บนหัวกำแพง เฉินผิงอันยังคงไม่รีบไม่ร้อน คอยหลบเลี่ยง แต่หากหลบไม่ทันก็จะยกมือขึ้นบังหมัดของอวี้เจวี้ยนฟูที่พุ่งมา
รับหมัดของนางร้อยครั้ง ไม่โดนจังๆ สักครั้ง
นี่ก็คือความตั้งใจเดิมของเฉินผิงอัน
จากนั้นก็ถือโอกาสมองประเมินผู้ฝึกยุทธรุ่นเดียวกันในใต้หล้าที่หากไม่นับเฉาสือแล้วก็ถือว่าออกหมัดได้เร็วที่สุดและมีหมัดที่หนักที่สุดตรงหน้าไปด้วย
ขณะเดียวกันเฉินผิงอันเองก็ค่อยๆ ตรวจสอบหาช่องโหว่และชดเชยให้กับปณิธานหมัดของตัวเองไปทีละนิด มองดูเหมือนเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่แน่นอน ราวกับว่าจะสะบั้นแต่ก็สะบั้นไม่ขาด จะแพ้ก็ไม่แพ้ แต่ความจริงแล้วกลับช้าเร็วได้อย่างมีขั้นมีตอน เป็นไปตามใจปรารถนา ทุกอย่างอยู่ในการควบคุม
ดังนั้นเมื่อใดที่อวี้เจวี้ยนฟูไม่ซุกซ่อนฝีมือที่แท้จริงอีกต่อไป ใช้เรือนกายที่คล่องแคล่วว่องไวที่สุดปล่อยหมัดเต็มแรงต่อยโดนเฉินผิงอันจังๆ เน้นๆ ได้สำเร็จ นั่นก็คือช่วงเวลาที่เฉินผิงอันจะเอาคืนบ้างแล้ว
ซึ่งเขาเองก็จะใช้หมัดที่เร็วที่สุดและหมัดที่มีพละกำลังหนักหน่วงที่สุดเช่นกัน
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ต้องยำเกรงสิ่งใด ทั้งการออกหมัดและสภาพจิตใจล้วนไร้อุปสรรคขัดขวาง
ประลองฝีมือกับอวี้เจวี้ยนฟูไม่ค่อยเหมือนกับเฝ้าด่านถามกระบี่กับฉีโซ่ว ผังหยวนจี้ก่อนหน้านี้สักเท่าไร ฝ่ายหลังมีเรื่องให้ต้องคอยกังวลมากมาย ต้องคอยระมัดระวังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งยังต้องพยายามทำให้ตัวเองไม่แพ้พร้อมกับกุมชัยชนะเล็กๆ ซึ่งค่อนข้างยากลำบาก เพราะหากเขาชนะเพิ่มมากี่ส่วนก็คือเรื่องไม่คาดฝันที่อาจจะเพิ่มเข้ามาเมื่อเขาออกไปจากหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่กลุ่มอิทธิพลซับซ้อนแห่งนี้ แต่เมื่อมาเจอกับอวี้เจวี้ยนฟูที่ทั้งสองคนต่างก็เป็นคนต่างถิ่น อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเหมือนกัน เฉินผิงอันก็ไม่จำเป็นต้องคิดมากเรื่องพวกนี้เลย
ก็เหมือนอย่างที่เขาพูดกับน่าหลันเย่สิงก่อนหน้านี้ ขนาดตัวเขาเฉินผิงอันเองก็ยังใคร่รู้ว่าเมื่อเบื้องหน้ามีศัตรู ปณิธานหมัดกลั่นรวมถึงขีดสุด แล้วตนแสดงฝีมืออย่างเต็มที่ จะสามารถออกหมัดได้เร็วแค่ไหน
การออกหมัดของผู้ฝึกยุทธเช่นข้า!
เมื่อข้าผู้เป็นผู้ฝึกยุทธออกหมัด ใครบ้างไม่อยากให้คนใต้หล้ารู้สึกว่าตัวข้าคือสวรรค์อยู่เบื้องบน จนพวกเขาได้แต่เก็บมือเก็บหมัดไม่กล้าปล่อยออกไป!
เรือยันต์ลำหนึ่งเคลื่อนมาถึงอย่างเชื่องช้าแต่กลับสะดุดตาอย่างถึงที่สุด ปราดเปรียวประดุจปลาว่ายน้ำ ลอดทะลุมาท่ามกลางกลุ่มผู้ฝึกกระบี่ส่วนใหญ่ที่ขี่กระบี่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ สุดท้ายหยุดอยู่ห่างจากหัวกำแพงเมืองแค่สิบกว่าก้าว การประลองฝีมือของผู้ฝึกยุทธสองคนที่อยู่บนหัวกำแพง มองเห็น…เรือนกายล่องลอยประดุจควันสองสายได้อย่างชัดเจน
รอจนเผยเฉียนได้เห็นอาจารย์พ่อของตนจริงๆ นางก็ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินอะไรแล้ว ไปนั่งอยู่บนรั้วหัวเรือกับห่านขาวใหญ่ วางไม้เท้าเดินป่าพาดขวางไว้บนหัวเข่า
มองไปมองมา อารมณ์ของเผยเฉียนก็เริ่มซับซ้อน
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นอาจารย์พ่อที่เป็นเช่นนี้
นับตั้งแต่ที่ตนได้พบเจอกับอาจารย์พ่อ หลังจากนั้นก็มีการกลับมาพบกันอีกครั้งครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ดูเหมือนว่าอาจารย์พ่อจะไม่เคยฮึกเหิมเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตเช่นนี้มาก่อน
ไม่ใช่ดูเหมือน แต่เป็นไม่เคยเลย
ตรงหัวใจ ตรงหว่างคิ้วของอาจารย์พ่อล้วนไร้ความกลัดกลุ้มกังวลใจ
ยามนี้อาจารย์พ่อเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างเดียวจริงๆ
อาจารย์พ่อของนางในเวลานี้ก็คือตัวเขาเฉินผิงอัน
เผยเฉียนทั้งดีใจ ทั้งเสียใจ
หมัดทั้งสองของนางวางไว้บนไม้เท้าเดินป่าเบาๆ ดวงตาทั้งคู่ของแม่นางน้อยที่ผิวออกดำมีประกายแสงเจิดจ้าของตะวันจันทรา
ชุยตงซานยิ้มบางๆ เขาสะบัดปลายแขนเสื้ออย่างไม่ให้เป็นที่สังเกต ริ้วคลื่นเล็กๆ กระเพื่อมขึ้น แต่กลับสามารถบดบังภาพเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดกับนางเอาไว้ได้
ห่างจากเรือยันต์ไปไม่ไกลมีผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนหนึ่งขี่กระบี่เล่มใหญ่ยักษ์ ด้านหลังมีหัวเล็กๆ มากมายที่บ้างอยู่สูงต่ำ บ้างอยู่ซ้ายขวายืนอยู่
มีเด็กคนหนึ่งส่ายหน้าเอ่ยว่า “เฉินผิงอันผู้นี้ ไม่ได้ความๆ โดนหมัดไปมากมายขนาดนั้นก็ยังไม่รู้จักตอบโต้กลับคืนเสียบ้าง ต้องแพ้แน่นอน!”
มีเด็กหลายคนพากันเอ่ยคล้อยตาม น้ำเสียงที่ใช้พูดต่างก็แฝงไว้ด้วยแววเศร้าโศกในความโชคร้ายและเจ็บใจในความไม่เอาไหนของเถ้าแก่รองที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วผู้นี้
จะดีจะชั่วเถ้าแก่รองอย่างเจ้าก็ถือเป็นคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่เราครึ่งตัวแล้ว ผลกลับต้องแพ้ให้กับผู้ฝึกยุทธต่างถิ่นจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางผู้นั้น ไม่อายบ้างหรือ?
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนนั้นทำเพียงแค่ชมศึกอยู่เงียบๆ ด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้เอ่ยอะไร
ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่ต้องแพ้เดิมพัน นักพนันแต่ละคนที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองล้วนไม่มีสีหน้าดีๆ กันทั้งนั้น สายตาก็ไม่เป็นมิตรเหมือนกับกระบี่บิน ดูจากท่าทางแล้วทุกคนล้วนแพ้กันทั้งนั้น
มีเด็กคนหนึ่งหันหน้าไปมองถ่านดำน้อยที่อยู่บนเรือลำเล็กแปลกประหลาดลำนั้น ดูท่าแล้วอายุคงไม่มาก
เขาจึงถาม “นี่ เจ้าเป็นใคร เมื่อก่อนไม่เห็นเคยเจอเจ้าเลย?”
เผยเฉียนหันหน้ามากล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “ข้าคือลูกศิษย์ของอาจารย์ข้า”
เด็กหนุ่มกลอกตามองบน “แล้วอาจารย์ของลูกศิษย์คือใครล่ะ?”
เผยเฉียนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างสดใส “อาจารย์ของข้าก็คือคนบนหัวกำแพงที่ออกหมัดแค่ครั้งเดียวก็จะชนะได้ทันทีคนนั้น!”
เด็กคนนั้นเบ้ปาก พึมพำว่า “ที่แท้ก็เป็นลูกศิษย์ของอวี้เจวี้ยนฟูเองหรือ? ข้าว่าไม่สู้เจ้าเป็นลูกศิษย์ของเถ้าแก่รองยังดีเสียกว่า”
เผยเฉียนอึ้งตะลึง เด็กๆ ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างก็โง่งมแบบนี้กันหมดหรือ? ดูท่าแล้วไม่เห็นจะดีเหมือนสหายหัวขาวคนนั้นเลยนะนี่?
คิดมาถึงตรงนี้ เผยเฉียนก็รีบกวาดตามองไปรอบด้าน คนเยอะมากจริงๆ มองไม่เห็นป๋ายโส่วของสำนักกระบี่ไท่ฮุยผู้นั้นเลย
แบบนี้แหละดีแล้ว ทางที่ดีที่สุดป๋ายโส่วควรจะออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้แล้ว
เผยเฉียนไม่มองหาอีก มองมาดยามอาจารย์พ่อออกหมัดให้มากจะดีกว่า
เฮ้อ น่าจะเป็นเพราะอาจารย์พ่อโดดเด่นเกินไป ศัตรูในกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงได้มีเยอะแบบนี้
น่าเสียดายที่ผู้ฝึกกระบี่ตาไร้แวว แต่ก็น่าชื่นชมนักที่อาจารย์พ่อไร้ศัตรูเทียมทาน
บนหัวกำแพงเมือง เซียนกระบี่บางท่านที่ทะยานลมอยู่กลางทะเลเมฆเพ่งสายตาก้มหน้ามองไปยังสนามรบเบื้องล่างก่อน
จากนั้นก็เป็นพวกผู้ฝึกกระบี่เซียนดินที่พอจะสัมผัสได้ถึงเบาะแสอะไรบางอย่าง
ส่วนผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์คนอื่นๆ ล้วนยังคงถูกปิดหูปิดตา ไม่รู้เลยว่าแพ้ชนะจะตัดสินกันในเวลาแค่เสี้ยวเดียวแล้ว
อวี้เจวี้ยนฟูเดินออกไปหนึ่งก้าวเรือนกายก็เหมือนสายฟ้าแลบปลาบ กระทั่งไม่เห็นเงาร่างของนางแล้ว จุดเดิมที่นางยืนอยู่ถึงเพิ่งจะเกิดเสียงกัมปนาท ริ้วคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่ากระเพื่อมขึ้นมา อวี้เจวี้ยนฟูใช้ความเร็วที่ถือว่าเร็วกว่าก่อนหน้านี้มากแล้ว พริบตาเดียวก็มาหยุดอยู่เบื้องหน้าเจ้าคนที่โดนหมัดนางไปสามร้อยสามสิบเอ็ดหมัด แต่อันที่จริงกลับไม่ส่งผลใดๆ ต่อพลังการต่อสู้ของเขาเลยแม้แต่น้อย ครั้นจึงกระแทกเข่าเข้าที่หน้าอกของเขา หมัดหนึ่งพุ่งตามไปติดๆ ต่อยเข้าที่หน้าผากของเฉินผิงอัน ทำให้ศีรษะของอีกฝ่ายเหวี่ยงไปด้านหลัง อวี้เจวี้ยนฟูที่ต่อยโดนอีกฝ่ายแล้วก็ถอยทันที อาศัยปณิธานหมัดที่แผ่กระเพื่อมมาจากหน้าผากของอีกฝ่ายและแรงเหวี่ยงหลังจากที่พายุหมัดของตัวเองกระแทกไปโดน ช่วยให้ร่างของอวี้เจวี้ยนฟูถอยห่างออกไปหลายสิบจั้งในชั่วพริบตา
ในเมื่อการออกหมัดของตนเทียบกับกระบี่บินของเซียนกระบี่ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ใช้วิธีเอามืดทื่อแล่เนื้อ อันที่จริงนี่ก็คือเจตจำนงเดิมในการถามหมัดของนาง เขาไม่รีบร้อน นางก็ยิ่งไม่รีบร้อน แค่ต้องค่อยๆ สะสมข้อได้เปรียบ แล้วปล่อยหมัดเช่นนี้ให้สำเร็จอีกสิบกว่าครั้ง นางก็จะมีโอกาสชนะ เมื่อสะสมโอกาสชนะมากเข้า ก็คือชัยชนะ!
ทว่าสองเท้าของอวี้เจวี้ยนฟูเพิ่งจะเหยียบลงพื้น นางก็พลันรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนรุนแรง
หนึ่งหมัดผ่านไป อวี้เจวี้ยนฟูไม่เพียงแต่ถูกเอาคืนด้วยหนึ่งหมัดที่ต่อยลงมาบนศีรษะจนศีรษะของนางเหวี่ยงสะบัดไปด้านหลัง อีกทั้งเพื่อยั้งไม่ให้เรือนกายกระเด็นออกไป อวี้เจวี้ยนฟูยังต้องทิ้งร่างทั้งร่างนอนหงายไถลครูดออกไปตลอดทาง ไม่เพียงเท่านี้ อวี้เจวี้ยนฟูยังต้องอาศัยสัญชาตญาณเปลี่ยนเส้นทางเพื่อหลบหมัดต่อไปของเฉินผิงอันที่นางแน่ใจว่าพละกำลังต้องมหาศาลอย่างแน่นอน
ทว่านาทีถัดมา อวี้เจวี้ยนฟูหลบแล้วก็จริง แต่ดูเหมือนว่าคนชุดเขียวผู้นั้นจะรอตนอยู่ตรงนั้นนานแล้ว นี่เป็นความรู้สึกที่ทำให้อวี้เจวี้ยนฟูคุ้นเคยอย่างถึงที่สุด ขณะเดียวก็แปลกใหม่อย่างถึงที่สุด เพราะในอดีตคนที่คุมเชิงกับนางจะแค่รออยู่มุมใดมุมหนึ่ง ไม่มีทางลงมือ ทว่าบนหัวกำแพงเมืองในวันนี้ คู่ต่อสู้เปลี่ยนไปแล้ว จึงไม่มีความเกรงใจกันเลยแม้แต่น้อย หนึ่งหมัดปล่อยลงมา ทำเอาอวี้เจวี้ยนฟูที่ยังไม่อาจหยัดตัวลุกขึ้นมาได้หัวกระแทกลงพื้นก่อนแผ่นหลังและสองเท้าเสียอีก
ใบหน้าของอวี้เจวี้ยนฟูแตกยับอาบไปด้วยเลือด
สายตาของอวี้เจวี้ยนฟูยังคงสงบนิ่ง ให้ศอกดันพื้น พลิกตะแคงร่างแล้วหมุนตัวเหวี่ยงออกไปในแนวขวาง สุดท้ายถอยร่นโดยหันหน้าเข้าหาเฉินผิงอัน สองเข่างอลงเล็กน้อย มือทั้งสองสอดกันกั้นขวางไว้เบื้องหน้า
อีกหมัดหนึ่งพุ่งมาปะทะโดยตรง เพียงแต่ว่าท่าของนิ้วมือทั้งสิบที่ไม่สะดุดตานั้นของอวี้เจวี้ยนฟูต้องไม่ใช่กระบวนท่าหมัดที่นางร่ำเรียนมาอย่างแน่นอน
แต่เป็นวิชาเทพเซียนอย่างหนึ่งที่อวี้เจวี้ยนฟูใคร่ครวญออกมาเพื่อใช้รับมือกับกระบวนท่าหมัดนั้นของเฉินผิงอันโดยเฉพาะ ไม่ให้พวกมันเชื่อมโยงติดกันเป็นเส้นเดียว!
ชุยตงซานยิ้มบางๆ “พอจะฉลาดอยู่บ้าง”
แต่จุดที่เขาสนใจอย่างแท้จริงกลับไม่ได้อยู่บนสนามรบที่ไม่ต้องคาดเดาก็รู้แล้วว่าใครแพ้ใครชนะครั้งนี้ แต่อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมดของทุกคนที่อยู่นอกสนามรบ ยิ่งเป็นคนที่สีหน้าไร้อารมณ์ หรือคนที่ยิ่งยิ้มแย้มผ่อนคลาย ชุยตงซานก็ยิ่งสนใจ
หนึ่งหมัดผ่านไป อวี้เจวี้ยนฟูก็ไม่อวดเก่งฝืนทนเหมือนก่อนหน้านี้อีก นางทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง สองมือค้ำยันพื้น ตีลังกากลับหลัง พอข้อเท้าสัมผัสพื้นก็เพิ่มแรงค้อมเอวขยับตัวไถลออกข้างไปหลายสิบจั้ง
แต่กลับพบว่าเฉินผิงอันเพียงแค่ยืนอยู่ที่เดิม จุดที่เขายืนอยู่ ปราณกระบี่ถอยร่นกระจายตัวไป ปณิธานกระบี่กับปณิธานหมัดขัดเกลากันเอง ทำให้เรือนกายที่มั่นคงดุจขุนเขาของเฉินผิงอันบิดเบือนเหมือนม้วนภาพวาดที่มีรอยยับน้อยๆ
อวี้เจวี้ยนฟูไม่ถอยหนีกลับยังบุกเข้าหา ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะแลกหมัดกับเจ้าเฉินผิงอัน!
อวี้เจวี้ยนฟูกระโจนไปเบื้องหน้า หนึ่งหมัดปล่อยออกไป ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้
คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่คนผู้นั้นขยับเข้ามาใกล้ก็คล้ายจะเปลี่ยนใจกะทันหัน ไม่คิดจะใช้หมัดตอบหมัดกับนางแล้ว ร่างของเขาพลิกหมุน เบี่ยงเอวหลบฉาก ไม่เพียงแต่หลบหนึ่งหมัดหนึ่งคนของอวี้เจวี้ยนฟูมาได้ กลับกันเมื่อมาอยู่ข้างหลังของอวี้เจวี้ยนฟูยังใช้มือข้างหนึ่งกดท้ายทอยของนางเอาไว้ จากนั้นก็วิ่งตะบึงไปตลอดทาง เอาหน้าของอวี้เจวี้ยนฟูกดกระแทกเข้ากับหัวกำแพงเมืองทั้งอย่างนั้น
ชุยตงซานพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ เห็นหรือยัง ยอดเขาของปณิธานหมัด อันที่จริงไม่ได้อยู่ที่การออกหมัดอย่างไร้ยำเกรง แต่อยู่ที่คนออกหมัด หยุดหมัด แล้วออกหมัดอีกครั้ง หมัดเป็นไปดังใจปรารถนาของข้า เมื่อเป็นดังใจแล้วมือไม้ก็คล่องแคล่ว นี่ก็คือความเชี่ยวชาญอย่างถึงแก่น นี่ก็คือวิชาหมัดที่ได้มาตรฐานอย่างแท้จริง ไม่อย่างนั้นเมื่อครู่นี้หากหมัดนั้นของอาจารย์ไม่เปลี่ยนเส้นทาง ปล่อยหมัดโดยคล้อยไปตามสถานการณ์ สตรีผู้นั้นก็ไม่ตายก็น่าจะร่อแร่ใกล้ตายแล้ว”
เผยเฉียนมองตาไม่กะพริบ บ่นเบาๆ ว่า “เจ้าอย่าเสียงดังสิ”
ชุยตงซานเองก็ไม่ถือสา อย่าเห็นว่านางทำท่าไม่ใส่ใจ ดูเหมือนว่าจะจำอะไรไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทัศนียภาพมากมายที่นางคิดว่ามองไปแล้วแต่กลับจดจำไม่ได้ เสียงระหว่างฟ้าดินที่ฟังไปแล้วแต่กลับคล้ายไม่ได้ยินอะไรสักอย่าง อันที่จริงล้วนอยู่ในใจของนาง ขอแค่จำเป็นต้องคิดถึง จำเป็นต้องเอาออกมาใช้ นางก็จะจำได้ทันที
อวี้เจวี้ยนฟูนั่งอยู่บนพื้นเอนหลังพิงผนัง เงยหน้ามองเฉินผิงอันผู้นั้น “ยังมีครั้งที่สาม”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่มีครั้งที่สามแล้ว เจ้าและข้าต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจ หากเจ้าไม่ยอมแพ้ ก็ได้ รอเจ้าฝ่าทะลุขอบเขตแล้วค่อยว่ากัน”
อวี้เจวี้ยนฟูกลืนเลือดสดลงคอ แล้วก็ไม่คิดจะเช็ดคราบเลือดบนใบหน้า ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ผู้ฝึกยุทธประลองฝีมือกัน ยิ่งประลองมากก็ยิ่งมีประโยชน์ หรือเจ้ากลัวว่าหนิงเหยาผู้นั้นจะเข้าใจผิด?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “กลัวสิ”
อวี้เจวี้ยนฟูพูดไม่ออก
ยามนี้เฉินผิงอันถึงได้เงยหน้ามองเรือยันต์ลำนั้น ยกมือขึ้นกุมเป็นหมัดแล้วโบกเบาๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มาแล้วหรือ”
เผยเฉียนกระโดดผลุงขึ้น หนีบไม้เท้าเดินป่าไว้ใต้รักแร้ ยืนอยู่บนรั้วของหัวเรือ ใช้สองมือปรบกันเบาๆ เลียนแบบหมี่ลี่น้อย
เฉาฉิงหล่างเดินมาตรงหัวเรือ เด็กหนุ่มเองก็คลี่ยิ้มกว้างสดใสอย่างที่หาได้ยาก
ชุยตงซานยังคงนั่งอยู่ที่เดิม สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ก้มหน้าลงเอ่ยทักทาย “ศิษย์คารวะอาจารย์”
หากรวมจั่วโย่วที่ตอนนี้นั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวกำแพงห่างออกไป
ถ้าเช่นนั้นกำแพงเมืองปราณกระบี่ในวันนี้
สายเหวินเซิ่งที่ถูกมองว่าควันธูปเจือจางจนมองข้ามไปได้แล้ว
กลับมีจั่วโย่วเซียนกระบี่ใหญ่ มีเฉินผิงอันผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ด มีเผยเฉียนผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่ขั้นสูงสุด มีชุยตงซานขอบเขตหยกดิบ และมีเฉาฉิงหล่างคอขวดขอบเขตถ้ำสถิต