กระบี่จงมา – ตอนที่ 603.2 เถ้าแก่รองที่อายุน้อย

เผยเฉียนพลันถามเสียงเบา “ตอนนี้เจ้ามีขอบเขตอะไรแล้ว เจ้าตอไม้เฉาผู้นั้นพูดคุยด้วยยากยิ่งนัก คราวก่อนข้าเห็นว่าวันๆ เขาเอาแต่อ่านหนังสือ ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ตั้งใจฝึกตนสักเท่าไร ก็เลยเอ่ยโน้มน้าวเขาไปด้วยความหวังดี บอกว่าข้า เจ้า แล้วก็เขา พวกเราต่างก็เป็นคนรุ่นเดียวกัน ข้าเรียนวิชาหมัดฝึกวิชากระบี่ เพียงไม่นานก็เรียนเอาสุดยอดวิชาจากอาจารย์พ่อมาได้ถึงสองอย่าง พวกเจ้าไม่ต้องมาเปรียบเทียบกับข้า จะเปรียบเทียบไปไย มีอะไรให้เปรียบเทียบได้ ถูกไหม? แต่เจ้าชุยตงซานเป็นขอบเขตชมมหาสมุทรแล้ว เขาเฉาฉิงหล่างเหมือนว่าเพิ่งจะถือเป็นขอบเขตถ้ำสถิตได้อย่างถูไถ แบบนี้จะได้อย่างไร อาจารย์พ่อไม่ได้อยู่ข้างกายคอยชี้แนะเขาบ่อยๆ แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เฉาฉิงหล่างขอบเขตไม่สูง ถูกหรือไม่? เฉาฉิงหล่างผู้นี้น่าเบื่อยิ่งนัก ปากบอกว่าจะขยัน จะตั้งใจ แต่หากถามข้านะ เขาก็ยังไม่ค่อยได้เรื่องอยู่ดี เพียงแต่ว่าเรื่องแบบนี้ ข้าไม่ไปปากมากกับอาจารย์พ่อ หลีกเลี่ยงไม่ให้เฉาฉิงหล่างใช้ใจของคนถ่อยมาวัดใจของยอดฝีมือด้านวิถีวรยุทธ สุดยอดมือกระบี่และนักฆ่าความรู้สึก ดังนั้นตอนนี้เจ้าเป็นขอบเขตชมมหาสมุทรจริงๆ แล้วใช่ไหม?”

ชุยตงซานส่ายหน้า “ไม่ใช่ขอบเขตชมมหาสมุทร”

เผยเฉียนใช้หมัดทุบฝ่ามือ “ถ้าอย่างนั้นเป็นขอบเขตถ้ำสถิตแล้วหรือยัง? ถึงอย่างไรก็น่าจะแตะโดนขอบของเทพเซียนห้าขอบเขตกลางแล้วกระมัง? ช่างเถิด หากยังไม่ใช่ก็ไม่เป็นไร เจ้าเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอก ยุ่งทำโน่นทำนี่อยู่ตลอดทั้งปี จะถ่วงเวลาการฝึกตนไปบ้างก็มีเหตุผลพออภัยให้ได้ อย่างมากวันหน้าข้าค่อยไปพูดกับเจ้าตอไม้ว่าแท้จริงแล้วเจ้าไม่ใช่ขอบเขตชมมหาสมุทร จะบอกแค่นี้เท่านั้น เพราะข้าเห็นแก่หน้าเจ้า ถึงอย่างไรพวกเราสองคนก็สนิทกันมากกว่านี่นะ”

ชุยตงซานยิ้มบางๆ พูดเลียนแบบน้ำเสียงของเผยเฉียนว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ช่างเข้าอกเข้าใจคนอื่นได้ดี๊ดี”

เผยเฉียนขมวดคิ้วเอ่ย “เป็นผู้ใหญ่แล้ว พูดจาให้ดีๆ หน่อย!”

ชุยตงซานสอดสองมือรองใต้ท้ายทอย ชายแขนเสื้อสีขาวหิมะแถบใหญ่ห้อยระลงมาดุจสายน้ำตก ในสายตาเผยเฉียนก็แค่มองแล้วดูมีค่าเท่านั้น นี่ล้วนเป็นเพราะอาจารย์พ่อกำชับกับนางมาก่อนว่า ยามอยู่กับคนใกล้ชิด ห้ามนางตั้งใจเพ่งมองทะเลสาบหัวใจรวมถึงสิ่งอื่นๆ ของคนผู้นั้น

เคยมีโอสถทองของตำหนักน้ำค้างวสันต์แห่งอุตรกุรุทวีปคนหนึ่งเข้าไปอยู่ในชายแขนเสื้อใหญ่ของชุยตงซานแล้วออกมาไม่ได้ ถูกกักตัวอยู่เนิ่นนาน ใช้วิชาอาคมทั้งหมดที่มีก็แล้วแต่ก็ยังถูกขังอยู่ด้านใน สุดท้ายก็ได้แต่อยู่เฉยรอความตาย ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาลแต่กลับมีเขาอยู่เดียวดายเพียงลำพัง จิตแห่งเต๋าเกือบจะแตกสลาย แน่นอนว่าซ่งหลันเฉียวผู้ฝึกตนโอสถทองยังคงได้ผลประโยชน์มามากมาย เพียงแต่ประสบการณ์บนเส้นทางหัวใจระหว่างนั้น คิดดูแล้วคงไม่ค่อยดีนัก

เผยเฉียนที่แท้จริงแล้วทุกวันนี้อายุไม่น้อย ไม่ว่าจะส่วนสูงก็ดี สติปัญญาก็ช่าง ในสายตาของชุยตงซานนางก็ยังคงเป็นแม่นางน้อยที่เพิ่งจะอายุสิบกว่าขวบคนนั้นอยู่ดังเดิม

เพียงแต่จุดที่สายตาของเผยเฉียนซึ่งมีพรสวรรค์เลิศล้ำมองไป รวมไปถึงความรู้ความเข้าใจอันลึกซึ่งที่มีต่อเรื่องบางเรื่อง กลับแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ย่อมไม่ใช่ขอบเขตที่เด็กสาวอายุเท่านี้จะมีได้อย่างแน่นอน

ก็เหมือนอย่างที่ก่อนหน้านี้บอกว่าเผยเฉียนออกหมัดเร็วเกินไป ชุยตงซานชี้แนะแค่พอสมควรเท่านั้น เป็นการเตือนเผยเฉียนว่า นางควรจะทำเหมือนอาจารย์พ่อของนางที่คิดให้มาก ปล่อยหมัดให้ช้าลงสักหน่อย บางทีแรกเริ่มอาจจะรู้สึกอึดอัด อาจจะถ่วงรั้งขอบเขตบนวิถีวรยุทธอยู่บ้าง แต่หากมองในระยะยาวแล้ว นี่ก็เพื่อให้สักวันหนึ่งสามารถออกหมัดได้เร็วกว่าเดิม ถึงขั้นเร็วที่สุด สอนให้นางไม่รู้สึกผิดต่อฟ้าดินและอาจารย์ได้อย่างแท้จริง หลักการเหตุผลบางอย่างมีเพียงอาจารย์ของชุยตงซานเท่านั้นที่สามารถพูดกับเผยเฉียนได้ แต่ถ้อยคำบางอย่างกลับจำเป็นต้องให้คนนอกที่ไม่ใช่เฉินผิงอันเป็นคนพูดกับเผยเฉียน ไม่หนักไม่เบา ทำไปตามลำดับขั้นตอน ไม่อาจดึงหญ้าช่วยให้เติบโต แล้วก็ไม่อาจให้หลักการเหตุผลยิ่งใหญ่ที่ว่างเปล่าเลื่อนลอยมารบกวนจิตใจของนางได้

อันที่จริงหากว่ากันแค่เรื่องศึกษาตำราออกทัศนาจรไกลของจ้งชิวกับเฉาฉิงหล่าง ไยจะไม่ใช่กำลังทำเพื่อเรื่องที่มองไม่เห็นนี้อยู่เช่นกัน

การที่ทุกคนปฏิบัติต่อเผยเฉียนอย่างจริงจัง มองเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินเช่นนี้

เพราะอะไร?

จะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่เพราะว่าเจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่วใส่ใจที่สุดหรอกหรือ

นอกจากนี้แล้วยังมีสาเหตุที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือการกระทำของตัวเองเผยเฉียนเอง สิ่งที่นางปรับปรุงแก้ไข ล้วนควรค่าแก่การคาดหวังและรอคอยที่ทุกคนเก็บซ่อนไว้ในใจอย่างระมัดระวังนี้

บนภูเขาลั่วพั่ว ทุกคนถ่ายทอดมรรคา ปกป้องมรรคา

เจ้าขุนเขาหนุ่มปฏิบัติไปตามขนบธรรมเนียมครอบครัวด้วยความเคยชิน

แต่ภูเขาลั่วพั่วในวันหน้าอาจไม่สมบูรณ์แบบเช่นนี้เสมอไป เมื่อรายชื่อบนผังวงศ์ตระกูลศาลบรรพจารย์ของภูเขาลั่วพั่วยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ หน้าแล้วหน้าเล่า พอคนมาก จิตใจคนก็ยิ่งซับซ้อน เพียงแต่ว่าเมื่อถึงเวลานั้นก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอีกแล้ว เพราะเผยเฉียนและเฉาฉิงหล่างต่างก็เติบโตแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้อาจารย์พ่อของพวกเขาและอาจารย์ของตนต้องแบกรับภาระทุกอย่างไว้บนบ่าเพียงลำพังอีกต่อไป

วันนี้จ้งชิวและเฉาฉิงหล่างต่างก็ไม่ได้ไปเที่ยวภูเขาห้อยหัวกับเผยเฉียนและชุยตงซาน สองฝ่ายแยกกันไปเดินเที่ยว

ชุยตงซานแอบมอบเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งให้แก่จ้งชิว บอกว่าให้ยืม เงินหนึ่งอีแปะก็ทำให้วีรบุรุษลำบากใจได้ เป็นเรื่องที่ไม่ควรให้เกิดขึ้น แล้วนับประสาอะไรกับที่จ้งชิวยังเป็นอริยะด้านอักษร ปรมาจารย์วิถีวรยุทธของพื้นที่มงคลรากบัว ทุกวันนี้ยังเป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วอีกด้วย อีกอย่างจ้งชิวก็ไม่ใช่ปัญญาชนตกอับ เขาคือคนที่คอยช่วยปกครองแคว้นหนันเยวี่ยน ทำให้แคว้นเจริญรุ่งเรืองในทุกๆ วัน หากไม่เป็นเพราะนักพรตเฒ่าแบ่งพื้นที่มงคลออกเป็นสี่ส่วน อันที่จริงแคว้นหนันเยวี่ยนก็มีแนวโน้มที่จะได้รวบรวมสี่แคว้นในใต้หล้าให้เป็นปึกแผ่นแล้ว จ้งชิวไม่เพียงแต่ไม่ปฏิเสธ กลับกันยังขอยืมเงินฝนธัญพืชจากชุยตงซานเพิ่มอีกสองเหรียญ

ชุยตงซานตรงดิ่งไปที่เรือนหลิงจือเป็นเพื่อนเผยเฉียน ผลกลับทำให้เผยเฉียนขมวดคิ้วมุ่นด้วยความกลัดกลุ้ม สมบัติพวกนั้นมากมายละลานตาก็จริง ไม่ว่ามองชิ้นไหนนางล้วนชอบไปหมด ก็แค่แบ่งเป็นว่าชอบมากหรือชอบเฉยๆ เท่านั้น แต่นางซื้อไม่ไหวเลยสักชิ้น ต่อให้เผยเฉียนจะเดินวนทั้งชั้นบนและชั้นล่าง เดินเข้าซอกมุมน้อยใหญ่ซ้ายขวาของหอหลิงจือครบแล้ว แต่ก็ยังไม่เจอของขวัญที่นางสามารถควักกระเป๋าเงินซื้อได้สักชิ้น เผยเฉียนจึงได้แต่เดินออกจากหอหลิงจือด้วยท่าทางเซื่องซึม แล้วก็ไม่ได้ขอยืมเงินจากชุยตงซาน ชุยตงซานเองก็ไม่ได้เปิดปากบอกว่าจะให้นางยืมเงิน จนกระทั่งคนทั้งสองไปยังตีนหน้าผาหมีลู่ที่มีร้านค้าตั้งเรียงรายอยู่เต็มเส้นถนน

เผยเฉียนพลันเป็นเหมือนปลาได้น้ำ สีหน้าท่าทางลิงโลดอารมณ์ดี ที่นี่มีของเยอะมาก ราคายังไม่แพงอีกด้วย ของที่มีราคาแค่ไม่กี่เหรียญเงินเกล็ดหิมะมีเยอะแยะมากมาย มีให้เลือกจนตาลาย

ชั่งน้ำหนักถุงเงินแล้วนางก็เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ยามที่เดิน นางยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง เพียงแต่ที่นี่มีคนเยอะ ไม่อย่างนั้นหากไม่ร่ายวิชากระบี่มารคลั่งคำรบหนึ่งก็คงไม่อาจแสดงความดีใจของนางออกมาได้

บนถนนมีผู้คนสัญจรกันขวักไขว่ ผู้ฝึกตนหญิงจากใต้หล้าไพศาลที่มาท่องเที่ยวที่นี่มีค่อนข้างมาก ลำพังเพียงแค่เสื้อผ้าอาภรณ์ของพวกนางที่มีความงดงามแตกต่างกันไปก็ทำให้เผยเฉียนจุ๊ปากไม่หยุดแล้ว มีสตรีโตเต็มวัยที่มวยผมสองข้างสูงเหมือนขุนเขา เสียบด้วยหวีนอแรด กระโปรงยาวชายแขนเสื้อกว้างประหนึ่งเมฆเคลื่อนคล้อย ต่อให้เป็นสตรีที่ไม่ได้หน้าตางดงามก็ยังดูอรชรอ้อนแอ้น และยังมีสตรีที่ม้วนผมสีนิลแล้วรวบขึ้นเป็นมวย ปักปิ่นปักไข่มุกเหมือนกลุ่มบุปผาชูช่อ ทำเอาเผยเฉียนที่เห็นรู้สึกอิจฉายิ่งนัก บนหัวของพวกนางต่างก็แบกภูเขาเงินภูเขาทองลูกเล็กๆ เอาไว้เลยนะเนี่ย

เหตุใดคนในใต้หล้าที่มีเงินเหมือนกับตนถึงได้มีเยอะขนาดนี้นะ?

สุดท้ายเผยเฉียนเลือกของขวัญสองชิ้น ชิ้นหนึ่งมอบให้อาจารย์พ่อ ว่ากันว่าคือพู่กัน ‘แบบตระกูลจง’ ที่มีชื่อเสียงมานานในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เอาไว้เขียนตัวอักษรแบบบรรจงขนาดเล็กโดยเฉพาะ ตรงด้ามพู่กันยังสลักตัวอักษรเล็กๆ บรรทัดหนึ่งว่า ‘มาดแห่งความเก่าแก่สูงสง่า วิจิตรบรรจง ล้ำลึกมองไม่เห็นก้นบึ้ง’ ราคาหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ด้านในกระบอกพู่กันอันใหญ่ที่ทำจากเครื่องกระเบื้องที่เผาได้อย่างหมดจดงดงามมีพู่กันที่ใช้เขียนตัวอักษรขนาดเล็กรวมกลุ่มกันเป็นช่อ ลำพังเพียงแค่เลือกพู่กันด้ามหนึ่งในนั้นมา เผยเฉียนก็ใช้เวลาไปถึงหนึ่งก้านธูป ชุยตงซานที่อยู่ด้านข้างช่วยวางแผนให้คำแนะนำ เผยเฉียนกลับไม่ฟังคำพูดจู้จี้ของเขา เอาแต่ตั้งใจเลือกของตัวเองไป ทำเอาเถ้าแก่ที่มองดูอยู่เบิกบานยิ่งนัก ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายแม้แต่น้อย กลับกันยังรู้สึกว่าน่าสนใจ คนต่างถิ่นมากมายที่มาเยือนภูเขาห้อยหัว ไม่มีใครที่ขาดแคลนเงินทองเลยจริงๆ เห็นคนที่ทุ่มทองพันชั่งซื้อของมามากแล้ว แต่คนคิดที่คิดเล็กคิดน้อยอย่างแม่หนูถ่านดำผู้นี้กลับพบเห็นได้น้อยนัก

อีกชิ้นหนึ่งเป็นของขวัญพบหน้าที่เผยเฉียนคิดว่าจะมอบให้อาจารย์แม่ ต้องจ่ายเงินไปมากถึงสามเหรียญเงินเกล็ดหิมะ คือกระดาษจดหมายลายเมฆหลากสีแผ่นหนึ่ง เมฆหลากสีบนกระดาษจดหมายเคลื่อนคล้อยอ้อยอิ่ง บางครั้งก็เห็นแสงจันทร์โผล่วับแวม งดงามจนแทบละสายตาไม่ได้

ได้ของขวัญมาสองชิ้น ถุงเงินใบน้อยที่มีเงินเหรียญทองแดง เศษเม็ดเงิน และทองก้อนเมล็ดแตงที่เป็นเงินของโลกมนุษย์อยู่มากกว่า อันที่จริงก็ไม่ได้ฟีบแบนไปสักเท่าไร เพียงแต่ว่าอยู่ดีๆ ก็เหมือนขาดเสาหลักไป เผยเฉียนจึงทอดถอนใจไม่หยุด นางเก็บมันใส่ไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง ช่วยไม่ได้ ขนาดถาดหยกใบใหญ่บนท้องฟ้า (เปรียบเปรยถึงดวงจันทร์) ยังมีมืดมีสว่าง มีกลมมีเสี้ยว เงินน้อยในถุงเงินก็มีการพบการพราก ทั้งสองเรื่องนี้ต่างก็ยากจะสมบูรณ์แบบมานับแต่โบราณกาล อันที่จริงไม่จำเป็นต้องเสียใจเลย แต่เผยเฉียนกลับไม่รู้เลยว่า ห่านขาวใหญ่ที่ไม่เคยช่วยเหลืออะไรเลยนอกจากยืนอยู่ข้างๆ ผู้นั้น ในระหว่างที่ซื้อของจุกจิกจากสองร้าน เขาได้แอบแลกเปลี่ยนเหรียญเงินเกล็ดหิมะทั้งหลายที่นางควักออกจากกระเป๋ากลับมาจากเถ้าแก่

ผู้ฝึกตนกินแสงอรุโณทัยดื่มน้ำค้าง ล้างไขกระดูก บรรลุมรรคากี่ส่วน รูปโฉมก็จะยิ่งโดดเด่นมากเท่านั้น

เพียงแต่ว่า ‘เด็กหนุ่มผู้สง่างาม’ ที่เนื้อหนังมังสาโดดเด่นเช่นชุยตงซานซึ่งไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็เหมือนกล้วยไม้ เหมือนต้นไม้หยกที่งอกงามอยู่ในถ้ำสถิตตระกูลเซียนนี้ ยังคงเป็นทัศนียภาพอันงดงามที่หาได้ยากยิ่ง

ดังนั้นตลอดทางสายตาที่มองมาทางเขาจึงมีเยอะมาก อีกทั้งสำหรับเทพเซียนบนภูเขาจำนวนไม่น้อยแล้ว มารยาทพิธีการของโลกมนุษย์ที่พันธนาการมนุษย์ธรรมดาจะนับเป็นอะไรได้ ดังนั้นยามที่ผู้ฝึกลมปราณหญิงคนหนึ่งซึ่งมีองค์รักษ์มากมายให้การพิทักษ์เดินสวนไหล่ผ่านชุยตงซานไป นางจึงหันหน้ามายิ้มให้ พอหันกลับเดินออกไปด้ไม่กี่ก้าวก็ยังหันกลับมามองใหม่ ยิ่งมองจิตใจยิ่งหวั่นไหว จึงเปลี่ยนเป็นหมุนตัวเดินเร็วๆ ขยับเข้ามาใกล้เด็กหนุ่ม นึกอยากจะยื่นมือไปบีบแก้มเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาดูสักที ผลคือพอเด็กหนุ่มสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ร่างของสตรีก็หายไปไม่เหลือร่องรอย

สตรีที่มากับนางรวมไปถึงพวกองค์รักษ์ต่างก็ตะลึงลานทำอะไรไม่ถูก ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่งที่เป็นหัวหน้าองค์รักษ์ห้ามปรามผู้ติดตามที่เป็นเด็กรุ่นหลังทุกคนซึ่งเตรียมจะซักไซ้เอาความผิดอีกฝ่ายเอาไว้ ตัวเองเป็นฝ่ายเดินหน้าไปขออภัย เด็กหนุ่มชุดขาวที่มีไฝแดงกลางหว่างคิ้วผู้นั้นยิ้มตาหยีไม่เอ่ยคำใด สุดท้ายเป็นเพราะแม่นางน้อยผิวออกดำที่ในมือถือไม้เท้าตระกูลเซียนซึ่งผ่านการหล่อหลอมมาแล้วเป็นคนเอ่ยปาก เด็กหนุ่มถึงได้สะบัดชายแขนเสื้อ บนถนนจึงมีร่างของสตรีหล่นกระแทกพื้นนอนพังพาบ เด็กหนุ่มไม่แม้แต่จะชายตามองผู้ฝึกตนเฒ่าก่อกำเนิด เพียงค้อมเอวยื่นมือไปตบซีกหน้าของสตรีผู้นั้นเบาๆ ด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า แล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไร จากนั้นก็เดินหน้าเคียงข้างแม่นางน้อยต่อไป

เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ร่างของเด็กหนุ่มพลันส่ายไหว ยื่นมือมากุมขมับ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ วิชาอภินิหารใหญ่ที่ใช้มือหนึ่งปิดแผ่นฟ้า ตลอดพันปีที่ผ่านมาไม่เคยปรากฏมาก่อนวิชานี้เผาผลาญปราณวิญญาณของข้าไปมากเหลือเกิน เวียนหัวๆ จะทำอย่างไรดีๆ”

เผยเฉียนยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก รีบยื่นไม้เท้าเดินป่าส่งให้ห่านขาวใหญ่ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ระวังหน่อย เดินช้าๆ”

เผยเฉียนชะลอฝีเท้าคล้ายตั้งใจคล้ายไม่เจตนา

เพียงแต่พอนางเดินช้า ห่านขาวใหญ่ก็ช้าตามไปด้วย นางจึงได้แต่เพิ่มความเร็วฝีเท้า รีบเดินให้ห่างจากพวกกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลัง

เด็กหนุ่มถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือ ใช้มันค้ำพื้นทุกก้าวที่เดินไป เขาแอบหันหน้ากลับไป คลี่ยิ้มกว้างเจิดจ้า โบกมือให้กับสตรีผู้นั้น

สตรีที่ปวดหัวราวจะแตกหน้าซีดขาว เวียนหัวตาลาย พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว ทะเลสาบหัวใจไม่มีริ้วคลื่นใดๆ กระเพื่อมขึ้นแม้แต่น้อย ราวกับว่าถูกภูเขาลูกหนึ่งที่กลบทับทะเลสาบหัวใจของนางได้อย่างพอดิบพอดีกดทับเอาไว้

ผู้ฝึกตนเฒ่าก่อกำเนิดคนนั้นแอบลอบสังเกตทะเลสาบหัวใจของคุณหนูตัวเองก็ให้ตื่นตะลึงสุดขีด ความคิดในใจก่อนหน้านี้ที่ยังลังเลว่าควรจะหาโอกาสกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมาดีหรือไม่ เวลานี้พลันสลายหายไปเกลี้ยง ไม่เพียงเท่านี้ ยังใช้เสียงในใจเปิดปากอีกครั้งว่า “ขอผู้อาวุโสโปรดอภัยที่คุณหนูของข้าล่วงเกินท่านด้วยเถิด”

เด็กหนุ่มไม่ได้หันกลับมา เพียงแค่ใช้ไม้เท้าเดินป่าในมือทิ่มลงพื้นเบาๆ พละกำลังเพิ่มจากเดิมเล็กน้อย ยิ้มบางๆ ใช้เสียงในใจเอ่ยกับผู้ฝึกตนก่อกำเนิดตัวน้อยๆ คนนั้นว่า “สตรีใจกล้าผู้นี้สายตาไม่เลว ข้าจะไม่ถือสานาง พวกเจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ วาดงูเติมขา ดูจากวิธีการฝึกตนของเจ้า น่าจะมาจากสำนักซานเหอของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นสายของ ‘ฝ่าเทียนกุ้ยเจิน’ หรือว่าสายของ ‘เซี่ยงตี้ฉางหลิว’ ที่โชควาสนาไม่ได้เรื่อง แต่ก็ไม่เป็นไร กลับไปบอกกับฉินจือหลันบรรพจารย์ตระกูลเจ้าสักคำว่า เลิกอ้างว่าบาดเจ็บ ปิดด่านแกล้งตายได้แล้ว เจ้าบอกกับนางไปตามตรงว่า ปีนั้นที่แพ้ด่านถามใจแก่ข้าสามครั้งติด แสร้งเล่นแง่หลบหน้าไม่ยอมมาพบหน้าข้าใช่ไหม ได้ผลประโยชน์ไปแล้วยังบอกว่าได้รับความไม่เป็นธรรมใช่ไหม ข้าก็แค่คร้านจะทวงหนี้นางเท่านั้น แต่ตอนนี้เรื่องนี้ยังไม่จบ วันหน้าข้าจะไปตบดวงหน้าน้อยๆ อมชมพูของนางเอง หากไม่ตบจนหน้าเละก็จะไม่ยอมเลิกรา”

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

Jiàn Lái, 剑来
Score 8.2
Status: Ongoing Type: Author: , , Released: 2017 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset