หวงซือเตรียมจะปล่อยหมัดปลิดชีพนักพรตเฒ่าผู้นี้ คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินเสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งดังมาจากนอกตำหนักน้ำ หวงซือหันหน้าไปมอง ไม่นึกว่าจะเป็นสหายนักพรตเฉินผู้เฒ่าชุดดำที่ไม่ได้ไปหาสมบัติร่วมกับตี๋หยวนเฟิง
หวงซือชำเลืองตามองห่อสัมภาระที่คนผู้นั้นสะพายไว้บนไหล่ ดูจากท่าทางแล้วเหมือนจะบรรจุกระเบื้องแก้วและ…อิฐเขียวของอารามเต๋า?
เป็นเพราะขี้ขลาดเกินไป หรือว่าโชคย่ำแย่เกินไปกันแน่?
ระหว่างที่เร่งร้อนเดินทางมาถึงที่นี่ จนกระทั่งเดินหัวทิ่มเข้ามาในประตูผีอย่างตอนนี้ จะไม่มีผลเก็บเกี่ยวอย่างอื่นบ้างเลยหรือ?
หากเป็นเช่นนี้จริง หวงซือก็รู้สึกว่าใช้หนึ่งหมัดต่อยให้แมลงน่าสงสารผู้นี้ตายก็เปลืองแรงของตัวเองไปสักหน่อย
นักพรตซุนเห็นสหายนักพรตเฉินที่เดินมาถึงอย่างรีบร้อนก็ทั้งดีใจ แล้วก็ทั้งระอาใจ
สหายนักพรตเฉินผู้นี้ ไยไม่ฟังคำเตือนของเขาบ้างเลย แต่ก็ช่างเถิด เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ค่อยมาดูว่าจะมีโอกาสให้คนทั้งสองร่วมมือกันหรือไม่ หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกหวงซือฮุบเอาสมบัติที่พวกเขาสองพี่น้องหามาได้อย่างยากลำบากไปเพียงลำพัง
ชำเลืองตามองสภาพฝืดเคืองของห่อสัมภาระเจ้าหมอนั่น นักพรตซุนก็คิดในใจว่าหากไม่ได้จริงๆ วันหน้ารอให้คนทั้งสองร่วมมือกันเอาชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ได้สำเร็จ ตนค่อยมอบสมบัติสองสามชิ้นที่ไม่มีค่าให้กับสหายนักพรตเฉินก็แล้วกัน
เฉินผิงอันปาดเหงื่อบนหน้าผาก “เมื่อครู่เพื่อหาพวกเจ้าให้พบ ข้าก็เลยกระโดดขึ้นไปบนหลังคาเรือนหลังหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นคนสองกลุ่มเดินขึ้นเขามาแล้ว ก็เลยรีบกระโดดลงมา กลุ่มหนึ่งมีกันอยู่สองคน อายุยังน้อย มองดูแล้วคล้ายเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่พวกเราไม่ควรไปมีเรื่องด้วย ต่างก็สวมชุดคลุมอาคม กลุ่มที่สองก็คือท่านโหวน้อยของแคว้นเป่ยถิง ในกลุ่มมีกันห้าคน คนหนึ่งเฝ้าอยู่ตรงสะพานโค้งตีนเขา อีกคนหนึ่งวิ่งขึ้นไปยังอารามบนยอดเขาโดยตรง เห็นได้ชัดว่าจะยึดครองเส้นทางขึ้นเขาที่สำคัญไป ส่วนคนที่เหลืออีกสามคนนั้นเดินค้นสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ขึ้นเขามาช้าๆ ไม่ช้าก็เร็วต้องมาเจอกับพวกเราแน่ แบบนี้จะทำอย่างไรกันดี?”
หวงซืออารมณ์หนักอึ้ง
ตอนอยู่ที่ศาลาเก่าโทรมข้างทางสายเล็กไส้แกะ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสองคนนั่น เห็นได้ชัดว่าเป็นปรมาจารย์จริงแท้แน่นอน หากตนรับมือกับคนทั้งสองเพียงลำพังก็ต้องทุ่มสุดชีวิต
บวกกับอีกสามคนที่เหลือ หวงซือไม่คิดว่าตัวเองจะมีโอกาสหนีรอดไปพร้อมกับสมบัติ
ในเมื่อสถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ตอนนี้จึงยังไม่อาจสังหารสหายนักพรตสองคนที่อยู่ข้างหน้าและด้านหลัง คนหนึ่งอยู่ในคนหนึ่งอยู่นอกตำหนักน้ำคู่นี้ได้
ดังนั้นหวงซือจึงยิ้มเอ่ย “แค่ล้อเล่นกับนักพรตซุนเท่านั้น อย่าได้ถือสา”
นักพรตซุนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “การล้อเล่นที่ทำให้เสียความรู้สึกเช่นนี้ น้องหวงพูดให้น้อยหน่อยจะดีกว่า!”
หวงซือแอบโมโหอยู่ในใจ เกือบจะอดไม่ไหวต่อยให้สหายนักพรตซุนผู้นี้ตายไปก่อนหนึ่งหมัด ถึงอย่างไรนักพรตเต๋าเถื่อนที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัวคนหนึ่งก็สู้ผู้เฒ่าชุดดำที่เชี่ยวชาญการใช้ยันต์โจมตีในระยะไกลไม่ได้อยู่แล้ว สังหารนักพรตซุนไปคนหนึ่ง แล้วมอบสมบัติทั้งหมดของเขาให้ผู้เฒ่าชุดดำเก็บรักษาชั่วคราว หวงซือไม่เชื่อหรอกว่าสหายนักพรตเฉินผู้นี้จะไม่หวั่นไหวเลย!
นักพรตซุนพลันตะโกนขึ้นมาเสียงดังว่า “สหายเฉิน มาปรึกษากันหน่อย เจ้าจะมอบยันต์โจมตีให้ข้าสักสองสามแผ่นได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ ตอบว่า “สามารถทำการค้ากันได้”
นักพรตซุนบื้อใบ้พูดไม่ออก
หวงซือขมวดคิ้ว แต่ไม่นานหัวคิ้วก็คลายออก เกือบลืมไปแล้วว่านักพรตซุนเองก็เป็นผู้ฝึกตนลัทธิเต๋าครึ่งตัวเหมือนกัน ต่อให้วาดยันต์ไม่เป็น แต่คิดจะควบคุมยันต์ก็ไม่ยากเลย
แต่นี่ก็ไม่ถือว่าเป็นข่าวร้ายอะไร มีนักพรตซุนและผู้เฒ่าชุดดำสองคนคอยถือยันต์โจมตีไว้ในมือ บวกกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองอย่างตน แล้วยังมีตี๋หยวนเฟิงอีกคน สี่คนมารวมตัวกันก็ไม่อาจดูแคลนได้
หวงซือเดินก้าวออกไปจากธรณีประตูตำหนักน้ำ แล้วหลีกทางให้ผู้เฒ่าชุดดำที่หยุดยืนนิ่งไม่เดินหน้าต่อด้วยการยืนเบี่ยงตัว จากนั้นหางตาก็เหลือบมองไปยังผู้ฝึกลมปราณสองคนที่เนื้อหนังมังสาอ่อนแอพร้อมๆ กัน แล้วยิ้มเอ่ยว่า “พวกเราจะรักษาโชควาสนาในมือไว้ได้หรือไม่ ก็ต้องดูที่ว่าต่อจากนี้พวกเราจะยอมร่วมมือกันอย่างจริงใจหรือไม่ บอกไว้ก่อนว่า ข้าหวงซือคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกคนหนึ่ง นี่ไม่ใช่คำลวง หากเปิดฉากเข่นฆ่ากับใครขึ้นมา ข้าไม่มีทางออมมือ แต่ขอแค่พวกเราออกไปจากที่แห่งนี้ได้ เพื่อเป็นค่าตอบแทน พวกเจ้าทุกคนจำเป็นต้องมอบโชควาสนาอย่างหนึ่งให้แก่ข้า”
เฉินผิงอันเอามือตบห่อสัมภาระ ทำให้พอจะมองเห็นเค้าโครงของอิฐเขียวได้รางๆ เขาตอบรับอย่างฉับไวว่า “เชิญเอาไปได้ตามสบาย”
หวงซือที่มองดูอยู่ถึงกับหนังตากระตุก
นักพรตซุนกัดฟันพูด “นอกจากตำราลัทธิเต๋าเล่มนั้น สิ่งของที่อยู่ในห่อสัมภาระน้อยใหญ่สองใบนี้ เชิญน้องหวงเลือกเอาไปได้ตามสบาย!”
หวงซือลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ “ตกลงตามนี้!”
เฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา สบตากับนักพรตซุน ทั้งสองไม่จำเป็นต้องใช้เสียงในใจสื่อสารกันก็พากันมาด้านหลังเทวรูปที่ตั้งบูชาอยู่ในตำหนักน้ำ
คนทั้งสองนั่งยองอยู่บนพื้น นักพรตซุนเอ่ยถาม “สหายเฉินมียันต์โจมตีอยู่กี่ชนิด กี่แผ่น?”
เฉินผิงอันเอ่ย “มีสามชนิด นอกจากยันต์สายฟ้าสมบัติก้นกรุที่แพงที่สุดซึ่งมีชื่อว่ายันต์ห้าอสนีต้นตำรับ รวมไปถึงยันต์กระแสธาราสะบั้นนทีแล้วก็ยังมียันต์ขยุ้มดินขุนเขา นักพรตซุนแค่ฟังชื่อก็คงจะเดาออกแล้วว่าล้วนเป็นยันต์ล้ำค่าเป็นอันดับหนึ่งทั้งสิ้น ส่วนยันต์อื่นๆ …”
นักพรตซุนเห็นอีกฝ่ายทำท่าอึกๆ อักๆ ก็เริ่มรำคาญ จึงพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “นอกจากยันต์สายฟ้าแผ่นนั้นที่สหายเฉินเก็บไว้ป้องกันชีวิตตัวเอง ยันต์อื่นๆ ที่เหลือ ข้าผู้เป็นนักพรตขอเหมาหมด!”
กับสหายนักพรตเฉินผู้นี้ นักพรตซุนยังพอจะมีความมั่นใจอยู่บ้าง
ส่วนชื่อเรียกของยันต์แต่ละแผ่นที่ฟังดูเผด็จการไม่แพ้กันนั้น สหายนักพรตเฉินเจ้าคิดจะหลอกเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมหรือไร?!
เฉินผิงอันถาม “นักพรตซุน เจ้ามีเงินเทพเซียนมากขนาดนั้นเลยหรือ? ยันต์สมบัติตระกูลเซียนพวกนี้ที่ข้าต้องเอาชีวิตครึ่งหนึ่งไปทิ้งถึงจะแย่งชิงมาจากซากจวนตระกูลเซียนแห่งอื่นได้ แต่ละแผ่นล้วนไม่ใช่ราคาถูกๆ เลยนะ”
นักพรตซุนกล่าวอย่างกังขา “ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้บอกว่าเป็นยันต์ที่วาดขึ้นเองหรือไร?”
เฉินผิงอันตอบ “นักพรตซุนก็เชื่อเรื่องนี้ด้วยหรือ? หากข้าสามารถวาดยันต์ที่มีพลังพิฆาตเช่นนี้ได้ จะยังมาเป็นผู้ฝึกตนอิสระด้านล่างภูเขาที่ไม่ต่างจากสุนัขขุดดินหาของกินอีกทำไม ป่านนี้ก็คงไปเป็นผู้ถวายงานของภูเขาใหญ่ตระกูลเซียนระดับต้นๆ อย่างจวนไช่เฉวี่ย นครเหนือเมฆแล้วน่ะสิ? วันๆ แค่นอนเสพสุขก็พอ เหตุใดต้องมาหาเรื่องให้ตัวเองลำบากเช่นนี้ด้วย?”
นักพรตซุนพลันแสยะปากแยกเขี้ยว ยื่นมือมานวดคลึงข้างแก้ม “สหายเฉิน เจ้าว่ามาเถอะ ยังมียันต์อยู่อีกกี่แผ่น ข้าจะซื้อทั้งหมดเลย”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “นักพรตซุน เจ้าเป็นผู้อาวุโสก็ส่วนผู้อาวุโส แต่การค้าขายก็ส่วนการค้าขาย ต้องให้ผู้น้อยได้เห็นเงินเทพเซียนก่อน ยันต์ล้ำค่าที่มีไว้คุ้มกันกายเหล่านี้ ทุกแผ่นที่ขายออกไปล้วนทำให้ข้าเจ็บปวดจนใจสั่นได้ทั้งสิ้น”
นักพรตซุนพูดอย่างเดือดดาล “สหายเฉิน เป็นคนต้องมีคุณธรรม!”
เฉินผิงอันเองก็ไม่ยอมอ่อนข้อ “นักพรตซุน ค้าขายต้องยุติธรรม!”
นักพรตซุนรู้สึกหมดอาลัยตายอยากเล็กน้อย
มารดามันเถอะ สหายนักพรตเฉินผู้นี้ ที่แท้ก็หลอกไม่ง่ายเลย
นักพรตซุนลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะเปิดห่อสัมภาระที่ทำมาจากชุดคลุมอาคมแล้ววางลงบนพื้น พูดอย่างหวังดีว่า “ยันต์ดินน้ำสองชนิดอย่างละสามแผ่น ขายให้ข้าหกแผ่น จากนั้นเจ้าก็เลือกเอาสมบัติอาคมที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นหนึ่งไป”
เฉินผิงอันหยิบยันต์กระดาษเหลืองธรรมดาสองแผ่นออกมาจากในชายแขนเสื้อ จากนั้นมือที่คีบยันต์เอาไว้ก็อ้อมไปด้านหลัง มืออีกข้างหนึ่งเริ่มพลิกๆ ค้นๆ แล้วเอ่ยว่า “ยันต์สองแผ่น ขายเป็นคู่ จะใช้สิ่งนี้มาซื้อสิ่งของจวนเซียนที่แตกหักชิ้นหนึ่งจากนักพรตซุน”
นักพรตซุนหน้าเขียว เตรียมจะม้วนห่อสัมภาระเก็บ
เฉินผิงอันถึงได้วางยันต์สองแผ่นไว้บนห่อสัมภาระตรงเท้า แล้วเอ่ยว่า “ข้าเลือกได้ชิ้นหนึ่งแล้วค่อยมอบยันต์ให้นักพรตซุนอีกสองแผ่น”
นักพรตซุนถึงได้ยอมเลิกรา “สหายเฉิน การค้าแบบนี้ ข้าผู้เป็นนักพรตขาดทุนจะตายอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันไล่สายตามองวัตถุตระกูลเซียนยี่สิบกว่าชิ้นนั้นไปเรื่อยๆ ไม่หยุดนิ่ง หลังจากมองประเมินอย่างละเอียดแล้วก็พิจารณาพลางบ่นไปด้วยว่า “นักพรตซุน ในเมื่อเจ้ามีชาติกำเนิดมาจากเรือนเทพสายฟ้าแห่งภูเขาอิงเอ๋อร์ เหตุใดถึงไม่พกยันต์สายฟ้าหลายๆ แผ่นลงจากภูเขามาด้วยเล่า นักพรตซุนอาศัยแค่ว่าตัวเองเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล ทำอะไรประมาทขนาดนี้ เวลานี้จะยังมาบ่นข้าทำไม?”
นักพรตซุนถึงได้นึกถึงสถานะในทำเนียบวงศ์ตระกูลของตัวเองขึ้นมาได้ เขาลูบหนวดยิ้มเอ่ย “ลงจากภูเขามาหาประสบการณ์ มีเรื่องไม่คาดฝันนับพันนับหมื่น ไหนเลยจะคิดคำนวณได้เสียทุกเรื่อง หากสามารถคำนวณได้อย่างไร้ข้อผิดพลาดจริงๆ ยังจำเป็นต้องลงจากภูเขามาฝึกขัดเกลาจิตใจด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แล้วทำการเลือกหาสมบัติต่อไป
ของที่ถูกใจเฉินผิงอันมีอยู่สองชิ้น
หลังจากจับๆ พลิกๆ แล้วก็หมายตาอีกชิ้นหนึ่ง
สองชิ้นแรกที่เขาถูกตาต้องใจมากที่สุด ชิ้นหนึ่งในนั้นเป็นเพราะรู้สึกว่าหากเอาไปมอบให้คนอื่นย่อมดีที่สุด ส่วนระดับขั้นสูงต่ำนั้น กลับไม่ใช่สิ่งที่เฉินผิงอันให้ความสนใจสักเท่าไร
สามารถนำไปมอบให้หลี่ไหว
นั่นคือเทวรูปไม้แกะสลักที่มีระดับความสูงแค่ฝ่ามือองค์หนึ่ง
เทวรูปนี้สลักเป็นรูปของหยวนจวินลัทธิเต๋า หน้าตาเหมือนกับเทวรูปหญิงในตำหนักน้ำหลังนี้ เรือนกายอรชร เรียวยาวงามประณีต นิ้วมือที่เรียวยาวนั้นกำลังทำมุทรา สีหน้าเมตตาปราณี บนศีรษะสวมกวาน ชุดที่สวมใส่งามล้ำค่าเหมือนผ้าแพรต่วนในโลกมนุษย์ ช่วงล่างของชุดห้อยระคลุมที่ประทับ
ด้านใต้ฐานมีตัวอักษรเท่าหัวแมลงวันสลักไว้สิบสองตัว พิศส่องความสะอาดบริสุทธิ์ภายใน ไม่ถูกมารภายนอกบดบัง
เฉินผิงอันรู้สึกว่าความหมายดีมาก
และยังมีพัดกลมอันเล็กที่ลักษณะโบราณเรียบง่ายอีกหนึ่งอัน มองดูแล้วก็น่าจะมีราคาไม่น้อย ในอนาคตเอาไปวางไว้ในร้านบนถนนเหล่าไหวของสวนน้ำค้างวสันต์ หรือไม่ก็ไว้ในร้านผ้าห่อบุญของภูเขาหนิวเจี่ยว ไม่แน่ว่าอาจจะเจอกับพวกคนหลอกง่าย เพราะถึงอย่างไรการซื้อของของผู้ฝึกตนหญิงบนโลกใบนี้ อันที่จริงก็ไม่ได้ต่างจากสตรีล่างภูเขาเลย ยินดีทุ่มทองพันชั่งมากกว่าบุรุษ ขอแค่พวกนางชอบก็ไม่ต้องสนใจเหตุผลหรือพูดถึงเรื่องระดับขั้นอีก
ชิ้นสุดท้ายกลับเป็นชิ้นที่ทำให้เฉินผิงอันประหลาดใจได้มากที่สุด
หรือควรจะพูดให้ถูกต้องก็คือ รู้สึกตกตะลึงมากที่สุด
นั่งคือกรงขนาดเล็กที่สานจากไม้ไผ่โดยมีเส้นด้ายสีทองร้อยพัน ไผ่เขียวสีสันสดใส เขียวปลั่งราวกับสามารถเค้นน้ำออกมาได้ เพียงแต่ว่าไม่ต่างจากวัตถุชิ้นอื่นๆ ของที่แห่งนี้สักเท่าไร นั่นคือมีรอยปริแตกเล็กๆ น้อยๆ ทำให้รูปลักษณ์เสียหายไปมาก กรงเล็กทั้งสองใบล้วนมีขนาดเท่ากำปั้น มองดูเหมือนกรงจิ้งหรีดในหมู่ชาวบ้าน แบ่งออกเป็นสลักคำว่า ‘ชนเจียว’ ‘ซ่อนผาน’ (ผานหลง มังกรขดตัว)
ทำเอาเฉินผิงอันที่ได้เห็นมีเหงื่อผุดซึมออกมาจากหน้าผากอย่างที่หาได้ยาก
เขาตื่นเต้นจริงๆ แล้ว
รู้สึกว่าหากมีโอกาสจะต้องไปเยี่ยมเยือนภูเขาท่องยุทธภพค้นหาสมบัติกับนักพรตซุนดูสักหน่อย
นักพรตซุนรู้สึกถึงความผิดปกติ การค้าที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ เหตุใดสหายเฉินถึงได้มีสีหน้ากระอักกระอ่วนเช่นนี้? หรือว่าเพิ่งจะมารู้สึกตัวเอาภายหลัง พลันตระหนักได้ถึงความจริงอย่างหนึ่ง รู้ว่าต่อให้สิ่งของในห่อสัมภาระของตนจะมีค่ามากแค่ไหน อันที่จริงก็สู้ยันต์ที่ปกป้องกายไม่ได้ มีเก็บไว้มากหนึ่งแผ่นก็เท่ากับว่ามีโอกาสรอดชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเสี้ยว? นี่ทำให้หน้าผากของนักพรตซุนก็มีเหงื่อผุดซึมออกมาเหมือนกัน จึงเตรียมจะยื่นมือออกไปแอบคว้ายันต์สองแผ่นนั้นมา ในใจคิดว่าสหายเฉิน ด้วยมิตรภาพของพวกเราสองพี่น้อง ยันต์สองแผ่นก็สองแผ่นเถอะ นักพรตซุนคีบยันต์มาซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อ แล้วผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ เตรียมจะพูดว่าอีกสองแผ่นที่เหลือนั้นช่างเถิด
คิดไม่ถึงว่าสหายเฉินจะหยิบพัดกลมอันนั้นขึ้นมา จากนั้นก็หยิบยันต์ดินน้ำอีกสองแผ่นออกมาจากในชายแขนเสื้อ ยื่นส่งให้นักพรตซุนตามสัญญา
แล้วเขาก็ปลดห่อสัมภาระที่สะพายไว้บนไหล่ลงมา หยิบเอาผ้าห่อสัมภาระที่วางทับซ้อนกันเป็นปึกสอดไว้กลางอิฐเขียวและกระเบื้องแก้วมรกตออกมาสะบัดเบาๆ แล้วถึงได้เอาพัดด้ามนี้ใส่ไว้ในห่อผ้า
ทำเอานักพรตซุนที่มองดูอยู่ทั้งตกตะลึงทั้งอิจฉา ไม่นึกเลยว่าสหายเฉินจะพกห่อสัมภาระผ้าเขียวติดตัวมามากขนาดนี้ ช่างมีประสบการณ์ในยุทธภพจริงๆ
เฉินผิงอันหยิบยันต์ออกมาอีกสี่แผ่น วางไว้ด้านบนชุดคลุมอาคมที่นักพรตซุนวางไว้บนพื้น แล้วค่อยเก็บเทวรูปหยวนจวินไม้แกะสลักอันนั้นใส่ไว้ในห่อผ้า
นักพรตซุนอารมณ์ดีอย่างยิ่ง ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “สหายเฉินเอายันต์ออกมาอีกสักสี่แผ่นดีไหม? สมบัติบนพื้นนี่ เจ้าเลือกได้ตามสบาย ค่อยๆ เลือกไปเถอะ”
เฉินผิงอันลังเลใจ ทำท่าอิดออดๆ แต่สุดท้ายกลับหยิบยันต์อีกยี่สิบกว่าแผ่นออกมาจากในชายแขนเสื้อ ในนั้นมีเส้นสีทองสอดแทรกอยู่สามเส้น น่าจะเป็นยันต์สีทองสามแผ่น!
นักพรตซุนเห็นสหายนักพรตผู้นี้กำยันต์ปึกหนึ่งไว้ในกำมือ แล้วก็ก้มหน้าเหลียวซ้ายแลขวา
น่าจะเป็นสมบัติส่วนสุดท้ายของสหายนักพรตเฉินผู้นี้แล้วกระมัง
นักพรตซุนกลืนน้ำลาย เตือนตัวเองว่าต้องสุขุมมีสติ จะต้องทำหน้าเฉยเมยไม่สะทกสะท้าน แต่กระนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าก็ยังคงแข็งทื่อ เขาลองถามหยั่งเชิงเบาๆ ว่า “สหายเฉิน หรือว่ายังมีของที่เจ้าถูกใจอีก? เรื่องดีมักมาเป็นคู่ ข้าผู้เป็นนักพรตให้เจ้าซื้อหนึ่งแถมหนึ่งได้ แค่มอบยันต์โจมตีให้ข้าสักสี่แผ่นก็พอ”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ช่างเถิด ขายยันต์แปดแผ่นนี้ไป ตัวข้าเองก็จะเหลือยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางอยู่ค่อนข้างมาก ไม่ได้ๆ”
นักพรตซุนเอ่ยเตือน “สหายเฉิน ออกจากสถานที่แห่งนี้ไปแล้ว เจ้าไม่อยากจะไปเยือนเรือนเทพสายฟ้าภูเขาอิงเอ๋อร์พร้อมกับข้าผู้เป็นนักพรต จะได้ไปเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่มีภูมิหลังมีที่พึ่งหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “จะมีโอกาสรอดชีวิตออกไปจากที่นี่หรือไม่ก็ยังบอกได้ยาก”
นักพรตซุนเสียดายอย่างยิ่ง จึงทอดถอนใจพูดว่า “ดูท่าจิตแห่งการถามมรรคาของนักพรตเฉินจะไม่หนักแน่นสักเท่าไร”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองผ้าห่อบุญบนพื้นแวบหนึ่งแล้วก็หันตัวกลับ น่าจะดึงเอายันต์โจมตีสี่แผ่นออกมาซื้อของอีกชิ้นหนึ่ง
นักพรตซุนรีบยื่นมือมาดึงข้อมือของสหายนักพรตผู้นี้เอาไว้ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สหายเฉิน ข้าต้องการแค่ยันต์ในมือของเจ้าสองแผ่นเท่านั้น เป็นค่าซื้อของหนึ่งแผ่น แล้วก็ค่าเข้าเรือนเทพสายฟ้าของข้าอีกหนึ่งแผ่น แค่สองแผ่นเท่านั้น ตกลงไหม?”
ผู้เฒ่าชุดดำพูดอย่างฉุนๆ ปนขัน “นักพรตซุนช่างสายตาดีนัก!”
นักพรตซุนลูบหนวดยิ้ม “ค้าขายยุติธรรม ค้าขายยุติธรรม ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้แล้ว นักพรตเฉินต้องระมัดระวังให้ดี ต้องเห็นค่าโชควาสนาที่ได้มาไม่ง่ายนี้นะ”
อีกฝ่ายสองจิตสองใจ
นอกตำหนักน้ำมีเสียงเตือนของหวงซือที่รอจนเริ่มหงุดหงิดดังขึ้นมา “พี่ชายทั้งสองท่านคิดจะค้างคืนอยู่ที่นี่หลายๆ วันหรือ?”
สุดท้ายผู้เฒ่าชุดดำก็มอบยันต์กระดาษสีทองสองแผ่นให้แก่นักพรตซุน เพียงแต่ว่ามีเพียงแผ่นเดียวเท่านั้นที่เป็นยันต์สายฟ้า อีกแผ่นหนึ่งเป็นยันต์ฝ่าสิ่งกีดขวางขุนเขาสายน้ำ
แต่นักพรตซุนก็หยุดเมื่อพอสมควร เพียงแค่เอ่ยสัพยอกคำหนึ่งว่าสหายเฉินไม่มีคุณธรรมเอาเสียเลย
ยันต์สีทองที่เหลือแผ่นสุดท้ายในกลุ่มยันต์ปึกนั้นน่าจะเป็นยันต์โจมตีที่อีกฝ่ายเก็บไว้ใช้เอง แต่นักพรตซุนก็ไม่ได้ทำให้ใครลำบากใจ ถึงอย่างไรก็ควรให้คนเขาเก็บยันต์รักษาชีวิตไว้สักแผ่นไม่ใช่หรือ?
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ นักพรตซุนก็ยิ่งแน่ใจแล้วว่าสหายเฉินที่บอกว่ามาจากอารามขนาดเล็กของแคว้นอู่หลิงผู้นี้ ไม่ใช่ผู้ฝึกตนลัทธิเต๋าที่เชี่ยวชาญสายยันต์อะไร
เฉินผิงอันหยิบข้องปลาสานไม้ไผ่คู่ที่นักพรตซุนเดาความเป็นมาของมันไม่ออกแม้แต่น้อยมาเก็บ แล้วก็เตรียมจะหยิบของอีกชิ้นหนึ่ง แต่นักพรตซุนกลับหัวเราะร่าพลางเก็บแผงแล้ว “กรงไม้ไผ่สองใบเล็กก็สองชิ้นพอดีไม่ใช่หรือ”
ไม่รอให้อีกฝ่ายต่อรอง นักพรตซุนก็ม้วนห่อสัมภาระหยิบขึ้นสะพายบนร่าง
เฉินผิงอันหันตัวกลับ ตอนที่หันหลังให้นักพรตซุน เขาได้เก็บของสามชิ้นไว้ในวัตถุจื่อชื่ออย่างเงียบเชียบก่อน จากนั้นค่อยเอากระเบื้องแก้วมรกตและอิฐเขียวหนึ่งแผ่นสับเปลี่ยนออกมาใส่ไว้ในห่อสัมภาระใบใหม่ แล้วเอาห่อสัมภาระทั้งสองใบพาดสลับสะพายไว้บนร่าง
——