ลมตะวันออกพัดให้เมล็ดต้นหลิวปลิวปราย ลมตะวันออกพัดให้เมล็ดต้นหลิวร่วงลง
ลมตะวันออกเหมือนกัน เมล็ดต้นหลิวเหมือนกัน แต่ก็มีทั้งขึ้นมีทั้งลง จะต้องคิดมากไปไย
เพียงแต่ว่าหลักการเหตุผลที่เป็นเช่นนี้ไร้รสชาติน่าเบื่อเกินไป ยิ่งไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอามาพร่ำพูดให้เด็กคนหนึ่งฟัง
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงแสร้งพูดเหมือนขุ่นเคืองอย่างคนที่รู้สึกตัวช้าว่า “พวกตะพาบกลุ่มนี้ น่าโมโหเกินไปแล้ว”
เด็กชายทำท่าคันไม้คันมือขึ้นมาทันใด “พวกเราทำอะไรสักหน่อยไหม?”
เฉินผิงอันถือชามเหล้าค้างไว้ในมือ เหล่ตามองอีกฝ่าย “เจ้าจะช่วยข้าต่อสู้หรือจะช่วยดูต้นทางให้ข้าล่ะ?”
เถาป่านถอนหายใจ กลับไปฟุบตัวลงบนโต๊ะอีกครั้ง “ตอนที่ลูกค้ามาก ข้าก็รำคาญว่าต้องเหนื่อย แต่พอไม่มีลูกค้า ข้ากลับรู้สึกอุดอู้ นี่มันเป็นยังไงกันนะ”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “ก็นั่นน่ะสิ นี่มันเป็นยังไงกันแน่”
เถาป่านถลึงตาใส่ “ท่านนี่มันน่าเบื่อจริงๆ นักเล่านิทานก็ไม่เป็นแล้ว ร้านนี่ก็ไม่ค่อยจะมาสนใจดูแล ไม่รู้ว่าวันๆ มัวแต่ยุ่งทำเรื่องอะไรอยู่”
เฉินผิงอันโบกมือ “ข้าจ่ายเงินซื้อเหล้าก็ควรจะได้ผักดองหนึ่งจานและบะหมี่หยางชุนหนึ่งถ้วย ล้วนยกให้เจ้าแล้ว”
เถาป่านยิ้มกว้างทันใด
หลิวเอ๋อที่เงี่ยหูฟังบทสนทนาของทางฝั่งนี้อยู่ตลอดเวลารีบไปบอกให้ท่านอาเฝิงให้ช่วยทำบะหมี่หยางชุนชามหนึ่งให้กับเถ้าแก่รอง
เฉินผิงอันดื่มเหล้าอย่างเนิบช้า
อยู่ดีๆ ก็นึกถึงหายนะที่รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วแห่งสวนสิงโตแคว้นชิงหลวนต้องเผชิญ
บัณฑิตที่รักษาชื่อเสียงวางตัวดีมาโดยตลอดย่อมต้องให้ความสำคัญกับชื่อเสียงที่สุด ดังนั้นจึงกลัวว่าจะล้มเหลวในช่วงบั้นปลายชีวิตมากที่สุด
ชุยตงซานบอกว่าวิธีการอำมหิตที่เชื่อมต่อกันเป็นทอดๆ เหล่านั้นล้วนเป็นวิธีการที่หลิ่วชิงเฟิงบุตรชายคนโตของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าคิดขึ้นมา หลี่เป่าเจินคนบ้านเดียวกันของเมืองเล็กเพียงแค่ทำตามเท่านั้น
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองเหลาสุราน้อยใหญ่ที่อยู่บนถนนใหญ่ด้านหลังตัวเอง มองถนนที่ว่างเปล่าเส้นนั้น
อันที่จริงคนเหล่านั้นที่เอ่ยถ้อยคำอย่างที่เถาป่านเล่าให้ฟัง ไม่ได้ทำให้เฉินผิงอันประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย หรือถึงขั้นพูดได้ว่า เดาได้ตั้งนานแล้ว ก็เหมือนตัวอักษรริมขอบตราประทับที่เฉินผิงอันสลักลงไปซึ่งไม่ว่าจะเป็นคนหรือเรื่องราวบนโลกมนุษย์ก็ล้วนไม่มีเรื่องไม่คาดฝัน
สำหรับเฉินผิงอันในทุกวันนี้แล้ว คิดอยากจะโกรธก็ยังยากแล้ว
ส่วนความผิดหวังนั้น ก็ยิ่งอยู่ห่างไกลเข้าไปใหญ่
คงต้องเคยมีคนที่พบเจอคุณชายเฉินซานชิวโดยบังเอิญที่โต๊ะเหล้า ที่ตรอกไท่เซี่ยง หรือไม่ก็ที่ตรอกอวี้ฮู้ ยามที่ใครบางคนหวังประจบเอาใจแต่กลับไม่ได้ผล ก็จะเริ่มแอบอาฆาตแค้นเฉินซานชิว เถ้าแก่รองเป็นเพื่อนกับเฉินซานชิว ถ้าอย่างนั้นแม้แต่เฉินผิงอันก็พลอยโดนเกลียดไปด้วย
แล้วก็ต้องมีผู้ฝึกกระบี่บางคนที่ดูแคลนชาติกำเนิดของเตี๋ยจ้าง แต่กลับอิจฉาในโชควาสนาและตบะของนาง ยิ่งชิงชังความเอะอะวุ่นวายของร้านเหล้า ชิงชังเถ้าแก่รองที่อายุน้อยแต่กลับเป็นคนเด่นดังมีหน้ามีตา
เคยมีคนวัยเดียวกันที่ดูหมิ่นเหยียดหยามเจ้าอ้วนเยี่ยนตามคนอื่น ภายหลังยิ่งขอบเขตของเยี่ยนจั๋วสูงมากขึ้นเรื่อยๆ จากการเหยียดตามองดูแคลนก็กลายเป็นว่าต้องแหงนหน้ามองเยี่ยนจั๋วที่สนิทสนมกับจวนหนิงและเฉินผิงอัน คนกลุ่มนี้ต้องรู้สึกจิตใจไม่เป็นสงบ เห็นแล้วไม่สบอารมณ์อย่างแน่นอน
แล้วก็ต้องมีลูกค้าร้านเหล้าอายุน้อยที่พยายามจะตีสนิทเถ้าแก่รองที่ร้านเหล้าของเตี๋ยจ้าง เพียงแต่รู้สึกว่าดูเหมือนตนกับเถ้าแก่รองจะคุยกันไม่รู้เรื่อง แรกเริ่มก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแต่ว่ายิ่งชื่อเสียงของเฉินผิงอันโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ ในใจคนเหล่านั้นจึงยิ่งรู้สึกว่าตัวเองต้องสูญเสียผลประโยชน์ นานวันเข้าจึงไม่มาซื้อเหล้าที่ร้านอีกแล้ว และยังชอบเปลี่ยนร้านเหล้าไปเรื่อยๆ กับสหายของพวกเขา ไปถึงที่ไหนก็นินทาร้านเหล้าเล็กๆ กับเฉินผิงอันด้วยความสาแก่ใจ ยิ่งคนคล้อยตามมีมากเท่าไร รสชาติของสุราก็ยิ่งดีมากเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดได้ว่าตนเคยเสแสร้งมานั่งดื่มเหล้ากินผักดองอยู่ข้างทางกับพวกผู้ฝึกกระบี่คนอื่นๆ ในใจคนเหล่านี้ก็จะยิ่งคับแค้น ดังนั้นจึงแต่งเรื่องนินทาว่าร้ายร้านเหล้าอย่างเอาจริงเอาจังมากขึ้นเรื่อยๆ
ยิ่งร้านเหล้าครึกครื้นเท่าไร ยิ่งกิจการดีมากเท่าไร ยามคนที่ไปดื่มเหล้าอยู่ที่อื่นแล้วพูดจาระคายหูเกี่ยวกับร้านเหล้ากวาดตามองไปรอบกาย ต่อให้ข้างกายจะมีคนไม่กี่คน ก็ยังมีเหตุผลมากมายมาใช้ปลอบใจตัวเอง ถึงขั้นยังรู้สึกว่าทุกคนต่างก็เมามาย ตนต่างหากที่มีสติ คนสองคนสามคนจับกลุ่มกันหาความอบอุ่น ยิ่งกลายเป็นคนรู้ใจของกันและกัน กลับกลายเป็นว่ายิ่งมีความจริงใจต่อกัน
ในคัมภีร์พระพุทธเคยกล่าวว่า สายฝนให้ความชุ่มฉ่ำ แต่พืชหญ้านั้นมีความแตกต่าง
อันที่จริงความหมายก็ไม่ต่างจากคำโบราณที่บอกว่าข้าวหนึ่งแบบเลี้ยงคนร้อยแบบสักเท่าใด
ไม่อย่างนั้นไม่ว่ากับใครก็ล้วนเป็นเรื่องที่ง่ายดายไปเสียหมด
ไม่ว่าจะเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หรืออริยะผู้มีคุณธรรมของลัทธิขงจื๊อ ไม่ก็อริยะปราชญ์ของร้อยสำนัก ไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่บนโลก ขอแค่คนใกล้ตัวคิดจะฟื้นฝอยหาตะเข็บก็สามารถถูกปฏิเสธ สังหารคนอื่นอยู่ในใจของข้าได้อย่างง่ายดาย
เรื่องที่ไม่ว่าใครก็สามารถทำได้ ล้วนต้องทำ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นแกะดำ แล้วก็จะแค่ทำอย่างเดียวเท่านั้นไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นจะดูธรรมดาสามัญเกินไป สุดท้ายคนที่เสียเปรียบก็คือตัวเอง
หากต้องเปลี่ยนไปเป็นยอมรับคนคนหนึ่งจากใจจริง กลับจะเป็นเรื่องที่ยากมาก
เฉินผิงอันดื่มเหล้าอึกใหญ่ เหล้าในชามหมดแล้วก็รินเพิ่มอีกหนึ่งชาม
มองเถาป่านที่กำลังสวาปามกินอาหาร เฉินผิงอันก็ยิ้มเอ่ยว่า “กินช้าๆ หน่อย ไม่มีใครแย่งเจ้าหรอก”
เถาป่านไม่สนใจ
เฉินผิงอันดื่มเหล้า เริ่มคิดถึงบ้านเกิดขึ้นมาบ้างแล้ว
ตอนยังเป็นเด็ก ยามอยู่ในเมืองเล็ก เด็กคนหนึ่งเคยปีนต้นไม้เพื่อไปเอาว่าวที่สายป่านขาดซึ่งติดอยู่บนกิ่งไม้สูงลงมา ผลกลับกลายเป็นถูกคนอื่นมองว่าเป็นหัวขโมยน้อย
เคยมีครั้งหนึ่งมองดูคนวัยเดียวกันเล่นสนุกอยู่ในสุสานเทพเซียนไกลๆ มีคนถูกงูกัด เด็กคนนั้นจึงรีบเอาตำรับยาสมุนไพรซึ่งเป็นความรู้ที่สอบถาม แอบเรียน แอบฟังมาจากร้านตระกูลหยางมาช่วยโปะยาบนแผลของเด็กที่ถูกงูกัด
นับแต่นั้นมา พอเห็นถ่านดำน้อยของตรอกหนีผิงที่มักจะอยู่ตัวคนเดียว คอยมามองพวกเขาเล่นสนุกกันอยู่ไกลๆ คนที่ด่าหยาบคายที่สุด ขว้างก้อนหินเต็มแรงที่สุดกลับเป็นคนวัยเดียวกันที่เคยพูดคุยเคยสัมผัสกับเด็กกำพร้าตรอกหนีผิงผู้นี้เสมอ
ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ แต่พอเริ่มโตขึ้นก็เริ่มเข้าใจ ที่แท้หากไม่ทำเช่นนี้ พวกเขาจะเสียเพื่อนของตัวเองไป
แต่เรื่องนี้ไม่เคยถ่วงรั้งให้เด็กเหล่านั้นเติบโตมาแล้วกลายเป็นคนไม่รู้จักกตัญญูตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ช่วยคนแก่ในตรอกใกล้เคียงหิ้วถังน้ำ ช่วยแย่งน้ำจากผืนนาคนอื่นกลางดึก
แต่ก็มีคนอายุน้อยบางคนที่กลายไปเป็นคนเจ้าเล่ห์ไม่แยแสใคร บางคนก็โชคดีหน่อย ได้กลายเป็นลูกสมุนของลูกหลานคนมีเงินบนถนนฝูลวี่หรือไม่ก็ตรอกเถาเย่ แต่ละวันหากหาโอกาสได้ก็จะถลึงตากว้างดุดัน แสร้งทำท่าว่าเป็นคนโหดเหี้ยม
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ไม่เคยถ่วงรั้งคนบางคนในกลุ่มคนเหล่านี้ที่พอได้รับเงินเป็นรางวัลแล้วก็จะกลับบ้านไป พาพวกน้องชายน้องสาวที่สวมเสื้อผ้าเก่าขาด สวมรองเท้าที่หัวแม่โป้งมักจะโผล่ออกมา ‘ยืนอยู่นอกประตู’ ตลอดทั้งปีไปจับจ่ายซื้อของฉลองวันปีใหม่อย่างมือเติบ จากนั้นก็ให้พ่อแม่ทำอาหารมื้อใหญ่อุดมสมบูรณ์ ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ฉลองเทศกาลกันอย่างครึกครื้น
พวกเขาจะทำของเล่นเล็กๆ น้อยๆ อย่างแมลงปอไม้ไผ่ (คอปเตอร์ไม้ไผ่) ดาบไม้ไผ่ กระบี่ไม้ไผ่ ฯลฯ ให้กับน้องชายน้องสาว
แล้วก็มีคนที่ตอนเด็กจิตใจชั่วร้ายกันทั้งครอบครัว โตมาก็ยังคงเป็นเช่นนี้ จากนั้นพอแต่งงานมีลูก ชีวิตแต่ละวันผ่านพ้นไปได้ แต่ก็ไม่ถือว่าดีนัก คนทั้งครอบครัวไม่เคยทะเลาะถกเถียงกับความผิดความถูกใดๆ ความรู้ความเข้าใจทั้งหมดของคนทั้งครอบครัวราวกับว่าจะมีความกลมเกลียวของฟ้าดินเล็กๆ อย่างหนึ่ง ต่อให้เฉินผิงอันเคยเป็นลูกศิษย์เตาเผามังกร อันที่จริงตอนนั้นก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ ภายหลังเดินทางผ่านยุทธภพมามากมาย อ่านหลักการเหตุผลในตำรามาไม่น้อย ถึงได้รู้สาเหตุ
เด็กของตรอกหนีผิงคนนั้นเติบโตขึ้นในทุกๆ วัน สำหรับสิ่งที่ต้องประสบพบเจอในยามเยาว์ ทุกครั้งในช่วงเวลานั้นๆ ก็มักจะมีความไม่สบายใจ มีความน้อยเนื้อต่ำใจน้อยใหญ่อยู่เสมอ
ได้แต่นั่งอยู่เพียงลำพัง โคลงศีรษะไปมาเล่นดึงหญ้าอยู่กับตัวเอง หรือไม่ก็ปั้นตุ๊กตาดินตัวเล็กๆ ที่ไม่เป็นรูปเป็นร่างตามแบบเทวรูปผุพังเบื้องหน้าอยู่ในสุสานเทพเซียน
แล้วบางครั้งก็หยิบกิ่งไม้มากิ่งหนึ่ง เดินกระโดดโลดเต้นอยู่บนทางที่มีต้นหญ้ารกครึ้ม ใช้กิ่งไม้ต่างกระบี่ ฟาดฟันต้นหญ้าไปตลอดทาง หอบหายใจหนักหน่วง อารมณ์ดีอย่างมาก
บางครั้งก็ปวดฟันจนหน้าบวมแดง ได้แต่เคี้ยวยาสมุนไพรตำรับพื้นบ้านอยู่ในปาก ไม่อยากพูดไปหลายวัน
แต่ขอแค่ไม่เจ็บป่วยไม่เจอกับภัยพิบัติ ไม่เจ็บปวดตรงส่วนใดของร่างกาย ต่อให้กินอิ่มมื้อหนึ่งหิวมื้อหนึ่งก็ถือว่าโชคดีแล้ว
แล้วก็เคยมีบางคืนที่ดึกแล้วก็ยังนอนไม่หลับ ก็เลยวิ่งไปที่บ่อโซ่เหล็กหรือไม่ก็ใต้ต้นไหวโบราณ เด็กน้อยตัวคนเดียวที่ได้แต่มองดวงดาวพร่างพราวบนท้องฟ้าก็จะรู้สึกราวกับว่าตนไม่มีอะไรเลยสักอย่าง แต่ก็คล้ายจะมีครบทุกอย่างด้วย
ภายหลังเจ้าเด็กขี้มูกยืดที่อยู่ตรอกเดียวกันคนนั้นเติบโตแล้ว เดินได้แล้ว พูดได้แล้ว
เด็กหนุ่มรองเท้าเตะของตรอกหนีผิงก็ได้เจอกับหลิวเสี้ยนหยาง
ภายหลังได้ไปเป็นลูกศิษย์ของเตาเผามังกร ถึงได้รู้สึกว่าชีวิตมีความหวังเพิ่มมากขึ้น
ต้องคอยดูแลเจ้าเด็กขี้มูกยืดให้มากหน่อย ต้องเรียนรู้วิชาความสามารถมาจากหลิวเสี้ยนหยางให้มากหน่อย
เฉินผิงอันหวังว่าในอนาคตคนทั้งสามจะต้องได้กินอิ่มสวมเสื้อผ้าอบอุ่น ไม่ว่าต่อจากนี้พบเจอกับอะไร ไม่ว่าจะเป็นหายนะใหญ่หรืออุปสรรคเล็ก พวกเขาก็สามารถเดินผ่านไปได้อย่างราบรื่น อดทนจนมันผ่านพ้นไป อดทนจนมีวันที่ได้ลืมตาอ้าปาก
เจ้าเด็กขี้มูกยืดบอกว่าตัวเองจะต้องหาเงินก้อนใหญ่ให้แม่ของเขาได้สวมใส่เครื่องประดับเงินทองออกจากบ้านทุกวัน แล้วจะต้องย้ายไปอยู่ในเรือนบนถนนฝูลวี่
ถึงเวลานั้นพวกตะพาบทั้งหลายที่เคยรังแกพวกเขาสองแม่ลูก ตนไม่ไปหาเรื่องพวกเขา ตัวพวกเขาเองกลับรู้สึกหวาดกลัวจนอยากตายเสียก่อน พวกเขาต้องตบปากตัวเอง แล้วยังต้องหิ้วเป็ดไก่มาขอขมาถึงที่บ้าน ไม่อย่างนั้นเขากู้ช่านก็ไม่มีทางให้อภัยพวกเขา เมื่อก่อนเคยด่าเขาหนึ่งร้อยคำ เขาก็จะด่ากลับไปหลายร้อยคำ เมื่อก่อนเคยถีบเขาหนึ่งครั้ง เขาก็จะถีบกลับเจ็ดแปดครั้ง ถีบจนอีกฝ่ายกลิ้งตลบอยู่บนพื้นจนเกือบตาย
หลิวเสี้ยนหยางบอกว่าอยากกลายเป็นคนที่มีฝีมือดีที่สุดในเตาเผาทุกแห่ง ต้องการเรียนรู้วิชาความสามารถทั้งหมดมาจากผู้เฒ่าเหยาให้ได้ เครื่องปั้นที่เขาเผาเองกับมือจะกลายเป็นของที่ตาเฒ่าฮ่องเต้วางไว้บนโต๊ะ แล้วยังจะถูกตาเฒ่าฮ่องเต้มองเป็นสมบัติสืบทอดของตระกูลด้วย ต่อให้วันใดอายุมาก กลายเป็นตาแก่แล้ว เขาหลิวเสี้ยนหยางก็จะต้องมีบารมีชื่อเสียงได้ยิ่งกว่าผู้เฒ่าเหยา จะด่าพวกลูกศิษย์และนักเรียนที่มือเท้างุ่มง่ามให้หูแฉะทุกวัน
หลิวเสี้ยนหยางยังหวังว่าหนึ่งหมัดของตัวเองจะต่อยก้อนอิฐให้แตกกระจายได้อย่างง่ายดาย เดินก้าวเดียวก็สามารถข้ามธารน้ำช่วงที่กว้างที่สุดได้ ทุกคนที่เคยเรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียน ทุกคนที่เคยแต่งบทกวีบทกลอนได้ ล้วนจะต้องมองเขาหลิวเสี้ยนหยางเสียใหม่ ขอร้องให้ตาเฒ่าหลิวอย่างเขาช่วยเขียนกลอนคู่ให้
ยามนั้นอันที่จริงคนทั้งสามคนที่มีชาติกำเนิดพอๆ กันต่างก็รู้สึกว่าความปรารถนาของตัวเองใหญ่มากแล้ว ใหญ่ที่สุดแล้ว
แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่า เมื่อเทียบกับสิ่งที่พบเจอในชีวิตภายหลังของคนทั้งสามแล้ว ความปรารถนาในเวลานั้นที่ใหญ่ถึงเพียงนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ใหญ่อะไรเลย ถึงขั้นพูดได้ว่าเล็กมากด้วย
เพียงแต่กู้ช่านกลายมาเป็นคนที่พวกเขาสามคนเกลียดมากที่สุดในเวลานั้น
หลิวเสี้ยนหยางเองก็ไม่ได้กลายเป็นจอมยุทธใหญ่ แต่กลายเป็นบัณฑิตที่สมชื่อคนหนึ่ง
ส่วนเฉินผิงอันที่แค่อยากมีชีวิตที่สงบสุขมั่นคง ก็ไม่ได้มีชีวิตที่สงบมากขนาดนั้น
หาเงินมาได้ไม่น้อย ท่องผ่านยุทธภพไปไกลมากๆ ได้เจอคนและเรื่องราวหลายๆ อย่างที่ในอดีตไม่แม้แต่จะกล้าคิด ไม่ได้เป็นเด็กน้อยรองเท้าสานที่สะพายตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรอีกแล้ว แต่เปลี่ยนมาเป็นสะพายตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ใบหนึ่งที่มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ บรรจุเรื่องราวน้อยใหญ่ตลอดเส้นทางชีวิตที่ตัดใจลืมไม่ลง ก็เลยเก็บมาใส่ไว้ในตะกร้าด้านหลังจนเต็ม
จุดจบของเรื่องราวบางอย่างอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าสมบูรณ์แบบงดงาม คนมีรักไม่แน่เสมอไปว่าจะได้ครองรักกันอย่างยาวนาน คนดีก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ดีตอบแทน การจากลาที่บางครั้งในช่วงเวลานั้นไม่ได้รู้สึกเสียใจ แท้จริงแล้วกลับไม่มีโอกาสได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง จุดจบของเรื่องราวบางอย่างงดงาม แต่ขณะเดียวกันก็มีความเสียดายแฝงอยู่ ส่วนเรื่องราวบางอย่างก็ยังไปไม่ถึงจุดจบ
แต่เฉินผิงอันเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่า พบเจอแสงสว่างในที่มืดมิด ความหวังบังเกิดในยามอับจนสิ้นหวัง คำกล่าวนี้ต้องไม่ผิดแน่นอน
เฉินผิงอันวางชามเหล้าลง สีหน้าเหม่อลอย
หวนนึกถึงผู้เฒ่าเหยาคนที่ชอบเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ คนที่ชอบอยู่เพียงลำพัง
จำได้ว่าครั้งแรกที่ติดตามผู้เฒ่าเหยาขึ้นเขาไปหาดินที่เหมาะแก่การนำมาเผาเครื่องปั้น อยู่ดีๆ ก็มีหิมะใหญ่ตกลงมา ลมหนาวเสียดแทงเข้ากระดูก หิมะทับถมหนาท่วมหัวเข่าจนเด็กหนุ่มรองเท้าสานที่สวมเสื้อผ้าบางเบาเกือบจะแข็งตาย
ผู้เฒ่าที่เงียบขรึมเอาแต่เร่งเดินทางอยู่เบื้องหน้า เพียงแต่ว่าชะลอฝีเท้าลง อีกทั้งยังเอ่ยสองประโยคอย่างที่หาได้ยาก ‘เดินบนทางภูเขายามหน้าหนาว ฟ้าเยือกเย็นดินหนาวเหน็บ กว่าจะหาเงินมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ตัดใจควักเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งไม่ลงก็เพื่อจะให้ตัวเองหนาวตายน่ะหรือ?’
‘อากาศหนาวหนทางยาวไกล ก็ต้องสวมเสื้อหน้าให้หนาๆ หน่อย เรื่องแค่นี้ก็ไม่เข้าใจ? พ่อแม่ไม่สอนก็คิดเองไม่ได้อย่างนั้นหรือ?’
บนเส้นทางของลมหิมะที่ราวกับว่าไม่มีที่สิ้นสุด เด็กหนุ่มที่ทรมานกับอากาศแล้วยังต้องเจอกับคำพูดทิ่มแทงใจ แม้อยากร้องไห้ก็ร้องไม่ออก
ผู้เฒ่าไม่สนใจสักนิดว่าเฉินผิงอันจะเป็นหรือตาย
แต่ในช่วงเวลาที่เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังแท้จริงอีกครั้งหนึ่งนั้นเอง กลับมีคนผู้หนึ่งไล่ตามมา ไม่เพียงแต่เอาห่อสัมภาระใบใหญ่ที่บรรจุชุดผ้าฝ้ายบุนวมตัวหนาและอาหารแห้งมาให้เฉินผิงอันเท่านั้น เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ยังด่าทอผู้เฒ่าที่เขาเคยโขกหัวคำนับเป็นอาจารย์ด้วยพิธีการจริงจังว่าไม่ใช่คนอีกด้วย
เฉินผิงอันไม่ทันตั้งตัวก็ถูกคนรัดคอแล้วกระชากให้ผงะถอยไปด้านหลัง
คนผู้นั้นไม่เพียงแต่ไม่หยุดเมื่อพอสมควร ยังออกแรงที่แขนข้างนั้นเพิ่มขึ้นด้วย ส่วนมืออีกข้างก็ขยี้ศีรษะเฉินผิงอันอย่างแรง พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ตอนนี้ตัวสูงขึ้นไม่น้อยเลยนี่นา! ถามข้าหรือยังว่ายอมตกลงหรือไม่?!”
เฉินผิงอันดวงตาแดงก่ำ พึมพำเบาๆ ว่า “ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้”
ในใต้หล้านี้ คนเพียงผู้เดียวที่สามารถชี้ไม้ชี้มือบงการชีวิตของเฉินผิงอัน อีกทั้งเฉินผิงอันยังยินดีรับฟัง ได้เดินทางมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว
เพราะเขาก็คือหลิวเสี้ยนหยาง