ครั้งนี้กวอจู๋จิ่วกลับไปบ้านก็ไม่ได้เดินเตร็ดเตร่เข้าถนนเส้นโน้นออกตรอกเส้นนี้ ไม่ทำตัวเป็นแมวน้อยที่กระโดดขึ้นบนหลังคาของเพื่อนบ้านใกล้เคียงบนถนนอวี้ฮู่อย่างที่เคยทำอีกแล้ว เพราะข้างกายมีอาจารย์ตามมาด้วย ดังนั้นนางจึงอยู่ในกฎระเบียบอย่างเห็นได้ชัด
มีเด็กหนุ่มคุ้นหน้าคุ้นตากันดีคนหนึ่งฟุบตัวอยู่บนหัวกำแพง ยิ้มถามว่า “ลวี่ตวน ทำไมวันนี้ถึงไม่ผ่านด่านมาสังหารแม่ทัพแล้วเล่า สองวันมานี้ข้าฝึกเวทกระบี่จนประสบผลสำเร็จ จะต้องเฝ้าด่านไว้ได้อย่างแน่นอน ส่วนเจ้าก็ด้แต่เดินอ้อมผ่านทางไปแต่โดยดี!”
กวอจู๋จิ่วเงยหน้าขึ้น พูดด้วยสีหน้าเหลอหรา “เจ้าเป็นใครกัน?”
เด็กหนุ่มเห็นว่ากวอจู๋จิ่วแอบขยับตาให้ตนก็รีบหายตัวไปทันที
และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้มาเยือนจวนตระกูลกวอบนถนนอวี้ฮู่ เซียนกระบี่กวอเจี้ยออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง เฉินผิงอันเพียงแค่ส่งกวอจู๋จิ่วที่ประตูหน้าบ้าน ปฏิเสธคำเชื้อเชิญของกวอเจี้ยอย่างละมุนละม่อม ไม่ได้เข้าไปนั่งในบ้าน เพราะถึงอย่างไรเซียนกระบี่ลั่วซานของสายอิ่นกวานก็จับตามองตนอยู่ จวนหนิงไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ทว่าเซียนกระบี่กวอเจี้ยกับตระกูลยังต้องสน อย่างน้อยที่สุดก็ต้องทำท่าทางแสดงให้เห็นว่าตนสนใจ
กวอเจี้ยลากกวอจู๋จิ่วเดินเข้าไปในบ้าน พลางถามชวนคุยว่า “อยู่ที่นั่นคุยอะไรกับศิษย์พี่หญิงใหญ่ตัวเล็กของเจ้าบ้าง?”
กวอจู๋จิ่วเอ่ย “ท่านพ่อ ต่อให้ท่านลงทัณฑ์อย่างโหดเหี้ยม ข้าก็ไม่มีทางเอ่ยแม้แต่คำเดียว ข้ากวอจู๋จิ่วเป็นใคร คือบุตรสาวของเซียนกระบี่ใหญ่กวอเจี้ย อะไรที่ไม่ควรพูด ข้าก็จะไม่พูดแม้แต่คำเดียว”
กวอเจี้ยก้มหน้าลงมองบุตรสาวที่ยิ้มหวาน แล้วจึงตบศีรษะเล็กของนางเบาๆ “มิน่าถึงได้พูดกันว่าบุตรสาวเก็บไว้ในบ้านนานไม่ได้ บิดาต้องเจ็บปวดใจ”
กวอจู๋จิ่วถาม “แต่ท่านแม่ข้าไม่ได้เป็นแบบนี้นะ พอแต่งให้ท่านพ่อแล้วก็ยังคอยปกป้องบ้านเดิมอยู่ทุกเรื่องไม่ใช่หรือ? ท่านพ่อเองก็ด้วย ทุกครั้งที่น้อยใจท่านแม่ก็ต้องคอยไประบายความทุกข์ให้อาจารย์ตัวเองฟัง หรือไม่ก็ไปดื่มเหล้ากับสหายเซียนกระบี่ที่คุ้นเคยกัน ทว่ายามไปเยือนบ้านพ่อตากลับแกล้งทำตัวน่าสงสาร ท่านแม่น่ะรำคาญท่านจะตายอยู่แล้ว ท่านคงไม่รู้กระมังว่า ท่านตาข้าเคยมาหาข้า บอกให้ข้าช่วยเกลี้ยกล่อมท่านว่าอย่าไปที่นั่นอีกเลย ถือว่าพ่อตาอย่างเขาขอร้องลูกเขยอย่างท่านล่ะ สงสารเขาเถิด ไม่อย่างนั้นสุดท้ายแล้วคนที่ซวยที่สุดก็คือเขา ไม่ใช่ลูกเขยอย่างท่าน”
กวอเจี้ยเคยชินกับคำพูดทิ่มแทงใจดำของบุตรสาวแล้ว แค่ชินก็ดีไปเอง แค่ชินก็ดีไปเองนั่นแหละ ดังนั้นพ่อตาของตนก็น่าจะเคยชินได้แล้ว คนครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกัน
เดิมทีอารมณ์ของกวอเจี้ยเต็มไปด้วยพยับเมฆ เวลานี้กลับเหมือนเมฆเคลื่อนหายแสงจันทร์ส่องสว่างได้หลายส่วน ก่อนหน้านี้จั่วโย่วมาหาเขาครั้งหนึ่ง เป็นเรื่องดี เพราะมาพูดคุยด้วยเหตุผล ไม่ได้ออกกระบี่ ตนโชคดีกว่าเซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิงผู้นั้นมากนัก แน่นอนว่าถึงแม้จะไม่ได้ออกกระบี่ แต่จั่วโย่วก็ยังพกกระบี่มา อันที่จริงส่วนลึกในใจของกวอเจี้ยซาบซึ้งใจอย่างยิ่งที่ผู้ที่เวทกระบี่สูงสุดในโลกผู้นี้พกกระบี่มาเยือนถึงบ้าน กับคนหนุ่มคนเมื่อครู่ กวอเจี้ยก็ชื่นชมมากเหมือนกัน ดูเหมือนว่าลูกศิษย์สายของเหวินเซิ่งจะเชี่ยวชาญการใช้เหตุผลนอกเหนือจากการพูดจา อีกทั้งยังพูดให้คนอื่นนอกจากกวอเจี้ยและตระกูลกวอฟังอีกด้วย
กวอเจี้ยหวังมาโดยตลอดว่าลวี่ตวนผู้เป็นบุตรสาวจะได้ออกไปดูภูเขาห้อยหัวที่อยู่ด้านนอก เลียนแบบหนิงเหยาที่ได้ออกไปชมทัศนียภาพห่างไกลยิ่งกว่า กลับมาช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร เพียงแต่อย่าเห็นว่าบุตรสาวของตนชอบความครึกครื้นมาตั้งแต่เด็ก แต่นางกลับไม่เคยแอบไปเยือนภูเขาห้อยหัวเลยสักครั้ง กวอเจี้ยเคยบอกให้ภรรยาบอกบุตรสาวเป็นนัยๆ ทว่าบุตรสาวกลับบอกเหตุผลที่ทำให้คนมิอาจตอบโต้ได้
กวอจู๋จิ่วบอกว่าตอนที่นางยังเด็กต้องเปลืองแรงอย่างมากกว่าจะปีนไปถึงหลังคาบ้านของตัวเองได้ เห็นดวงจันทร์วางอยู่บนหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คิดว่าสักวันจะไปลูบมันดู ผลคือรอจนนางโตขึ้น อาศัยความสามารถของตัวเองเดินขึ้นไปบนหัวกำแพงได้แล้ว ถึงได้ค้นพบว่าแท้จริงแล้วไม่ได้เป็นอย่างที่นางคิด ดวงจันทร์อยู่ห่างจากหัวกำแพงเมืองไปไกลแสนไกล เอื้อมมือคว้าไม่ถึง ดังนั้นนางจึงไม่ยินดีจะเดินทางไปไหนไกลๆ อีกแล้ว หัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่สูงขนาดนั้น ต่อให้นางเขย่งสุดปลายเท้าเอื้อมมือออกไปก็ยังจับดวงจันทร์ไม่ได้ ไปถึงภูเขาห้อยหัวก็ยิ่งคว้าไม่ถึง ไม่น่าสนใจสักนิด
ครั้งนี้จั่วโย่วมาเยือนเพราะหวังว่ากวอจู๋จิ่วจะได้เป็นลูกศิษย์ของเฉินผิงอันศิษย์น้องเล็กของเขาอย่างเป็นทางการ ขอแค่ตระกูลกวอตอบตกลงเป็นพอ ประเด็นสำคัญคือต้องการให้กวอจู๋จิ่วติดตามเหล่าศิษย์พี่ชายหญิงร่วมสำนักเดินทางไปเยือนศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วในแจกันสมบัติทวีป ไปกราบไหว้อาจารย์ปู่ หลังจากนั้นก็สามารถอยู่ต่อที่ภูเขาลั่วพั่ว หรือจะไปท่องเที่ยวที่อื่นก็ได้ หากแม่นางน้อยคิดถึงบ้านจริงๆ ก็สามารถกลับมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่ช้าหน่อยก็ได้
กวอเจี้ยรู้สึกว่าเป็นไปได้
จั่วโย่วที่พกกระบี่มาเยือนถึงบ้านเปิดปากเอ่ยเช่นนนี้ กวอเจี้ยผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบไม่กล้าไม่ตอบตกลงนี่นา และเซียนกระบี่คนอื่นๆ ก็ไม่สามารถหาเหตุผลอะไรมาตำหนิเขาได้ หากหาเหตุผลที่ว่านั้นเจอก็ไปพูดกับจั่วโย่วเองเลย
แต่จู่ๆ กวอจู๋จิ่วกลับเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ระหว่างที่เดินมา อาจารย์ถามข้าว่าอยากไปบ้านเกิดของเขา ติดตามพวกศิษย์พี่หญิงใหญ่ตัวเล็กไปยังใต้หล้าไพศาลหรือไม่ ข้าเสี่ยงตายละเมิดคำสั่งของอาจารย์ ปฏิเสธไปแล้ว ท่านว่าข้าใจกล้าหรือไม่ สมกับเป็นวีรสตรีผู้ยิ่งใหญ่หรือไม่?!”
กวอเจี้ยถอนหายใจอยู่ในใจ ยิ้มถามว่า “ทำไมถึงไม่ตอบตกลงไป? ใต้หล้าไพศาลมีกฎการกราบไหว้อาจารย์เข้าสำนักอยู่หลายข้อ ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเราไม่อาจเปรียบเทียบด้วยได้ ไม่ใช่ว่าผู้ถ่ายทอดมรรคาพยักหน้าตอบตกลงแล้วก็ไม่ต้องคุกเข่าโขกหัว แค่ดื่มสุราคารวะง่ายๆ ก็พอแล้ว เจ้ายังต้องไปกราบภาพเหมือน จุดธูปไหว้ในศาลบรรพจารย์ มีพิธีการยิบย่อยมากมาย หากเจ้าอยากเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่แท้จริงของเฉินผิงอัน เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม”
กวอจู๋จิ่วส่ายหน้า “เมื่อใดที่อาจารย์จะกลับบ้านเกิด ข้าค่อยตามเขาไป หากข้าจากไปแล้ว ใครจะช่วยดูแลสวนดอกไม้ของท่านพ่อ?”
กวอเจี้ยพยายามขึงหน้าให้เครียดขรึม พูดโน้มน้าวอย่างหวังดีว่า “คราวหน้าที่ตีพวกแมลงก็ออมวิชากระบี่เอาไว้หน่อย ไม่ใช่ว่าฟันต้นไม้ดอกไม้ไปพร้อมกันด้วย”
กวอจู๋จิ่วกล่าวอย่างเสียดาย “น่าเสียดายที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่ยอมมอบไม้เท้าเดินป่าให้ข้า ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่สวนดอกไม้ของท่านพ่อเลย หากในจวนตระกูลกวอยังมีแมลงสักตัวบินได้ ท่านพ่อก็มาซักไซ้เอาความผิดจากข้า มาตัดหัวสุนัขของข้าได้เลย”
หลังแยกกับบุตรสาว กวอเจี้ยก็ไปดูสวนดอกไม้ หลังจากที่บุตรสาวกราบอาจารย์ก็ไปเยือนจวนหนิงทุกวัน ไม่มีอารมณ์มาดูแลสวนดอกไม้แล้ว ดังนั้นต้นไม้ดอกไม้ในสวนจึงเจริญงอกงามเป็นพิเศษ กวอเจี้ยยืนอยู่ในศาลาที่ห้อมล้อมด้วยช่อบุปผาเพียงลำพัง มองทัศนียภาพที่ดอกไม้ชูช่อบานสะพรั่งจับกลุ่มกันเป็นช่อเป็นพวงอย่างงดงาม แต่อารมณ์ของเขากลับไม่ได้ชื่นบานนัก หากบุปผางาม ดวงจันทร์ก็กลมโต ทุกเรื่องสมบูรณ์แบบไปหมด คนจะยังมีชีวิตเป็นอมตะได้อย่างไร
ดังนั้นกวอเจี้ยจึงยินดีให้บุปผาโรยราคนอยู่กันครบหน้ามากกว่า
……
ทางฝั่งของจวนหนิง หนิงเหยายังคงปิดด่าน
เผยเฉียนเรียนวิชาหมัดจากป๋ายหมัวมัว
จ้งชิวกำลังฝึกท่าเดินนิ่ง ใช้ปณิธานกระบี่ที่อัดแน่นเต็มฟ้าดินมาขัดเกลาปณิธานหมัด
เฉาฉิงหล่างกำลังฝึกตน
ชุยตงซานลากพี่ใหญ่น่าหลันไปดื่มเหล้าด้วยกัน
เฉินผิงอันที่หลังออกมาจากจวนตระกูลกวอและถนนอวี้ฮู่แล้วก็ไปที่ร้านเหล้าที่ยิ่งนานวันกิจการก็ยิ่งขยับขยายใหญ่ ตามกฎเดิม เถ้าแก่จะไม่ไปแย่งที่นั่งกับลูกค้า เพียงแค่นั่งดื่มเหล้าอยู่ข้างทางเท่านั้น น่าเสียดายที่ฟ่านต้าเช่อไร้คุณธรรม ถึงกับดื่มเงินค่าเหล้าส่วนที่เหลือจากเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญนั้นไปรวดเดียวหมด ตนจึงได้แต่ไปจ่ายค่าเหล้ากับเด็กหนุ่มเจี่ยงชวี่ เจี่ยงชวี่ปลุกความกล้าเอ่ยว่าก่อนหน้านี้ไม่นานเขาเบิกเงินเดือนล่วงหน้ามาจากพี่หญิงเตี๋ยจ้าง สามารถเลี้ยงเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่กาหนึ่งให้กับท่านเฉินได้ เฉินผิงอันไม่ตอบตกลง บอกว่าใช่ว่าตนไม่อยาก แต่ไม่กล้า หลีกเลี่ยงไม่ให้ชื่อเสียงที่ดีงามอย่างถึงที่สุดของตนในกำแพงเมืองปราณกระบี่เกิดจุดด่างพร้อยเล็กๆ ในฐานะบัณฑิต จะไม่รู้จักทะนุถนอมชื่อเสียงได้อย่างไร
เจี่ยงชวี่จึงไปดูแลลูกค้าต่อ ในใจคิดว่า แต่ท่านเฉิน บัณฑิตที่ไม่รู้จักทะนุถนอมชื่อเสียงแบบท่านนี้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เหมือนกันนะ
เฉินผิงอันดื่มเหล้าอย่างสบายอารมณ์ ขอเหล้าจากสหายที่นั่งอยู่ข้างๆ ไปสองชาม แล้วถึงได้ลุกไปยังผนังสองด้านใหม่เอี่ยมเพื่ออ่านชื่อและเนื้อหาบนป้ายสงบสุขทั้งหมด
จากนั้นเฉินผิงอันก็หิ้วม้านั่งไปนั่งที่มุมเลี้ยวของตรอก โบกกิ่งไผ่สีเขียวมรกตปลั่งราวกับจะคั้นน้ำได้อย่างแรง เหมือนนักเล่านิทานในหมู่ชาวบ้านที่ชอบไปนั่งใต้สะพาน แล้วตะโกนเรียกหาคนฟังเสียงดัง
เฝิงคังเล่อเป็นคนแรกที่วิ่งมาถึง ไม่มีเวลาหยิบไหที่ยิ่งนานวันก็ยิ่งหนักอึ้งใบนั้นมาด้วย เด็กน้อยกระซิบข้างหูเถ้าแก่รอง คร่าวๆ คือบอกให้รู้ถึงความลำบากใจของตน ให้เถ้าแก่รองรู้จักอะไรควรไม่ควรเสียหน่อย อย่าได้พูดผิดเป็นอันขาด เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ส่วนค่าตอบแทนก็คือบอกให้ฝังคังเล่อเดินไปเรียกทุกคนให้มาหาตน เมื่อได้ยินคำสัญญา และเถ้าแก่รองยังรับรองว่าจะไม่แฉตน เฝิงคังเล่อจึงตบไหล่ของเถ้าแก่รองหนักๆ ยกนิ้วโป้งให้ เอ่ยประโยคหนึ่งว่าพี่น้องคนดีช่างมีน้ำใจ
เฉินผิงอันชำเลืองตามองเฝิงคังเล่อ เด็กชายจึงรีบลดแรงมือมาเป็นตบไหล่เขาเบาๆ แทน จากนั้นเฝิงคังเล่อก็วิ่งออกไปแผดเสียงตะโกนเรียกคนดังลั่น บอกว่าในที่สุดเรื่องเล่าของนักเล่านิทานที่บัณฑิตไปตีกลองร้องทุกข์ฟ้องเทพอภิบาลเมืองก็ได้เปิดฉากขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว
นักเล่านิทานรอให้รอบกายมีคนมาออกันเนืองแน่นแล้วก็ขอเมล็ดแตงกำหนึ่งมาจากแม่นางน้อยที่อยู่ข้างกาย แล้วถึงได้เริ่มเล่าเรื่องแห่งขุนเขาสายน้ำที่เทพภูเขารังแกบุรุษบังคับขืนใจสตรีแต่งสาวงามเข้าเรือน ส่วนบัณฑิตที่ผ่านอุปสรรคนานัปการ ในที่สุดก็พบเจอกับความสุขในตอนท้ายอีกครั้ง
ทว่าพอพูดถึงว่าเทพภูเขาท่านนั้นกำเริบเสิบสาน มีอำนาจยิ่งใหญ่ ทำให้เทพอภิบาลเมืองที่ได้ฟังคำร้องทุกข์ของบัณฑิตเกิดใจหวาดกลัวไม่กล้าช่วย พวกเด็กๆ ก็ไม่สบอารมณ์ทันใดนั้น เริ่มโห่ร้องต่อต้าน
มัวพูดพล่ามอะไรอยู่ ลำพังเพียงแค่เทพท่องทิวาราตรี ขุนนางผู้พิพากษาบุ๋นบู๊ แม่ทัพตรวนเหล็กในศาลเทพอภิบาลเมือง มีชื่อแซ่อะไร ตอนมีชีวิตอยู่เคยสร้างคุณความชอบอะไร แล้วพอตายไปแล้วสามารถกลายมาเป็นเทพในศาลเทพอภิบาลเมืองได้อย่างไร อักษรบนกรอบป้ายเขียนคำว่าอะไรไว้กันแน่ ชุดขุนนางบนร่างของเทพอภิบาลเมืองมีบารมีแค่ไหน แค่เรื่องไม่สลักสำคัญพวกนี้ เถ้าแก่รองก็เล่ามาตั้งนาน ผลคือสุดท้ายเถ้าแก่รองดันเอ่ยประโยคนี้ออกมา บอกว่าท่านเทพอภิบาลเมืองที่มีขุนนางผีใต้บังคับบัญชามากมายดุจก้อนเมฆ มีกองกำลังทหารที่แข็งแกร่ง กลับไม่ยินดีทวงความเป็นธรรมให้กับบัณฑิตผู้น่าสงสารอย่างนั้นหรือ?
เฉินผิงอันพบว่าเมล็ดแตงในมือหมดแล้วจึงหันหน้ามาเตรียมจะขอจากแม่นางน้อย คิดไม่ถึงว่าแม่นางน้อยจะหันตัวหนี ไม่ยอมมอบเมล็ดแตงให้เขาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
เฝิงคังเล่อไม่มัวสนใจแล้วว่าจะถูกเถ้าแก่รองแฉว่าตอนนั้นตนไม่กล้าเคาะประตูไปพบเขาหรือไม่ เขามอบหมัดให้เฉินผิงอันเป็นรางวัลทันใด พูดอย่างเดือดดาลว่า “ไม่ๆ หากเจ้าไม่บอกตอนจบมาตามตรงก็ต้องเปลี่ยนเรื่องเล่าใหม่ให้มันสะใจกว่านี้หน่อย! ไม่อย่างนั้นวันหน้าข้าจะไม่มาอีกแล้ว เจ้าก็นั่งกินลมตะวันตกเฉียงเหนืออยู่ตรงนี้ไปคนเดียวเถอะ”
เด็กๆ คนอื่นต่างก็พากันพยักหน้ารับ
ยังคงเป็นพวกเซียนกระบี่ที่มาดื่มเหล้าที่มีแววตาดีเยี่ยม เถ้าแก่รองใจดำจริงๆ ด้วย
เรื่องเล่าขุนเขาสายน้ำที่ทำให้อารมณ์คนฟังย่ำแย่แบบนี้ ไม่ฟังก็ได้
เห็นเพียงว่าเถ้าแก่รองใช้มือข้างหนึ่งยกกิ่งไผ่ขึ้น มืออีกข้างหนึ่งประกบสองนิ้วเข้าด้วยกันแล้วสะบัดสองสามทีราวกับร่ายกระบวนท่ากระบี่ ก่อนถามว่า “คราวก่อนพูดถึงศาลเทพอภิบาล มีคนจำกลอนคู่หน้าประตูใหญ่ที่ข้าบอกไปแค่ครึ่งเดียวได้หรือไม่?”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยว่า “คือประโยคว่า ‘ขอให้มโนธรรมควบคุมข้า ให้ข้าเป็นคนที่กระทำความดี ทิวาราตรีฟ้าดินกว้างใหญ่ จะเดินหรือนั่งก็สงบมั่นคง ยามค่ำนอนบนเตียง จิตวิญญาณมั่นคงแม้ยามฝัน’”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
เด็กหนุ่มถามว่า “ก่อนหน้านี้ก็ถามท่านไปแล้วว่าเหตุใดถึงไม่บอกอีกครึ่งหนึ่ง ท่านบอกแค่ว่าความลับสวรรค์มิอาจแพร่งพราย เวลานี้คงจะไม่มัวอมพะนำอยู่แล้วกระมัง?”
เฉินผิงอันเอ่ย “อมพะนำเอาไว้ก่อน ไม่ต้องรีบร้อน ให้ข้าได้เล่าเรื่องที่อีกยาวไกลกว่าจะจบนั่นเสียก่อน เห็นเพียงว่าในศาลเทพอภิบาลเมืองเงียบสงัดไร้สรรพสำเนียง ท่านเทพอภิบาลเมืองลูบหนวดไม่กล้าเอ่ยคำใด ขุนนางผู้พิพากษาบุ๋นบู๊และเทพท่องทิวาราตรีต่างก็ไร้คำพูด และเวลานี้เอง เมฆทะมึนพลันเคลื่อนมาบดบังท้องฟ้า บนโลกมนุษย์ไม่เหลือแสงไฟแม้เพียงน้อย ดวงจันทร์บนฟ้าก็ไม่สว่างอีกต่อไป บัณฑิตผู้นั้นกวาดตามองไปรอบด้าน ทุกความคิดสิ้นสูญ รู้สึกดั่งฟ้าถล่มดินทลาย ตนคงมิอาจช่วยสตรีที่รักได้แล้ว ในเมื่ออยู่ไม่สู้ตายก็ไม่สู้เอาหัวกระแทกเสาให้ตายไปเสีย จะได้ไม่ต้องทนมองเรื่องโสมมในโลกมนุษย์อีก”
พวกเด็กๆ อย่างเฝิงคังเล่อฟังด้วยความกลัดกลุ้มจะตายอยู่แล้ว
ใต้หล้าไพศาลนี่มันเป็นยังไงกันนะ
ทุกวันนี้คนที่มาฟังเรื่องเล่ามีมากมาย ยิ่งนานก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าเถ้าแก่รองกลับดีนัก ดีแต่จะทำให้ข้าเฝิงคังเล่อเสียหน้า วันหน้าตนจะอยู่ในยุทธภพได้อีกอย่างไร เป็นเจ้าเถ้าแก่รองพูดเองนะว่าแท้จริงแล้วยุทธภพแบ่งเป็นเล็กใหญ่ เดินท่องอยู่ในยุทธภพเล็กข้างบ้านตัวเองเสียก่อน เมื่อฝึกปรือฝีมือจนเชี่ยวชาญแล้วก็ค่อยไปท่องในยุทธภพที่ใหญ่ยิ่งกว่าเดิม
เฉินผิงอันเอามือตบเข่าฉาด “ในชั่วเวลาเสี้ยวเส้นยาแดงผ่าแปดนั้นเอง คิดไม่ถึงว่าช่วงเวลาที่ความเป็นความตายของบัณฑิตห่างกันเพียงเส้นบางๆ กั้นขวาง เห็นเพียงว่านอกศาลเทพอภิบาลเมืองที่ม่านราตรีมืดมิดพลันปรากฏแสงสว่างจุดหนึ่ง เป็นจุดที่เล็กยิ่ง ท่านเทพอภิบาลเมืองพลันเงยหน้ามองไปแล้วหัวเราะเสียงดังก้องกังวาน เขาพูดเสียงดังว่า ‘สหายมาเยือน เรื่องนี้มิยากแล้ว’ ท่านเทพอภิบาลเมืองที่ยิ้มกว้างเดินอ้อมโต๊ะหนังสือออกมา เดินก้าวยาวๆ ลงจากบันได เดินออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง ตอนที่เดินสวนไหล่กับบัณฑิตคนนั้น เขาเอ่ยประโยคหนึ่งเบาๆ บัณฑิตกึ่งเชื่อกึ่งกังขา จึงติดตามท่านเทพอภิบาลเมืองเดินออกไปจากห้องโถงใหญ่ของศาลเทพอภิบาลเมือง ทุกท่านรู้หรือไม่ว่าผู้ที่มาเยือนเป็นใคร? หรือจะเป็นเทพภูเขาชั่วร้ายที่มาซักไซ้กล่าวโทษบัณฑิตถึงที่? หรือจะเป็นคนอื่นที่มาเยือน ทำให้สถานการณ์ร้ายๆ กลับกลายเป็นดีได้? หากอยากรู้ว่าเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป โปรดรอฟัง…”