จวนของเซียนกระบี่ซุนจวี้เฉวียนไม่ได้แตกต่างไปจากจวนของชนชั้นสูงในใต้หล้าไพศาล แต่เพื่อทำให้ออกมา ‘ดูเหมือน’ นี้ เงินเทพเซียนที่ผลาญไปกลับเป็นจำนวนที่น่าตะลึงก้อนหนึ่ง
ซุนจวี้เฉวียนนั่งอยู่บนเสื่อไม้ไผ่ผืนหนึ่งที่แทบจะปูเต็มระเบียง มุมทั้งสี่ของเสื่อเย็นต่างก็ใช้ที่ทับกระดาษวัสดุแตกต่างกันซึ่งแกะสลักอย่างประณีตทับไว้มุมละหนึ่งชิ้น
เซียนกระบี่ของแผ่นดินกลางอย่างขู่เซี่ยยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ซุนจวี้เฉวียนยิ้มกล่าว “เปิดฉากมาไม่ราบรื่น ไม่โทษที่แผนการของหลินจวินปี้มีช่องโหว่ ต้องโทษที่เจ้าตั้งชื่อได้ไม่ดี ตอนนี้เป็นช่วงหน้าร้อนพอดี ส่วนเจ้าก็ดันชื่อขู่เซี่ย หน้าร้อนที่ขมขื่น อย่าได้ทำให้หลินจวินปี้เดือดร้อนอีกเลย”
ขู่เซี่ยกล่าวอย่างจนใจ “เขาไม่ควรไปหาเรื่องหนิงเหยา”
ซุนจวี้เฉวียนยิ้มกล่าว “นี่ไม่ใช่คำพูดเหลวไหลหรอกหรือ? ก่อนหน้านี้มีเซียนกระบี่ที่มาชมศึกมากน้อยแค่ไหน? สามสิบ? หากรวมคนที่ไม่ได้ปรากฏตัวด้วย พวกเราไม่ได้ครึกครื้นกันมาแบบนี้นานเท่าไรแล้ว”
ขู่เซี่ยเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “หากสตรีที่เป็นเช่นนี้สามารถแต่งเข้าราชวงศ์เส้าหยวนได้คงเป็นเรื่องโชคดีที่ใหญ่เทียมฟ้า ไม่แน่ว่าโชควาสนาวิถีกระบี่ของราชวงศ์พวกเราอาจจะสามารถยกระดับขึ้นไปถึงยอดเขาได้”
ซุนจวี้เฉวียนหลุดหัวเราะพรืด “เลิกเพ้อฝันเสียทีเถอะ หลินจวินปี้ก็ถือว่าเป็นตัวนำโชคด้านวิถีกระบี่ของราชวงศ์เส้าหยวนพวกเจ้าแล้ว แล้วเป็นอย่างไร? แม่หนูหนิงของพวกเราก็ยังไม่คิดจะจดจำชื่อเขาไว้อยู่ดี อีกอย่างแม่หนูหนิงก็เคยเดินทางออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไปท่องหลายทวีปของใต้หล้าไพศาลพวกเจ้าเพียงลำพัง แต่ก็ยังไม่มีใครรั้งนางไว้ได้อยู่ดีไม่ใช่หรือ เพราะฉะนั้นตัวเองไม่มีความสามารถที่จะรั้งคนเขาไว้ได้ ก็อย่ามาโทษว่าแม่หนูหนิงสายตาสูง”
ซุนจวี้เฉวียนพลันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตกตะลึงว่า “ราชครูท่านนั้นของราชวงศ์เส้าหยวนพวกเจ้าคงไม่ได้ตั้งใจจะให้หลินจวินปี้มาขุดมุมกำแพงบ้าน (ความหมายเหมือนเลื่อนขาเก้าอี้/โค่นตำแหน่งแย่งชิงไป) พวกเราจริงๆ หรอกนะ? ตัวหลินจวินปี้เองรู้หรือไม่?”
ขู่เซี่ยเงียบงัน
ซุนจวี้เฉวียนไม่เหลือสีหน้าล้อเล่นอีก พูดเสียงทุ้มหนักว่า “หากมีความคิดเช่นนี้จริง ข้าก็แนะนำเจ้าว่าให้ล้มเลิกความคิดนี้ไปซะ รวมทั้งทำลายความคิดนี้ในใจของหลินจวินปี้ให้สิ้นซากด้วย เรื่องบางอย่างต่อให้หน้าตาของใต้เท้าราชครูราชวงศ์เส้าหยวนจะใหญ่แค่ไหน ก็ยังไม่ใหญ่เท่าชีวิตและมหามรรคาของเซียนกระบี่ในบ้านตัวเอง หากเจ้าเด็กทึ่มที่เหมือนลูกนกเพิ่งหัดบินอย่างหลินจวินปี้ไม่รู้หนักเบา ก็ไม่จำเป็นต้องให้หนิงเหยาลงมือเลย ลำพังเพียงแค่กลอุบายและวิธีการของเฉินผิงอันคนเดียว คนกลุ่มของหลินจวินปี้ รวมถึงเปียนจิ้งผู้นั้นก็คงต้องแบกรับผลลัพธ์ที่ตามมากันเอาเอง”
ขู่เซี่ยหันหน้ามาถามอย่างสงสัยว่า “คนหนุ่มผู้นี้ ข้าเคยได้ยินเรื่องราวบางอย่างของเขามาบ้าง พวกคนหนุ่มสาวของกำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างก็กริ่งเกรงเขา เรื่องนี้ข้าไม่แปลกใจ แต่ทำไมแม้แต่เซียนกระบี่อย่างเจ้าก็ยังมองเขาสูงถึงเพียงนี้?”
ส่วนเรื่องวงในบางอย่าง ต่อให้จะเคยผ่านความเป็นความตายร่วมกับซุนจวี้เฉวียนมา เซียนกระบี่ขู่เซี่ยก็ยังไม่คิดจะถามให้มากความ ดังนั้นจึงไม่ยกเรื่องนี้มาพูดคุยเสียเลย
ซุนจวี้เฉวียนนั่งขัดสมาธิ พลิกฝ่ามือหนึ่งทีก็มีจอกเหล้าหนึ่งใบเพิ่มขึ้นมา เขาแกว่งมันเบาๆ ในจอกก็มีเหล้ารสเลิศผุดขึ้นมาด้วยตัวเอง จอกใบนี้คือของรักอันดับหนึ่งของผีขี้เหล้าตระกูลเซียนในใต้หล้า เหนือชั้นกว่าแมลงสุราหลายขุมนัก ด้วยเหตุนี้จอกนี้จึงมีชื่อว่า ‘น้ำพุสุรา’ เว้นเสียจากว่าดื่มไม่หยุดตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ดื่มรวดเดียวร้อยจิน ถ้าอย่างนั้นจอกเหล้าเล็กๆ ใบนี้ก็คือถังเหล้าใบใหญ่ที่ดื่มอย่างไรก็ดื่มไม่หมด ดังนั้นในกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่มีผีขี้เหล้าอยู่นับไม่ถ้วน จอกใบนี้จึงมีแค่สามใบเท่านั้น
ใบหนึ่งอยู่ในมือของซุนจวี้เฉวียน และยังมีอีกใบหนึ่งอยู่ในมือเยี่ยนหมิง เพียงแต่ดูเหมือนว่านับตั้งแต่เซียนกระบี่ท่านนี้ขาดแขนทั้งสองข้าง อีกทั้งขอบเขตยังถดถอย ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เคยดื่มเหล้าอีกเลย ส่วนใบสุดท้ายนั้นอยู่ในมือของเซียนกระบี่ผู้เฒ่าตระกูลฉี
ในประวัติศาสตร์กำแพงเมืองปราณกระบี่เคยมีจอกน้ำพุสุรามากถึงห้าใบ แต่ว่าปีนั้นถูกใครบางคนที่ตั้งตัวเป็นเจ้ามือเปิดฉากเดิมพันทยอยหลอกเอาไปหนึ่งคู่ ตอนนี้ไม่รู้ว่าพวกมันกลับคืนไปยังใต้หล้าไพศาลหรือถูกพาไปยังฟ้านอกฟ้าด้านนอกใต้หล้ามืดสลัวแล้ว พอได้ไปอยู่ในมือ เจ้าหมอนั่นยังพูดจาน่าฟังว่าเรื่องดีๆ ต้องมาเป็นคู่ รวมกันกลายเป็นสามีภรรยา ไม่อย่างนั้นหากอยู่โดดเดี่ยวเป็นชายโสดเหมือนกับเจ้าของจะน่าสงสารเกินไป
ซุนจวี้เฉวียนกระดกดื่มเหล้าในจอกหมดรวดเดียว สุราในจอกก็เหมือนตาน้ำพุที่เติมตัวเองจนเต็มจอก ซุนจวี้เฉวียนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขู่เซี่ย เจ้าคิดว่าคนคนหนึ่งที่เป็นคนร้ายกาจควรมีลักษณะเช่นไร?”
ขู่เซี่ยส่ายหน้า “ไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน แล้วก็คร้านจะคิดเรื่องนี้ให้มากความ ดังนั้นจึงขอเซียนกระบี่ซุนโปรดเอ่ยให้กระจ่าง”
ซุนจวี้เฉวียนใช้สองนิ้วคีบจอกเหล้าหมุนเบาๆ จ้องมองริ้วคลื่นเล็กละเอียดที่อยู่ในจอกแล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “ให้คนดีรู้สึกว่าคนผู้นี้คือคนดี ให้ศัตรูของเขา ไม่ว่าจะดีหรือเลว ไม่ว่าจะอยู่ในจุดยืนแบบใด ส่วนลึกในใจล้วนยินดียอมรับว่าคนผู้นี้คือคนดี”
ขู่เซี่ยใคร่ครวญอยู่นาน แล้วจึงพยักหน้าเอ่ยว่า “น่ากลัว”
ซุนจวี้เฉวียนส่ายหน้า “นี่ยังไม่ถือว่าน่ากลัวที่สุด”
ขู่เซี่ยขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร?”
ซุนจวี้เฉวียนเอ่ยเนิบช้า “ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือคนผู้นี้คือคนดีจริงๆ”
ใจข้ามองวิถีทางโลกเช่นนี้ วิถีทางโลกควรมองข้าเช่นไร
ซุนจวี้เฉวียนคิดถึงตำราตราประทับร้อยเซียนกระบี่เล่มนั้น หนึ่งในตราประทับสลักคำว่าข้าพิศดูคนที่พิศมรรคาว่าพิศมรรคาอย่างไร
มีความหมายอย่างถึงที่สุด
น่าเสียดายก็แต่ตราประทับชิ้นที่ซุนจวี้เฉวียนถูกใจตั้งแต่แรกเห็นนั้นหายไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าถูกเซียนกระบี่คนใดแอบเก็บเอาไว้
ซุนจวี้เฉวียนพลันหลุดหัวเราะพรืด เหลือบตามองไปยังทิศไกลด้วยสายตาเย็นชา “นี่มันกลุ่มลูกเจี๊ยบลูกกระต่ายอะไรกัน หลินจวินปี้ผู้นั้นก็ช่างเถิด เพราะถึงอย่างไรก็ยังฉลาด น่าเสียดายก็แต่มาเจอกับแม่หนูหนิง ต่อให้เฉินผิงอันผู้นั้นจงใจพูดออกมาว่าได้เปรียบไปแล้วก็ควรแอบยินดีกับตัวเอง แค่ทำตัวอวดฉลาดให้น้อยหน่อยก็พอแล้ว ส่วนคนอื่นๆ เจ้าเจี่ยงอะไรนั่น เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าใช่ไหม วิ่งมาเล่นที่กำแพงเมืองปราณกระบี่หรือไร? หากไม่มีสงครามยังนับว่าดี แต่ถ้าสงครามเปิดฉากขึ้นจริงๆ จะเอาหัวไปส่งให้พวกสัตว์เดรัจฉานที่กระเหี้ยนกระหือรือพวกนั้นหรือ? เซียนกระบี่อย่างเจ้าไม่เหนื่อยใจหรือไร? หรือจะบอกว่าราชวงศ์เส้าหยวนของพวกเจ้าในทุกวันนี้มีขนบธรรมเนียมเช่นนี้แล้ว? ข้าจำได้ว่าปีนั้นเจ้าขู่เซี่ยเดินทางมาที่นี่กับคนอื่น ไม่ได้ไม่เอาถ่านขนาดนี้นี่นา?”
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยไม่เอ่ยอะไร เงียบไปครู่หนึ่งถึงเปิดปากเอ่ยว่า “ใต้เท้าราชครูมีคำสั่ง ต่อให้ศึกใหญ่จะเปิดฉากขึ้น พวกเขาก็ไม่สามารถเดินลงจากหัวกำแพงเมืองได้”
ซุนจวี้เฉวียนกุมขมับ ดื่มเหล้าในจอกจนหมดเพื่อใช้สุราดับทุกข์ พูดโอดครวญว่า “จวนของข้าคงชื่อเสียงฉาวโฉ่เหม็นไปทั่วถนนแล้ว เซียนกระบี่ขู่เซี่ยเอ๋ย ช่างเป็นฤดูร้อนที่ขมขื่นจริงๆ ที่แท้เป็นข้าซุนจวี้เฉวียนที่ถูกเจ้าทำร้ายได้อนาถที่สุด”
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรมาก เพราะกับเพื่อนสนิทอย่างซุนจวี้เฉวียนนั้นไม่จำเป็นต้องเกรงใจกัน
เพียงแต่ว่าศิษย์หลานหนึ่งในสิบคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ผู้ที่กลายเป็นเสาหลักของราชวงศ์เส้าหยวนมานานแล้วท่านนี้กลับอดนึกกังขาขึ้นมานิดๆ ไม่ได้ หรือว่าชื่อขู่เซี่ยของตัวเองจะศักดิ์สิทธิ์อยู่บ้างจริงๆ?
……
ทางฝั่งของศาลาลมเย็น หลินจวินปี้เปลี่ยนมาสวมชุดคลุมอาคมตัวใหม่แล้ว กลับคืนมามีสีหน้าเป็นปกติ ยังคงสดชื่นแจ่มใสอยู่เหมือนเดิม มีมาดของเจ๋อเซียนอายุน้อย
เปียนจิ้งที่เผยร่องรอยของตัวเองไปเรียบร้อยนั่งอยู่บนขั้นบันได คาดว่าเขาคงเป็นผู้ฝึกกระบี่เพียงคนเดียวที่ขมวดคิ้วมุ่นไม่คลาย
เพราะคนหนุ่มสาวคนอื่นๆ ส่วนใหญ่แล้วยังเดือดดาลไม่หาย ก่นด่าเสียงดังขรม คนอีกส่วนหนึ่งที่เหลือคอยเอ่ยคำพูดปลอบใจที่ตัวเองคิดว่าเป็นธรรมมากที่สุด
แม้แต่ความหมายของการเฝ้าด่านทั้งสามนี้ก็ยังไม่รู้ เปียนจิ้งก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเด็กพวกนี้มาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่เพื่ออะไร หรือว่าก่อนที่จะจากลากัน ผู้อาวุโสของพวกเขาไม่สอนบ้างเลย? หรือจะบอกว่าอายุน้อยเลยไม่รู้ความ สาเหตุหลักเป็นเพราะผู้อาวุโสในตระกูลไม่รู้จักวางตัวเป็นแบบอย่างที่ดี? รู้แต่ว่าจะให้พวกเขาทำตัวสำรวมยามมาอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น ดังนั้นจึงกลับกลายเป็นว่าทำให้พวกเขาเกิดใจคิดกบฏ?
สำหรับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง รวมไปถึงความโหดร้ายของการโจมตีกำแพงเมืองจากเผ่าปีศาจ กลับไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วมันคืออะไร เปียนจิ้งถึงขั้นมั่นใจได้เลยว่า แม้แต่ตัวหลินจวินปี้เอง ศัตรูที่แฝงตัวอยู่ในสมองของพวกเขาแต่ละคนก็คงมีแค่ผู้ฝึกกระบี่วัยเดียวกันของกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น ส่วนใต้หล้าเปลี่ยวร้างและเผ่าปีศาจกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่เคยเก็บเอามาใส่ใจแม้แต่น้อย ตัวเปียนจิ้งเองยังดีหน่อย เพราะตอนที่เดินทางไปเยือนหลิวเสียทวีปเคยได้สัมผัสกับพลังการต่อสู้อันป่าเถื่อนและเรือนกายที่แข็งแกร่งของปีศาจก่อกำเนิดตนหนึ่งกับตัวเองมาก่อน เขากับสหายคนหนึ่งที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด สองฝ่ายร่วมมือกันออกกระบี่นับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ยังไม่อาจทำร้ายรากฐานของอีกฝ่ายได้อย่างแท้จริง ได้แต่เพิ่มผู้ฝึกกระบี่โอสถทองมาช่วยคุมหลังอีกคนหนึ่ง ถึงจะสามารถกักตัวมันไว้แล้วค่อยๆ ทรมานให้ตายทั้งเป็นได้
สามด่านยากจะข้ามผ่านไปได้
นี่ก็เพราะกำแพงเมืองปราณกระบี่คาดหวังว่าผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นอย่างพวกเขาจะรู้จักระมัดระวัง รู้ว่าศึกใหญ่แต่ละครั้งที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนชนะได้ไม่ง่าย แล้วก็ถือโอกาสเตือนผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกคนที่อายุไม่มาก ประสบการณ์เข่นฆ่าไม่มากพอทั้งหลายว่า หากสงครามเปิดฉากขึ้นก็จงอยู่บนหัวกำแพงเมืองแต่โดยดี ออกแรงเล็กน้อยช่วยบังคับกระบี่ก็พอ อย่าได้ทำอะไรโดยใช้อารมณ์เด็ดขาด ไม่ใช่ว่าพอเลือดขึ้นหน้าก็ทะยานลงจากหัวกำแพงเมืองไปร่วมสนามรบ เซียนกระบี่มากมายในกำแพงเมืองปราณกระบี่จะไม่ห้ามปรามการกระทำที่มุทะลุเช่นนี้ แล้วก็ไม่สามารถแบ่งสมาธิไปสนใจได้มากนัก ส่วนคนต่างถิ่นที่มาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่เพียงแค่เพราะหวังขัดเกลาปณิธานกระบี่อย่างเดียว กำแพงเมืองปราณกระบี่เองก็ไม่ขับไสไล่สง ส่วนข้อที่ว่าจะหยัดยืนได้อย่างแท้จริงหรือไม่ หรือจะได้รับความโปรดปรานจากเซียนกระบี่บางท่านจนยินดีถ่ายทอดเวทคาถาชั้นสูงให้หรือไม่ ก็หนีไม่พ้นต้องอาศัยความสามารถของใครของมัน
“จวินปี้เพิ่งจะอายุเท่าไรเอง แล้วหนิงเหยาผู้นั้นล่ะอายุเท่าไร? ชนะอย่างไม่สมเกียรติ แล้วยังจะพูดจากดข่มคนอื่นเช่นนั้นอีก นี่น่ะหรืออันดับหนึ่งของคนรุ่นเยาว์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่? หากถามข้านะ ต่อให้พลังสังหารของเซียนกระบี่ที่นี่จะสูงมาก แต่จิตใจกลับคับแคบเท่ารูเข็ม”
“เห็นได้ชัดว่าหนิงเหยาผู้นั้นรู้ดีว่าศึกสามด่านนี้ ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่มีทางได้เปรียบพวกเรา ก็เลยจงใจทำเช่นนี้ บีบให้จวินปี้ออกกระบี่ แล้วนางก็จะได้บีบคั้นรังแกคนอื่นอย่างนั้นไงล่ะ!”
“ใช่! แล้วยังมีพวกเซียนกระบี่ที่มาชมศึกอีก แต่ละคนมีเจตนาชั่วร้าย จงใจสร้างแรงกดดันให้แก่จวินปี้”
เจี่ยงกวนเฉิงหัวเราะหยันเอ่ยว่า “ข้าว่าหนิงเหยานั่นไม่ได้กดขอบเขตอะไรไว้เลย ล้วนเป็นภาพลวงตาทั้งนั้น ก็แค่อยากจะใช้วิธีการต่ำช้ามาเอาชนะจวินปี้ จะได้ปกป้องชื่อเสียงน้อยนิดอันน่าสงสารของนาง หนิงเหยายังเป็นเช่นนี้ ผังหยวนจี้ ฉีโซ่ว เกาเหย่โหว ผู้ฝึกกระบี่ที่พอจะถือว่าเป็นคนรุ่นเดียวกันกับพวกเราได้เหล่านี้ จะดีได้สักแค่ไหนกันเชียว? ไม่เสียแรงที่เป็นสถานที่กันดารป่าเถื่อน!”
เปียนจิ้งยกมือนวดคลึงจุดไท่หยาง ปวดหัว
ยังดีที่หลินจวินปี้ขมวดคิ้วเอ่ยเตือนว่า “เจี่ยงกวนเฉิง! พูดจาระวังปากหน่อย!”
เจียงกวนเฉิงถึงได้หุบปาก เพียงแต่ว่าสีหน้ายังเดือดดาลยากจะระงับอารมณ์ได้
ท่ามกลางกลุ่มคน จูเหมยไม่เอ่ยคำใด
จินเจินเมิ่งผู้ฝึกกระบี่โอสถทองก็ไม่เอ่ยอะไรเช่นกัน
จูเหมยนึกถึงเกาโย่วชิงที่พอแพ้ในการประลองครั้งที่หนึ่งก็หน้าเบ้ น้ำตาไหล ไปยืนอยู่ข้างกายเกาเหย่โหวและผังหยวนจี้เงียบๆ รวมไปถึงหลิวเถี่ยฝูที่พอแพ้แล้วก็ถูกพวกผู้ฝึกกระบี่ที่มาชมศึกโห่ไล่ไม่หยุด ทว่าหลิวเถี่ยฟูที่อายุไม่มากผู้นั้นกลับยังมีหน้าตายิ้มแย้ม ยังคงกุมหมัดเอ่ยขอบคุณท่ามกลางเสียงด่าอย่างขำขัน
ส่วนจินเจินเมิ่งกลับคิดถึงซือถูเว่ยหรันที่พอชนะตนก็ยิ้มบางๆ ประสานมือคารวะกลับคืน
รวมไปถึงหลังจากที่หนิงเหยาปรากฏตัวแล้ว บรรยากาศบนถนนก็พลันเปลี่ยนมาเป็นเคร่งขรึม ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่ทุกคนกลั้นลมหายใจรอดูเรื่องสนุกเท่านั้น
เด็กสาวอายุสิบสองปีซึ่งอายุน้อยที่สุดคนหนึ่งเดือดดาลเคืองแค้นมากเป็นพิเศษ นางเอ่ยเบาๆ ว่า “โดยเฉพาะเฉินผิงอันผู้นั้นที่ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับจวินปี้ทุกเรื่อง เห็นได้ชัดว่าเขาละอายใจที่สู้ไม่ได้ เอาชนะฉีโซ่วและผังหยวนจี้ได้แล้วอย่างไร เขาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของเหวินเซิ่งเชียวนะ ศิษย์พี่ก็คือเซียนกระบี่ใหญ่จั่วโย่ว ได้รับการชี้แนะอย่างตั้งใจจากเซียนกระบี่ใหญ่คนหนึ่งทั้งวันทั้งคืน เนิ่นนานปีแล้วปีเล่า อาศัยการสืบทอดสายบุ๋นจากอาจารย์ถึงมีคนเอาสมบัติอาคมมากมายขนาดนั้นมามอบให้เขา นี่ก็เรียกว่ามีความสามารถแล้วหรือ? หากผ่านไปอีกสิบปี ด้วยคนอย่างเขาเฉินผิงอัน คาดว่ายามยืนอยู่ต่อหน้าจวินปี้ก็คงไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงด้วยซ้ำ!”
เปียนจิ้งโอดครวญในใจไม่หยุด แม่นางน้อยของข้า เจ้าอย่าได้พูดจาเช่นนี้เพียงเพราะว่าชอบจวินปี้สิ
หลินจวินปี้ส่ายหน้า “เฉินผิงอันผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย เขาไม่ได้แย่อย่างที่เจ้าพูดเลยสักนิด”
จากนั้นหลินจวินปี้ก็หัวเราะ “หากคู่ต่อสู้ของข้าแย่เกินไป นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าตัวข้าเองไร้ความสามารถหรอกหรือ?”
เด็กสาวคนนั้นได้ยินแล้วก็รู้สึกว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าช่างเป็นคนดีเหลือเกิน
เปียนจิ้งตัดสินใจแล้วว่า วันหน้าตีให้ตายเขาก็ไม่มีทางเข้าร่วมวงทำเรื่องเลอะเลือนกับคุณชายคุณหนูกลุ่มนี้เด็ดขาด
พวกเขาอยากจะทำอะไรก็ทำไป
ข้าผู้อาวุโสไม่ปรนนิบัติรับใช้แล้ว
แต่อันที่จริงตลอดทางมานี้เขาเปียนจิ้งก็ไม่ได้รับใช้พวกเขาสักเท่าไร แค่คอยดูเรื่องตลกอย่างเดียวเท่านั้น ความโชคดีเดียวก็คือ ใต้เท้าราชครูผู้เป็นอาจารย์ครึ่งตัวบอกอย่างตรงไปตรงมาว่าเด็กกลุ่มนี้จะไม่เข้าร่วมสงครามใหญ่ หากกำแพงเมืองปราณกระบี่เปิดฉากทำสงครามกับเผ่าปีศาจจริงๆ พวกเขาก็จะต้องกลับไปที่สวนดอกเหมยของภูเขาห้อยหัวทันที จากนั้นก็เตรียมออกเดินทางกลับทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ทางที่ดีที่สุดก็ไม่ต้องไปหยุดพักอยู่ที่ทักษิณาตยทวีปด้วย
เปียนจิ้งใช้สองมือถูแก้ม พึมพำในใจว่า พวกเจ้ามองไม่เห็นข้า ไม่เห็นข้า
น่าเสียดายที่เจี่ยงกวนเฉิงไม่ยอมปล่อยเขาไป ถึงได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “ที่แท้ศิษย์พี่เปียนจิ้งก็อำพรางตัวได้ลึกล้ำที่สุด! เห็นได้ชัดว่าเฉินผิงอันผู้นั้นกังวลมากว่าศิษย์พี่เปียนจิ้งจะลงมือหรือไม่”
เปียนจิ้งมีสีหน้าเอือมระอา เจ้าเด็กนี่ เจ้าตาบอดหรือไร?
พอเจี่ยงกวนเฉิงเอ่ยเช่นนี้ก็เหมือนกระดาษหน้าต่างที่ถูกเจาะให้เป็นรู ทุกคนพากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาทันใด เปียนจิ้งฟังคำประจบสอพลอที่อันที่จริงมีความจริงใจอยู่มาก แต่เขากลับไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด
พอคิดถึงคนหนุ่มที่ยิ้มตาหยี เอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อคนนั้น อยู่ดีๆ เปียนจิ้งก็รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง มักรู้สึกว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายเพียงเท่านี้
เปียนจิ้งไม่สนใจถ้อยคำสรรเสริญ รวมไปถึงถ้อยคำบางอย่างที่เต็มไปด้วยการยุแยงกระพือไฟของเจ้าเด็กพวกนี้ เพียงหันไปมองหลินจวินปี้
หลินจวินปี้ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าจะระวัง”
เปียนจิ้งถึงพอจะโล่งใจได้บ้างเล็กน้อย
ตอนนี้มาลองย้อนนึกดู อันที่จริงแผนการแรกเริ่มสุดของศิษย์น้องหลินจวินปี้ที่จะฝ่าทะลุขอบเขตสองครั้ง ใช้กำลังของตัวเองคนเดียวเอาขอบเขตของชมมหาสมุทร ประตูมังกรและโอสถทองมาเอาชนะสามคนติด ผ่านสามด่านติดกัน ดูเหมือนว่านั่นต่างหากถึงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
บางทีเซียนกระบี่มากมายที่มาชมศึกอาจรู้สึกดีกับหลินจวินปี้มากขึ้น ไม่ใช่เป็นอย่างตอนนี้ที่เห็นหลินจวินปี้เป็นตัวตลก แล้วหันไปเข้าข้างหนิงเหยากันหมด
ต่อให้เปิดโอกาสให้เฉินผิงอันผู้นั้นได้เปิดฉากการต่อสู้ครั้งที่สี่ เขาเป็นฝ่ายได้เปรียบ แล้วจะอย่างไร? หลินจวินปี้แพ้ในตอนนี้ก็ยังถือเป็นชัยชนะ ยิ่งต่อสู้กันอย่างเต็มคราบเท่าไรก็ยิ่งทำให้คนรู้สึกดีด้วยเท่านั้น เป็นหลักการเดียวกับที่เฉินผิงอันเอาชนะผังหยวนจี้ได้นั่นแหละ หากสามารถทำให้หนิงเหยาออกกระบี่โดยตรง ไม่ใช่เป็นเฉินผิงอันที่มาเก็บตกตามท้าย หลินจวินปี้ย่อมชนะได้มากกว่านี้
เพียงแต่ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแค่ ‘ถ้าหาก’ เท่านั้น
เปียนจิ้งไม่ได้โง่จนถึงขั้นเอ่ยถามศิษย์น้องว่ารู้สึกเสียใจภายหลังบ้างหรือไม่
ยิ่งไม่มีทางพูดว่า ตอนนั้นที่เขาเปียนจิ้งเอ่ยประโยคว่า ‘ช่วงชิงแพ้ชนะกับคนอื่น น่าเบื่อจะตาย’ คือกำลังเตือนเขาหลินจวินปี้ว่าให้ช่วงชิงความสูงต่ำกับแค่ตัวเองก็พอ
เพราะหากพูดไปแล้ว จะกลายเป็นการผูกปมแค้นหาศัตรูให้ตัวเอง