช่ถ่วงเวลาการหาเงิน แต่เป็นถ่วงเวลาการใช้เงิน
หลิวเหล่าเฉิงสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ
สภาพการณ์อันตรายที่เป็นดั่งทางตันซึ่งไม่ได้พบเจอมานาน ปราณสังหารล้อมรอบทิศที่ไม่ได้พบเจอมานาน
เจียงซ่างเจินถอนหายใจ “เมื่อก่อนข้ามักจะรู้สึกว่าคนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนเลว ไม่ว่าจะบนภูเขาหรือล่างภูเขา เมื่อไปถึงจุดสูงที่สูงยิ่งกว่าเดิมแล้ว ก็มักจะเปลี่ยนไปเป็นฉลาดมากขึ้น แต่ตลอดหลายปีที่เฝ้าดูมานี้ อันที่จริงกลับผิดหวังอย่างมาก หลิวเหล่าเฉิงหากเจ้าไม่รีบทำเวลา ไม่รีบสงบจิตใจฝึกฝนสภาพจิตของตนให้ดี เปลี่ยนเส้นสายรากฐานความคิดบางอย่างของตัวเอง อย่าว่าแต่ไล่ตามข้าเลย แม้แต่หลิวจื้อเม่าก็ยังสามารถสะบัดเจ้าทิ้งห่างไว้ด้านหลังได้ แน่นอนว่ายังมีกู้ช่านผู้นั้น อยู่แค่ว่าจะเกิดขึ้นช้าหรือเร็วก็เท่านั้น เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าก็จะรู้สึกได้เองว่าผู้ถวายงานอันดับหนึ่งอย่างเจ้าก็คือเรื่องตลกที่ใหญ่เทียมฟ้า กู้ช่านที่ในอนาคตอันยาวนานเป็นได้แค่มดตัวหนึ่ง เจ้ากลับไม่อาจสังหารเขาได้อีกชั่วชีวิต หลิวจื้อเม่าขยับขึ้นมานั่งทัดเทียมกับเจ้า ยามมองข้าเจียงซ่างเจินก็ยิ่งได้แต่ต้องแหงนหน้ามอง”
เจียงซ่างเจินยกมือขึ้น สะบัดชายแขนเสื้อแล้วพลิกหมุนข้อมือหนึ่งครั้ง มือทั้งสองปั้นหยดน้ำสีเขียวมรกตที่รวบรวมแก่นโชคชะตาน้ำเอาไว้ขึ้นมาลูกหนึ่ง จากนั้นก็ใช้สองนิ้วขยี้ให้แตกเบาๆ “เจ้าคิดว่าปีนั้นที่นักบัญชีคนนั้นขึ้นเกาะมาพบเจ้าก็เพราะเคารพเลื่อมใสเจ้าอย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่เลย สิ่งที่เขาเคารพ สิ่งที่เขายำเกรงก็คือกฎเกณฑ์ที่มารวมกันอยู่บนร่างของเจ้าในเวลานั้น แต่สักวันหนึ่ง บางทีอาจไม่นานเท่าไรนัก ไม่กี่สิบปี? หรือหกสิบปี? ก็จะกลายเป็นว่าต่อให้เท้าทั้งสองข้างของเจ้าหลิวเหล่าเฉิงเหยียบยืนอยู่บนยอดเขาของเกาะกงหลิ่ว คนผู้นั้นยืนอยู่ตรงท่าเรือแห่งนี้ เจ้าก็ยังรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยกว่าเขาอยู่ดี”
หลิวเหล่าเฉิงเอ่ย “ได้รับการสั่งสอนแล้ว”
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “ขอบเขตเซียนเหรินเป็นคนพูดจะฟังเข้าหูกว่าจริงๆ เสียด้วย ดังนั้นเจ้าต้องตั้งใจอ่านตำราให้ดี ส่วนข้าก็ต้องตั้งใจฝึกตนให้ดี”
หลิวเหล่าเฉิงถอนหายใจหนึ่งที
อยู่ดีๆ เจียงซ่างเจินก็เอ่ยขึ้นมาว่า “บางทีวันหนึ่งข้าอาจได้ย้อนกลับคืนไปเฝ้าพิทักษ์สำนักกุยหยกที่ใบถงทวีป ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็จะได้เป็นเจ้าสำนักคนถัดไปของสำนักเจินจิ้ง ส่วนหลิวจื้อเม่าผู้นั้น เจ้าก็สามารถกดขอบเขตเขาไว้ที่คอขวดขอบเขตหยกดิบ ทำให้เขาไม่มีแม้แต่ความกล้าจะฝ่าทะลุสู่ขอบเขตเซียนเหริน หากเวลานั้นเจ้าอารมณ์ไม่เลว บวกกับที่รู้สึกว่าเขาไม่อาจเป็นภัยคุกคามแก่เจ้าได้ ก็ใจกว้างสักหน่อย ให้เขาได้เลื่อนสู่ขอบเขตเซียนเหริน ปล่อยให้เขาได้ก่อตั้งสำนักเบื้องล่างของสำนักเจินจิ้งอยู่ในแจกันสมบัติทวีปไปก็แล้วกัน”
เจียงซ่างเจินสอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้อ “นี่ไม่ใช่การวาดภาพเพ้อฝันให้เจ้า ข้าเจียงซ่างเจินไม่จำเป็นต้องทำอะไรต่ำช้าเช่นนั้น”
หลิวเหล่าเฉิงทำท่าคล้ายกระจ่างแจ้ง
ตอนนี้สำนักเจินจิ้งมีคนที่คอยรวบรวมรายงานสายน้ำภูเขาทั้งหมดของใบถงทวีปโดยเฉพาะ ข่าวหนึ่งในนั้นมีการเล่าลือบอกว่า เจ้าสำนักของสำนักกุยหยกซึ่งเป็นสำนักอันดับหนึ่งของตระกูลเซียนใบถงทวีปที่เก็บตัวเงียบมานานอาจจะปิดด่านไปแล้ว
หวังไขว่คว้าขอบเขตบินทะยานที่ลี้ลับมหัศจรรย์
และสวินยวนเจ้าสำนักผู้เฒ่า อันที่จริงก็ไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้าสำหรับหลิวเหล่าเฉิง เพราะถึงอย่างไรก็ร่วมเดินทางผ่านภูเขาสายน้ำอันเป็นเส้นทางยาวไกลในแจกันสมบัติทวีปมาด้วยกัน
อันที่จริงเดิมทีหลิวเหล่าเฉิงก็เป็นผู้ถวายงานที่สวินยวนเลือกให้มาอยู่ในสำนักเจินจิ้งอยู่แล้ว
เพียงแต่เมื่อมาอยู่กับเจียงซ่างเจิน ความสัมพันธ์ควันธูปน้อยนิดแค่นั้นกลับไม่มีค่าแม้แต่ครึ่งเหรียญทองแดง
หลิวเหล่าเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง รู้สึกเพียงว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ ยากนักกว่าจะเกิดปณิธานแรงกล้าเช่นนี้ขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงพยักหน้า พูดเสียงทุ้มหนักว่า “ถ้าอย่างนั้นนับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ข้าหลิวเหล่าเฉิงก็สามารถทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อสำนักเจินจิ้งของตัวเองได้อย่างจริงใจแล้ว”
เจียงซ่างเจินหันมาตบไหล่หลิวเหล่าเฉิงเบาๆ “คนบ้านเดียวกันไม่พูดจาห่างเหิน ก่อนหน้านี้คำพูดบางอย่างของข้าไม่ค่อยน่าฟัง พี่ใหญ่หลิวอย่าได้ถือสากันเลย”
หลิวเหล่าเฉิงลังเลอยู่ชั่วขณะ
เจียงซ่างเจินก็เอ่ยขึ้นมาว่า “คนกันเอง เจ้าย่อมสามารถพูดจาไม่น่าฟังได้ เจ้าไม่ต้องถือสา ข้าคนนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่กลัดกลุ้ม แค่กลุ้มว่ามีเงินมากเกินไปเท่านั้น”
หลิวเหล่าเฉิงตีหน้าเคร่งพูดว่า “เจ้าสำนักเจียง ทำไมเจ้าถึงได้กวนโอ้ยขนาดนี้?”
เจียงซ่างเจินนวดคลึงข้างแก้ม ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยเหมือนกระจ่างแจ้งในฉับพลันว่า “คงเป็นเพราะเจ้าไม่ใช่ผู้หญิงกระมัง”
……
ทางฝั่งของแคว้นชิงหลวน มีเด็กหนุ่มชุดขาวรูปโฉมและบุคลิกโดดเด่นคนหนึ่งพาหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กเล็กไปเดินเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมาครึ่งแคว้น
ก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มผู้นี้ได้ ‘เก็บตก’ หยกลัญจกรจากแคว้นเหวินจิ่งที่ล่มสลายมาจากมือของชายฉกรรจ์ที่ตระกูลตกอับคนหนึ่งบนท่าเรือหางผึ้งซึ่งเป็นบ้านเกิดของหลิวเหล่าเฉิงผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตบนเพียงหนึ่งเดียวของแจกันสมบัติทวีป
แต่แคว้นเหวินจิ่งนี้ไม่ได้ล่มสลายภายใต้กีบเท้าม้าเหล็กของต้าหลี แต่เป็นประวัติศาสตร์เก่าแก่ที่ยาวนานยิ่งกว่านั้น
ดูเหมือนว่าองค์รัชทายาทสิ้นแคว้นของแคว้นจิ่งเหวินผู้นั้นจะไม่มีความคิดที่จะกอบกู้แคว้นกลับคืนมา ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ก็ไม่คิดจะลงจากภูเขา ยังคงฝึกตนอยู่บนภูเขาดังเดิม
เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้แคว้นจิ่งเหวินจะยังเหลือโชคชะตาแคว้นอยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้วก็เท่ากับชะตาแคว้นขาดสะบั้นไปแล้ว
เพราะไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางคนใดก็ล้วนไม่อาจเป็นจักรพรรดิได้ นี่คือกฎเหล็กของโลกมนุษย์
นอกจากหยกลัญจกรที่ซื้อมาในราคาถูกชิ้นนี้แล้ว เด็กหนุ่มยังไปดูต้นซิ่งโบราณ ‘ไม้จักรพรรดิ’ ‘ต้นไม้อัครมหาเสนาบดี’ ‘ซิ่งแม่ทัพ’ ต้นไม้หนึ่งต้นที่ได้รับการแต่งตั้งถึงสามชื่อ เด็กหนุ่มชุดขาวหยุดเท้ายืนนิ่งอยู่ที่นั่น ตรงช่วงล่างของต้นไม้ใหญ่กลวงโบ๋ เด็กหนุ่มนั่งยองหันหน้าเข้าหาโพรงนั้นแล้วพึมพำกับตัวเองอยู่นาน
ภายหลังระหว่างที่กำลังเดินทาง เด็กหนุ่มที่ได้หยกลัญจกรมาครองก็ใช้เหตุผลที่ว่า ‘การเก็บสะสมต้องเก็บได้ครบถ้วน’ จึงไปเยือนภูเขาอีกลูกหนึ่ง ไปเดิมพันหนึ่งต่อหนึ่งกับผู้ฝึกตนเฒ่าที่เลือกเดินบนเส้นทางของการประคองมังกร จากนั้นก็ใช้สองเดิมพันสอง แล้วก็ชนะอย่างฉิวเฉียดมาอีกรอบหนึ่ง จากนั้นก็ลงเดิมพันทุกอย่างที่มีลงบนโต๊ะ ใช้สี่เดิมพันสี่ สุดท้ายแปดเดิมพันแปด เอาชนะจนอีกฝ่ายเหลือหยกลัญจกรเพียงสองชิ้น คนต่างถิ่นแซ่ชุยผู้นี้มีนิสัยชอบเดิมพัน ราวกับเสียสติไปแล้ว ถึงได้ป่าวประกาศว่าจะเอาสมบัติสิบหกชิ้นที่ได้มาอยู่ในมือแล้วเดิมพันกับอีกสองชิ้นสุดท้ายของอีกฝ่าย แล้วผลก็กลายเป็นว่าเขาคือฝ่ายชนะ
แล้วก็เพราะอาศัยโชคดีขี้หมาเช่นนี้ เด็กหนุ่มชุดขาวถึงได้สมบัติสิบหกชิ้นที่เหลืออยู่ของแคว้นเหวินจิ่งมาอยู่ในมือ เดินอาดๆ ลงมาจากภูเขา เอาหยกลัญจกรประจำแคว้นที่สืบทอดต่อกันมาซึ่งมีมูลค่าควรเมืองเหล่านั้นบรรจุไว้ในห่อผ้าฝ้ายง่ายๆ แล้วให้เด็กเล็กร่างกายบอบบางคนหนึ่งแบกไว้ เวลาเดินลงจากภูเขาจึงเกิดเสียงดังกระทบกันเคร้งคร้าง
ระหว่างที่เดินลงจากภูเขา เซียนหลิวหลีที่รับหน้าที่เป็นข้ารับใช้เฒ่ารู้สึกเสียวสันหลังวาบอยู่ตลอดเวลา ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาอาจถูกเปิดออกทุกเมื่อ จากนั้นก็ถูกคนเขาปิดประตูตีสุนัข แน่นอนว่าสุดท้ายใครจะตีใครก็ยังบอกได้ยาก แต่ผู้ฝึกตนเฒ่ากังวลว่าสมบัติอาคมไม่มีตา หากเซียนซือใหญ่ชุยดูแลได้ไม่ทั่วถึง ตนจะพานถูกฆ่าผิดตัวไปด้วย ผู้ฝึกตนเฒ่ารู้ชัดเจนดีว่าคนเดียวที่ชุยเซียนซือสนใจ คือเจ้าเด็กโง่ที่สายตาขุ่นมัวไม่ฉายแววของการมีสติปัญญาผู้นั้น
โชคดีที่ดวงในการเดิมพันของภูเขาลูกนั้นดีได้เสียที เพราะไม่ได้คิดจะลงมือ
ตลอดทางมานี้ คนทั้งสามคนต้องเดินเท้ากันไม่น้อย
เห็นการแสดงยุทธของเมืองหลวงที่แคว้นอวิ๋นเซียวเรียกว่ากองทัพม้าเหล็ก ได้ชื่นชมงานเทศกาลโคมไฟในเมืองหลวงของแคว้นชิ่งซาน น่าเสียดายที่ผู้ฝึกตนเฒ่าไม่ได้เห็น ‘ห้าสะคราญอวบอิ่ม’ อันเป็นความชื่นชอบประหลาดของฮ่องเต้แคว้นชิ่งซาน เขารู้สึกเสียดายเล็กน้อย ไม่อย่างนั้นแค่ได้เห็นให้เป็นบุญตาก็ยังดี แต่ชุยเซียนซือได้ซื้อ ‘เฉียนเปิ่นฉ่าว’ ซึ่งเป็นที่นิยมมาหนึ่งเล่ม ไม่ใช่ตำราฉบับสมบูรณ์หายากอะไร สามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไป เวลาที่เดินอยู่บนเส้นทางสายเล็กระหว่างป่าเขา ก็มักจะเดินไปอ่านไป บอกว่าเนื้อหาชวนให้ขบคิด
หลังจากผ่านชายแดนแคว้นชิงหลวนมา ชุยเซียนซือก็เดินช้ายิ่งกว่าเดิม มักจะหยิบเอาหยกลัญจกรชิ้นหนึ่งออกมาเป็นประจำ แล้วเอามาถูลงบนใบหน้าของเด็กน้อยที่ถูกเขาเรียกว่า ‘เกาเหล่าตี้’
เซียนหลิวหลีทำหน้าที่เหมือนคนแบกหามที่คอยรับใช้คุณชายร่ำรวยที่ออกเดินทางทัศนาจร คอยแบกหีบที่ใส่ของจุกจิก
แต่เขารู้สึกว่าเมื่อเทียบกับ ‘เกาเหล่าตี้’ ที่มักจะถูกขี่เป็นม้าเป็นประจำแล้ว อันที่จริงเขาถือว่าโชคดีมากแล้ว ดังนั้นจึงมักจะพร่ำเตือนตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่า ต้องรู้จักทะนุถนอมความโชคดีนี้เอาไว้
ส่วนการกระทำหลายอย่างที่เป็นไปตามแต่ใจขึ้นอยู่กับอารมณ์ของท่านชุยผู้นั้น ผู้ฝึกตนเฒ่าเห็นมาจนชินชาแล้ว
ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มหนึ่ง ในกลุ่มสามคนนั้นมีคนที่ชื่อว่าลวี่หยางเจิน ทั้งสองฝ่ายมาพบเจอกันโดยบังเอิญ เดินทางร่วมกันไประยะทางหนึ่ง เซียนหลิวหลีคิดแล้วก็ยังไม่เข้าใจ ผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่ต่างจากมดตัวน้อยเหล่านี้มีคุณสมบัติอะไรมาพูดคุยกับเซียนซือใหญ่ชุยอย่างถูกคอ ถึงท้ายที่สุดยังได้รับโชควาสนาครั้งหนึ่งที่เซียนซือใหญ่ชุยตั้งใจทิ้งไว้ให้ไปด้วย นั่นเป็นตอนที่อยู่ในถ้ำที่ใช้หลบฝนแห่งหนึ่ง แล้วไปแตะโดนกลไกโดย ‘ไม่ทันระวัง’ ดังนั้นอาจารย์ค่ายกลคนหนึ่งในนั้นจึงได้รับยันต์ปึกใหญ่ที่มีชื่อว่าหวงสี่ เรียกได้ว่ามีโชคดีใหญ่เทียมฟ้า หากนำมาหักเป็นเงินเทพเซียน ย่อมต้องเป็นทรัพย์สมบัติก้อนใหญ่ยักษ์ก้อนหนึ่งอย่างแน่นอน อีกสองคนที่เหลืออย่างพวกลวี่หยางเจินก็ได้รับผลเก็บเกี่ยวไปไม่น้อย เชื่อว่าความรู้สึกของคนทั้งสามในเวลานั้นก็คงเหมือนเหยียบขี้หมา พอยกเท้าขึ้นมาดู โอ้โห กำลังจะอ้าปากด่า แต่ดันเห็นว่าด้านล่างขี้หมาซ่อนทองเอาไว้
ตอนนั้นเซียนหลิวหลีมองผู้ฝึกตนอิสระทั้งสามคนที่ปิติยินดีเจียนคลั่งปรึกษาหารือกัน จากนั้นก็ถือว่าพวกเขาพอจะมีคุณธรรมอยู่บ้าง เพราะตกลงกันว่าจะแบ่งเงินเทพเซียนส่วนหนึ่งให้แก่เซียนซือใหญ่ชุย ส่วนเซียนซือใหญ่ชุยก็ดันทำหน้า ‘ดีใจอย่างไม่คาดฝัน’ บวกกับ ‘ซาบซึ้งจนน้ำหูน้ำตาไหล’ รับความปรารถนาดีนั้นไว้ เซียนหลิวหลีที่อยู่ด้านข้างมองดูอยู่ด้วยความอัดอั้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง
คิดแล้วก็ไม่เข้าใจ งั้นควรทำอย่างไร? ก็ไม่ต้องคิดน่ะสิ ผู้ฝึกตนลัทธิมารอย่างเซียนหลิวหลีนี้ ในเรื่องบางเรื่องสามารถเข้าใจได้ชัดเจนเป็นพิเศษ
ส่วนที่เรือนแยนจือแคว้นอวิ๋นเซียวซึ่งมีผู้ฝึกตนหญิงรวมตัวกันอยู่มากมายแห่งนั้น เด็กหนุ่มชุดขาวก็ไปยืนสองมือเท้าเอวตรงหน้าประตูภูเขา แล้วร้องเร่ขายภาพวังวสันต์เทพเซียนของตัวเองด้วยเสียงอันดัง แน่นอนว่าทำการค้าไม่สำเร็จ คุณธรรมก็ไม่มี ดังนั้นจึงได้แต่ถูกผู้ฝึกตนหญิงกลุ่มใหญ่พุ่งลงจากเขามาไล่ฆ่าด้วยท่าทางเกรี้ยวกราดดุดัน
เรื่องแบบนี้ไม่นับเป็นเรื่องอะไรได้เลย
เซียนหลิวหลีรู้สึกว่าตลอดทางที่ได้เดินทางมานี้ ตนได้ฝึกจิตใจจนประสบผลสำเร็จใหญ่แล้ว!
นอกจากเรื่องเล่นสนุกพวกนี้
บางครั้งเซียนซือใหญ่ชุยก็มีความจริงจังอยู่บ้าง นั่นยิ่งทำให้ผู้ฝึกตนเฒ่ารู้สึกเลื่อมใสอย่างถึงที่สุด
ตอนอยู่ในอารามจินกุ้ย เซียนซือชุยนั่งลงถกปัญหากับเจ้าอาราม
พูดไปพูดมา เจ้าอารามผู้เฒ่าก็เข้าสู่สภาวะเข้าฌานนั่งลืมตนไป
เจ้าอารามผู้นั้นมีนามว่าจางกั่ว ตบะขอบเขตประตูมังกร แต่เวลานั้นราวกับว่าจู่ๆ ก็มีลางว่าจะได้เลื่อนเป็นขอบเขตโอสถทอง
ทำเอาเซียนหลิวหลีที่มองดูอยู่รู้สึกอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง
ในวัดป๋ายสุ่ยที่มีกระแสน้ำพุที่กำเนิดขึ้นใต้ดิน ชุยเซียนซือนั่งอยู่บนปากบ่อน้ำที่ไม่รู้ว่าเหตุใดปากบ่อถึงถูกปิด แล้วก็เริ่มอธิบายพระคัมภีร์กับภิกษุหนุ่มที่ออกไปถ่ายทอดพระธรรมอยู่นอกวัดมากกว่าศึกษาพระคัมภีร์อยู่ในวัด
คนทั้งสองล้วนสวมชุดสีขาว
หนึ่งลัทธิขงจื๊อ หนึ่งภิกษุ
แรกเริ่มทั้งสองฝ่ายเริ่มถกปัญหากันที่เรื่อง ‘พ้นจากพระคัมภีร์หนึ่งคำ ย่อมกลายเป็นข้อวิจารณ์ที่บ่อนทำลาย’
ถึงอย่างไรเซียนหลิวหลีก็รู้สึกเหมือนฟังภาษาสวรรค์ จึงไม่รู้สึกสนใจแม้แต่น้อย
ส่วนเด็กน้อย ‘เกาเหล่าตี้’ นั้นนั่งอยู่ข้างประตูไม้ไผ่สาน รับฟังคำพูดของแต่ละคนที่อยู่ด้านใน เด็กน้อยร้องอือๆ อาๆ แต่ก็ยังคงพูดอะไรไม่ได้อยู่ดี
สุดท้ายชุยเซียนซือที่สวมชุดขาวล่องลอยก็นั่งขัดสมาธิอยู่บนปากบ่อที่ใช้หินสีดำปิดเอาไว้ ยิ้มพูดปริศนาธรรมติดต่อกันอยู่หลายคำ ‘สือฟางยึดที่นั่ง เชียนเหยี่ยนพลันหยุดชะงัก? ไม่สู้ยึดลิ้นของคนใต้หล้าทั้งหมด? ถ้าอย่างนั้นจะต้องเคียดแค้นที่ไม่ได้เตะแท่นดอกบัวให้พลิกคว่ำ ไม่ได้ทุบเศียรพระพุทธรูปให้แตกด้วยหรือไม่?’
จากนั้นเขาก็ยกฝ่ามือตบให้หินสีดำที่ปิดผนึกบ่อน้ำก้อนนั้นแตกออก
เด็กหนุ่มชุดเขียวลอยตัวอยู่เหนือปากบ่อ แล้วถามกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ภิกษุเฒ่าก็มีความรู้สึกเหมือนแมว แต่ไม่กล้าร้องเรียกต่อหน้าคน?”
ภิกษุชุดขาวท่านนั้นก้มหน้าพนมมือทั้งสิบ ท่องภาษาพระธรรมเบาๆ หนึ่งคำ
สุดท้ายชุยเซียนซือพูดกลั้วหัวเราะอีกว่า “พระคัมภีร์ค่อนข้างหนัก ยกขึ้นแล้วถึงวางได้ลง ประตูสองบานแดนสุขาวดี มองไม่ทะลุก็เปิดไม่ออก”
ภิกษุหนุ่มเงยหน้าขึ้นคลี่ยิ้ม แล้วเอ่ยเนิบช้าอย่างรู้ใจว่า “คนที่ฝีมือเล่นหมากล้อมสูงเช่นท่าน ใต้หล้านี้มีน้อย คนที่โง่เขลาเฉกเช่นข้า ใต้หล้านี้ไม่มี”
—-