จากนั้นเซียนหลิวหลีก็ได้เห็นว่าเซียนซือใหญ่ชุยของตนผู้นั้นคล้ายจะพึงพอใจกับถ้อยคำนั้นมาก จึงกระโดดลงจากบ่อน้ำ เดินจากมาพร้อมเสียงหัวเราะอันดัง เขาตบหัวเด็กน้อยหนึ่งที แล้วคนทั้งสามก็ออกมาจากวัดป๋ายสุ่ยด้วยกัน
ยามนั้นชายแขนเสื้อของเด็กหนุ่มชุดขาวโบกสะบัด ฝีเท้าล่องลอยดุจลูกคลื่น จุ๊ปากเอ่ยว่า “หากให้ตายอย่างไรเจ้าก้อนหินดื้อด้านนี้ก็ไม่ยอมพยักหน้าตกลง ฝังตัวอยู่ท่ามกลางพื้นป่ารกชัฏแล้วได้มาเจอโดยบังเอิญ จะไม่ใช่เรื่องที่น่าเสียดายมากหรอกหรือ?!”
ถึงอย่างไรเซียนหลิวหลีก็ฟังอะไรไม่เข้าใจอยู่แล้ว จึงได้แต่แสร้งทำเป็นว่าเข้าใจด้วยการพยักหน้าเอ่ยว่า “เซียนซือท่านผู้อาวุโสนอกจากจะมีความรู้ที่ยิ่งใหญ่แล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าจะยังมีมรรคกถาสูงส่ง มีพระธรรมลึกล้ำขนาดนี้ ไปเข้าร่วมงานโต้วาทีของสามลัทธิได้สบายๆ ไม่มีปัญหาเลยจริงๆ”
เด็กหนุ่มชุดขาวด่าอย่างขันๆ ว่า “ผายลมเหม็นโฉ่น่ะสิเจ้า!”
เซียนหลิวหลียิ้มกระอักกระอ่วน แต่ก็ยังคงพยักหน้ารับ “เซียนซือกล่าวถูกทั้งหมด”
เด็กหนุ่มชุดขาวหันหน้ามา “เจ้าฉลาดไม่น้อย ไม่สู้อยู่เป็นพระที่นี่ดีหรือไม่?”
เซียนหลิวหลีทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “ไม่นะ ข้าไม่มีความฉลาดมากพอจะฝึกพระธรรมหรอก! ไม่มีเลยสักนิดเดียว!”
จากนั้นชุยตงซานก็พาหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กไปที่เมืองหลวงแคว้นชิงหลวนมารอบหนึ่ง
ไปพบกับเจ้าอารามของอารามขนาดเล็กท่านหนึ่ง
อารามเต๋าแห่งนั้นมีชื่อว่าอารามป๋ายอวิ๋น เป็นสถานที่ห่างไกลที่เล็กเท่าก้อนเต้าหู้ อยู่ติดกับตรอกซอกซอยในหมู่ชาวบ้าน เสียงหมาเห่าไก่ขัน คลอเคล้าไปด้วยเสียงเด็กๆ วิ่งเล่นกันเจี๊ยวจ๊าว เสียงร้องเร่ขายของ จอแจดังระงม
ชุยตงซานพักอยู่ที่นั่นหลายวัน บริจาคเงินค่าธูปค่าน้ำมันไปไม่น้อย แน่นอนว่าก็ยืมหนังสือมาเปิดอ่านอยู่หลายเล่มด้วย เจ้าอารามท่านนี้อย่างอื่นนั้นมีไม่มาก ที่มากก็คือตำราที่เก็บสะสมเอาไว้ อีกทั้งลำพังเพียงแค่ความเข้าใจจากการอ่านตำราหลากหลายของนักพรตวัยกลางคนที่ไร้สัญชาติไร้นามผู้นั้น ก็สามารถเอามาเขียนเป็นตัวอักษรได้เกือบหนึ่งล้านตัว ชุยตงซานจึงอ่านสิ่งที่เขาเขียนมากกว่า เจ้าอารามเองก็ไม่ได้หวงวิชาความรู้ ยินดีให้คนอื่นมาเปิดอ่าน ประเด็นสำคัญคือเด็กหนุ่มต่างถิ่นที่แบกหีบตำราออกทัศนาจรผู้นี้ยังเป็นผู้มีจิตศรัทธาที่ใช้จ่ายเงินมือเติบอีกด้วย ในที่สุดอารามป๋ายอวิ๋นของตนก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องไม่มีข้าวสารกรอกหม้ออีกแล้ว
เช้าตรู่วันที่ชุยตงซานบอกลาจากไป นักพรตน้อยคนหนึ่งที่กว่าจะได้มีชีวิตสุขสบายดั่งเทพเซียนได้ไม่ใช่เรื่องง่ายรู้สึกไม่อยากให้เขาจากไปเลย เด็กน้อยร้องให้น้ำมูกน้ำตานองหน้า ทำเอาอาจารย์ที่เป็นเจ้าอารามมองเขาด้วยความเวทนา ตนที่เป็นอาจารย์ทำหน้าที่ไม่ได้เรื่องเลยใช่หรือไม่?
ชุยตงซานจากไปได้ไม่ถึงครึ่งวัน
นักพรตน้อยยังคร่ำครวญไม่เลิก ตอนที่ถือไม้กวาดกวาดใบไม้ร่วงในอารามจึงค่อนข้างจะใจลอยไปบ้าง
จากนั้นก็มีรถเทียมวัวเจ็ดแปดคันพากันเคลื่อนขบวนมาถึงนอกอารามป๋ายอวิ๋น บอกว่าเอาตำรามาส่ง
บนรถเทียมวัวบรรจุตำราหลากหลายรูปแบบของร้อยสำนักเอาไว้ แต่ละหีบแต่ละลังล้วนถูกเคลื่อนย้ายเข้าไปในอารามเต๋าขนาดเล็กแห่งนี้
ภาพนี้ทำเอาเจ้าอารามวัยกลางคนที่ใบหน้าผอมตอบปากอ้าตาค้าง
แต่เมื่อป้ายแผ่นหนึ่งถูกเอาลงมาจากรถเทียมวัวคันสุดท้าย เจ้าอารามก็เรียกนักพรตน้อยที่อารมณ์ลิงโลดเบิกบานให้ช่วยกันยกเข้าไปในห้องหนังสืออย่างระมัดระวัง
บนกรอบป้ายนั้นเขียนสองคำว่า ‘ไจซิน’ (ขจัดความคิดวุ่นวายในใจ เพื่อฝึกจิตใจให้สงบ)
หลังออกมาจากเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนแล้ว เซียนหลิวหลีก็ทำหน้าที่เป็นสารถีขับรถม้า ชุยตงซานนั่งอยู่ด้านข้าง เด็กน้อยนั่งงีบหลับอยู่ในห้องโดยสาร
ผู้ฝึกตนเฒ่าถามเสียงเบา “เซียนซือ เจ้าอารามป๋ายอวิ๋นผู้นั้นไม่ใช่ผู้ฝึกตนเสียหน่อย เหตุใดท่านถึงต้องโปรดปรานเขาขนาดนี้?”
ชุยตงซานโบกชายแขนเสื้อสีขาวหิมะไปทางซ้ายทีขวาที บนทีล่างที พลางเอ่ยว่า “เขาน่ะหรือ อาจารย์สองคนของข้าทั้งก่อนและหลัง ล้วนเป็นคนประเภทเดียวกัน ในช่วงยุคสันติสุข ต่างก็ไม่โดดเด่น ทว่าพอถึงช่วงกลียุค นั่นก็คือ…”
ผู้ฝึกตนเฒ่ารอคอยประโยคถัดไป แต่รออยู่นานก็ยังไม่ได้ยินประโยคหลังนั้นเสียที
รอจนเซียนหลิวหลีล้มเลิกความคิดที่จะรอคอยคำตอบ ชุยตงซานถึงยิ้มเอ่ยว่า “เป็นอาจารย์ที่ดีที่สุด”
ชุยตงซานหยุดมือทั้งสองข้าง พูดเนิบช้าว่า “คนสอนหนังสือทั่วไป สามารถทำให้ความรู้ของเด็กเรียนดี ดีขึ้นได้มากกว่าเดิม อาจารย์ที่ดีขึ้นมาหน่อย ก็จะสอนทั้งเด็กเรียนดี แล้วก็ดูแลเด็กที่เรียนไม่เก่งด้วย ยินดีโน้มน้าวคนให้เปลี่ยนจากผิดไปเป็นถูก ส่วนอาจารย์ที่ดีที่สุดในใต้หล้านี้ล้วนยินดีที่จะมอบความอดทนและความปรารถนาดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้แก่พวกคนชั่วร้ายที่ไม่รู้ความเพราะไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน คนประเภทนี้ ไม่ว่าพวกเขาเดินไปที่ไหน โรงเรียนและเสียงท่องหนังสือ แท้จริงแล้วก็ยังอยู่ตรงนั้น มีบางคนรู้สึกว่าหนวกหู ไม่เป็นไร มีคนฟังเข้าหู ย่อมดี”
ชุยตงซานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ใช่ช่างซ่อมที่สามารถเขย่าคลอนวิถีทางโลกอะไร แต่เป็นต้นกำเนิดน้ำพุใสในใจของคนบนโลก น้ำไหลลงไปสู่เบื้องล่าง ผ่านเท้าของทุกคนไป เพราะไม่ได้อยู่ในระดับสูง ไม่ว่าใครก็ล้วนสามารถก้มหน้าค้อมเอวลงไปวักน้ำมาดื่มได้”
ชุยตงซานพลันลุกพรวดขึ้นยืน ชูแขนขึ้นสูงราวกับว่าในมือถือจอกเหล้า เด็กหนุ่มชุดขาวในเวลานี้ลุกขึ้นยืนอาภรณ์โบกสะบัด สีหน้าเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา “บนโลกใบนี้มีรสชาติหวานมันเลี่ยนอยู่มากมาย ทุกคนชื่นชอบ แน่นอนว่าย่อมไม่ผิด ตามหลักแล้วก็ควรเป็นเช่นนี้ ทว่ายามที่กระหายน้ำก็มีน้ำให้ดื่ม วักมาดื่มด้วยตัวเอง จะไม่สาแก่ใจ จะไม่โชคดีได้หรือไร?!”
เซียนหลิวหลีขับรถม้าอย่างระมัดระวัง
เฮ้อ
เซียนซือใหญ่ชุยชอบพูดจาประหลาดที่ทำให้คนไม่เข้าใจเช่นนี้อยู่เสมอ
ผลกลับกลายเป็นว่าผู้ฝึกตนเฒ่าถูกเตะเข้าที่ท้ายทอยด้านหลัง แล้วคนผู้นั้นก็ด่าตามมาว่า “มารดามันเถอะ เจ้าไม่รู้จักเอ่ยประจบเอาใจสักคำ ไม่รู้จักปรบมือให้กำลังใจกันบ้างเลยรึ?!”
ผู้ฝึกตนเฒ่าตกใจสะดุ้งโหยง รีบใคร่ครวญหาถ้อยคำอย่างรวดเร็ว
เพียงแต่ว่าถ้อยคำประจบเอาใจนี้ ไม่ใช่ว่านึกจะพูดก็พูดได้นี่นา แล้วนับประสาอะไรกับที่ถูกเซียนซือใหญ่ชุยทำให้ตกใจเช่นนี้ ต่อให้เซียนหลิวหลีเค้นสมองครุ่นคิดก็ยังไม่อาจหาถ้อยคำที่เหมาะสมออกมาได้แม้แต่ครึ่งคำ
ยังดีที่คนผู้นั้นที่อยู่ด้านหลังได้พูดขึ้นมาแล้วว่า “ช่างเถิด ถึงอย่างไรชั่วชีวิตนี้เจ้าก็ไม่มีโชคจะได้ไปอยู่ภูเขาลั่วพั่วแล้ว”
จากนั้นเซียนหลิวหลีก็ผ่อนคลายขึ้นได้หลายส่วน
เพราะบริเวณโดยรอบรถม้ามีนกสีเขียวที่ถูกพับจากกระดาษบินล้อมวนราวกับสิ่งมีชีวิต
ไม่ใช่กระดาษยันต์หวงสี่ที่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางทั่วไปสามารถทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อมาได้
แต่เป็น ‘ยันต์ชิงป๋าย’ ที่วัสดุเหมือนฟ้าสีครามหลังฝนตก ว่ากันว่าเป็นกระดาษยันต์ที่ลัทธิเต๋าใช้เขียนถ้อยคำแซ่ซ้องโดยเฉพาะ ล้ำค่าอย่างถึงที่สุด
ผู้ฝึกตนเฒ่าเองก็ถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญสายยันต์ครึ่งตัว
ดังนั้นจึงพอจะรู้ว่ากระดาษยันต์ที่ลี้ลับมหัศจรรย์ที่สุดในใต้หล้าแห่งนี้ คือกระดาษยันต์สีเขียวที่แฝงปณิธานของอริยะเอาไว้ เป็นกระดาษที่ไม่มีชื่อเรียกที่แน่นอน
เพียงแต่ว่ายันต์ชิงป๋ายที่ใช้เขียนคำแซ่ซ้องเหล่านี้กลับถูกนำมาพับเป็นนกกระดาษเสียอย่างนั้น
เซียนซือใหญ่ชุย มันเหมาะแล้วจริงๆ หรือ?
ท่านผู้อาวุโสเอามามอบให้ข้าสักสองสามแผ่นเป็นสมบัติสืบทอดก็ยังดีนี่นา
ในใจผู้ฝึกตนเฒ่าร้องคร่ำครวญไม่หยุด
ตลอดทางที่ระหกระเหเร่ร่อนมานี้ อันที่จริงเขาไม่เคยได้รับผลประโยชน์ใดๆ เลย จึงได้แต่หวังว่าในอนาคตวันใดวันหนึ่ง เซียนซือใหญ่ชุยจะรู้สึกว่าตนไม่มีความดีความชอบ อย่างน้อยก็ยังมีคุณความเหนื่อยยากที่เคยเป็นวัวเป็นม้าให้เขาอยู่บ้าง
เพียงแต่ว่าพอคิดถึงการเป็นวัวเป็นม้า อารมณ์ของผู้ฝึกตนเฒ่าก็ดีขึ้นได้หลายส่วน
เจ้าเด็กทึ่มที่อยู่ในห้องโดยสารนั่นต่างหาก ถึงจะเป็นวัวเป็นม้าที่แท้จริง
ชุยตงซานพลันเอ่ยขึ้นว่า “ขับอ้อมไป ไปยังสวนสิงโตของสกุลหลิ่ว ไปพบคนน่าสงสารคนหนึ่ง”
จากนั้นผู้ฝึกตนเฒ่าก็ขับรถม้าลงใต้ไปตามเส้นทางที่ชุยตงซานบอกไว้อย่างเชื่องช้ามั่นคง
ตลอดทางที่เดินทางอยู่ในแคว้นชิงหลวนแห่งนี้ มีเรื่องเล่าลือเกี่ยวกับสกุลหลิ่วสวนสิงโตอยู่ไม่น้อย
เจ้าประมุขสกุลหลิ่วผู้นำแห่งวงการนักประพันธ์ ไม่รักษาตัวให้ดีในวัยชรา ร่างกายทรุดโทรม ชื่อเสียงย่อยยับ จากขุนนางน้ำดีที่เป็นดั่งจิตแห่งบุ๋นของหนึ่งแคว้น กลับตกต่ำกลายมาเป็นคนสกปรกต่ำช้าราวกับปีศาจบุ๋น ยังไม่ต้องพูดถึงบทกวีและผลงานการประพันธ์ของเขาที่ถูกด้อยค่าจนไม่เหลือมูลค่าแม้แต่แดงเดียว นอกจากนี้ยังถูกสาดน้ำสกปรกใส่หัว อยากหลบเลี่ยงก็หลบเลี่ยงไม่ได้ ตระกูลปัญญาชนหนึ่งในสี่ตระกูลนักประพันธ์ใหญ่ของแคว้นชิงหลวน กลายมาเป็นพื้นที่ที่ซุกซ่อนความสกปรกโสมม ร้านหนังสือน้อยใหญ่ในหมู่ชาวบ้านยังมีการจัดพิมพ์นิยายรักประโลมโลกเล่มเล็กแบบหยาบๆ เผยแพร่ไปทั่วราชสำนักด้วย
ด้วยเหตุนี้หลิ่วชิงซานบุตรชายคนรองที่เดินทางกลับมาจากการท่องเที่ยวแล้วจัดงานแต่งงานที่สวนสิงโต รับสตรีต่างถิ่นไร้ชื่อไร้นามผู้หนึ่งเป็นภรรยา วันแต่งงานของเขารองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วจึงไม่ได้ออกมาพบเจอกับสหายสนิทแม้แต่คนเดียว
ส่วนหลิ่วชิงเฟิงบุตรชายคนโตที่ ‘ทำลายคนในครอบครัวเพื่อคุณธรรม’ นั้น ก็ได้ถูกตัดชื่ออกจากทำเนียบตระกูลสกุลหลิ่วไปนานแล้ว ตอนนี้ตำแหน่งขุนนางของเขาก็ไม่ได้ใหญ่โต ว่ากันว่าเป็นผู้ช่วยขุนนางหลักที่ดูแลการขนส่งทางน้ำ เมื่อเทียบกับตำแหน่งนายอำเภอก่อนหน้านี้ ถือว่าได้เลื่อนขั้น แต่ไม่มีใครรู้สึกว่าคนประเภทนี้จะสามารถเดินไปสู่ตำแหน่งสูงในแคว้นชิงหลวนที่ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงที่บริสุทธิ์ดีงามได้ ไม่แน่ว่าวันใดอาจไม่เหลือแม้แต่ตำแหน่งขุนนาง อีกทั้งจะต้องไม่มีใครสนใจใยดีเขา ไม่มีค่าพอให้กลายมาเป็นเรื่องขำขันที่ผู้คนจะเอามาพูดกันหลังมื้ออาหารด้วยซ้ำ เพราะพูดถึงเขาก็มีแต่ความน่าเบื่อ
นอกจากนี้ แคว้นชิงหลวนในทุกวันนี้เจริญรุ่งเรืองในทุกๆ ด้าน โชคชะตาของแคว้นรุ่งโรจน์
ราชสำนัก บนภูเขา ยุทธภพ วงการนักประพันธ์ ล้วนมีผู้มีความสามาถถือกำเนิด ประหนึ่งหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิที่ผุดขึ้นหลังฝนตก เป็นภาพบรรยากาศอันดีงามดุจแสงเรืองรองบนขอบฟ้า
ยกตัวอย่างเช่นมีเด็กอายุแค่หกขวบคนหนึ่ง เวลาสั้นๆ เพียงแค่หนึ่งปี ชื่อเสียงของการเป็นเด็กอัจฉริยะก็แพร่ไปทั่วราชสำนัก ในงานเทศกาลโคมไฟของเมืองหลวงปีนี้ เด็กอัจฉริยะถูกเรียกให้ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้และฮองเฮาที่หอชมทัศนียภาพ เด็กน้อยเข้าไปกอดขาฮองเฮาที่ได้เห็นเขาแค่แวบเดียวก็เกิดใจรักเอ็นดูอย่างสนิทสนม ฮ่องเต้ทดสอบความรู้ด้านบทกวีของเด็กอัจฉริยะผู้นี้ด้วยตัวเอง บอกให้เด็กคนนั้นแต่งกลอนตามหัวข้อที่มอบให้ เด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดของฮองเฮาขบคิดอยู่ชั่วครู่ก็ร่ายบทกวีออกมาจากปาก ฮ่องเต้พลันเบิกบานพระทัย ถึงขนาดแหกกฎมอบตำแหน่ง ‘ต้าโจวอ๋อง’ ให้กับเด็กน้อย นี่คือตำแหน่งขุนนางที่รอชดเชยตำแหน่งว่าง แม้ว่าจะยังไม่มีหน้าที่ในวงการขุนนาง แต่กลับเป็นตำแหน่งขุนนางที่จริงแท้แน่นอน นี่หมายความว่ามีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดที่เด็กคนนี้จะเป็นขุนนางที่อายุน้อยที่สุด ไม่ใช่แค่ในประวัติศาสตร์แคว้นชิงหลวน แต่เป็นในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีป!
เวลานี้กำลังจะเข้าสู่ช่วงหน้าหนาวแล้ว
ริมลำคลองเส้นหนึ่งที่ยังไม่ถูกขุดลอกให้ทะลุโล่งอย่างเต็มที่ บนทางเส้นเล็กที่เงียบสงัด ด้านบนรถม้าที่โยกคลอนขึ้นลง เด็กหนุ่มชุดขาวนั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้น ส่วนในมือของเด็กน้อยก็ถือเชือกสายป่านของว่าวที่เป็นผลิตภัณฑ์พิเศษของแคว้นชิงหลวนที่ชื่อว่ามู่เย่าเอาไว้
ขอแค่สายป่านไม่ขาด ว่าวกระดาษทุกชิ้นบนโลกใบนี้ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าสามารถโบยบินได้สูง แต่กลับไม่อาจจากไปได้ไกล
ชุยตงซานทิ้งตัวนอนหงายหลัง เหม่อมองว่าวที่อยู่บนฟ้า
อาจารย์ของข้า ตอนนี้สบายดีหรือไม่?
……
เรื่องของการเปิดเส้นทางลำเลียงทางน้ำใหม่อีกครั้ง เป็นเรื่องที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง เกี่ยวพันกับทุกด้านของแคว้นชิงหลวน ดังนั้นทางฝั่งของราชสำนักจึงไม่ได้เอาแต่เน้นในเรื่องความเร็วอย่างเดียว ความคืบหน้าจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า
ระดับขั้นของขุนนางที่รับผิดชอบดูแลเรื่องนี้ก็ไม่ถือว่าสูง มีอยู่สามคน สองคนแบ่งออกเป็นหลางจงจากเมืองหลวงที่ถูกดึงตัวมาจากกรมการคลังและกรมโยธาธิการ และยังมีผู้ว่าท่านหนึ่งของเมืองซึ่งเป็นสายหลักของเส้นทางลำเลียงทางน้ำตอนหนึ่ง เนื่องจากราชสำนักไม่ได้ประโคมข่าวเรื่องนี้ คนทั้งราชสำนักของแคว้นชิงหลวนที่ให้ความสนใจเรื่องนี้จึงมีไม่มาก มองดูเหมือนว่าใต้เท้าขุนนางจากเมืองหลวงสองท่านจะทำงานแค่ทางด้านทฤษฎี ส่วนผู้ว่าที่เป็นคนพื้นที่ทำงานด้านปฏิบัติ ทว่าในความเป็นจริงกลับตรงกันข้ามกันเลย ใต้เท้าผู้ว่าที่เดิมทีนึกว่าตนแค่ต้องมาทำงานพอเป็นพิธี พอไปถึงที่ว่าการที่สร้างไว้ชั่วคราวอยู่ริมตลิ่งของคลองส่งน้ำเข้าจริงๆ ถึงได้ค้นพบว่าหลางจงที่ตำแหน่งขุนนางยังเทียบกับตนไม่ได้ทั้งสองคนนั้น ดูเหมือนจะมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมมานานแล้ว ทำงานละเอียดรอบคอบ เป็นระเบียบขั้นตอน จนแทบจะใกล้เคียงกับคำว่ายิบย่อย เป็นเหตุให้แม้แต่ขุนนางใหญ่ในพื้นที่ที่คุ้นเคยกับงานในท้องถิ่นเป็นอย่างดีเช่นเขาไม่รู้ว่าควรจะยื่นมือเข้าแทรกตรงไหน ได้แต่ทำตามขั้นตอนที่ทั้งสองฝ่ายวางเอาไว้
นอกจากหลางจงระดับห้าชั้นเอกสองคนจากกรมการคลังและกรมโยธาธิการของเมืองหลวงแล้ว ยังมีขุนนางผู้ช่วยระดับห้าชั้นโทอีกคนหนึ่ง แซ่หลิ่ว นามว่าชิงเฟิง
ใต้เท้าหงผู้เป็นผู้ว่ารู้สึกรังเกียจชิงชังเด็กรุ่นหลังในวงการขุนนางอย่างเจ้าคนแซ่หลิ่วผู้นี้มาก ขายเพื่อนเพื่อเกียรติยศในยุทธภพก็ทำให้ผู้คนดูแคลนมากแล้ว แต่เจ้าตะพาบที่ขายพ่อเพื่อความรุ่งเรืองในวงการขุนนางเช่นนี้ ผู้ว่าหงรู้สึกเพียงว่าต้องปรึกษาเรื่องงานกับคนประเภทนี้ทุกวัน วันต่อมาต้องเปลี่ยนชุดขุนนางใหม่จึงจะได้ ไม่อย่างนั้นแค่ดื่มน้ำชาถ้วยเดียวก็ยังรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด
เวลาเกินครึ่งปีที่ผ่านมานี้ ผู้ว่าหงไม่เคยชายตาเหลือบแลหลิ่วชิงเฟิง แล้วก็ดูเหมือนว่าขุนนางใหญ่จากเมืองหลวงทั้งสองท่านจะเข้าใจอารมณ์ของใต้เท้าหงเป็นอย่างดี จึงจงใจแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเรื่องนี้ ส่วนตัวของหลิ่วชิงเฟิงเองนั้น สาเหตุคงเป็นเพราะหมวกขุนนางเล็ก อีกทั้งยังเหมือนวัวสันหลังหวะ จึงแสร้งทำเป็นนอบน้อมระมัดระวังยามอยู่กับใต้เท้าหงตลอดเวลา อีกทั้งเวลาปรึกษารายละเอียดเรื่องการจัดการเส้นทางลำเลียงทางน้ำบนโต๊ะประชุม หลิ่วชิงเฟิงก็แทบไม่เคยเปิดปากเอ่ยอะไร มีเพียงยามที่หลางจงจากเมืองหลวงสองคนเอ่ยถาม เขาถึงจะพูด
—-