หลินจวินปี้คิดได้ตั้งแต่แรกแล้ว ในเมื่อผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นที่อายุน้อยทั้งหลายสามารถถูกกำแพงเมืองปราณกระบี่เลือกตัวให้มาเป็นหนึ่งในสมาชิกของสายอิ่นกวาน ก็เหมือนอย่างที่เฉินผิงอันพูด ขอบเขตของพวกเขาอาจจะไม่สูง แต่กลับไม่มีสักคนที่สมองไม่ดี แน่นอนว่าย่อมต้องคิดได้อย่างรวดเร็ว
ดังนั้นคนที่จำเป็นต้องถาม แท้จริงแล้วก็มีเพียงหมี่อวี้ขอบเขตหยกดิบที่ขอบเขตสูงที่สุดเท่านั้นจริงๆ
เฉินผิงอันยกสมุดปึกหนึ่งที่อยู่ข้างมือขึ้นมา มีมากสิบกว่าเล่ม ล้วนเขียนชื่อหนังสือไว้ทุกเล่ม “เรื่องที่สองต่อจากนี้ถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญในสำคัญอีกที พวกเจ้าจงฟังอย่างตั้งใจ”
เฉินผิงอันหยิบสมุดสองเล่มที่อยู่ด้านบนสุดขึ้นมา ชื่อหนังสือแบ่งออกเป็น ‘เจี่ยเปิ่นเล่มหลัก’ และ ‘เจี่ยเปิ่นเล่มรอง’ แล้วอธิบายว่า “สมุดสองเล่มนี้แบ่งออกเป็นบันทึกชื่อแซ่ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต วิชาอภินิหารของกระบี่บินของเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนทางฝ่ายพวกเรา เล่มหลักเป็นของเซียนกระบี่จากกำแพงเมืองปราณกระบี่ เล่มรองเป็นของเซียนกระบี่จากต่างถิ่น หน้าหนึ่งจะบันทึกเรื่องราวของคนคนเดียวเท่านั้น มุมขวาล่างของสมุดจะมีเลขหน้าระบุไว้ พวกเจ้าจงจดจำเซียนกระบี่และหน้าที่เป็นเนื้อหาของเขาไว้ให้ขึ้นใจ”
จากนั้นเฉินผิงอันก็วางสมุดสองเล่มลง แล้วไล่อธิบายการใช้งานของสมุดเล่มที่เหลือ
อี่เปิ่น จดบันทึกเกี่ยวกับปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนทั้งหมดของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่เคยปรากฏตัวบนสนามรบ
มีสองเล่มคือเล่มหลักและเล่มรองเช่นกัน เล่มหลักนอกจากบันทึกข้อมูลของปีศาจใหญ่ยอดเขาที่ได้ครอบครองบัลลังก์สิบสี่แห่งในตำหนักอิงหลิงแล้ว ยังมีปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยาน ขอบเขตเซียนเหรินทั้งหมด รวมไปถึงผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบเผ่าปีศาจ
เล่มรองคือผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบทั้งหมดนอกเหนือจากผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ
หากไม่รู้ชื่อแซ่ก็ตั้งชื่อให้ได้เลย เขียนรูปร่างหลังจากจำแลงร่างกลายเป็นมนุษย์ ลักษณะของร่างจริง สมบัติอาคมที่สำคัญ วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต รวมไปถึงอยู่ในสังกัดค่ายใดของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ออกรบร่วมกับใคร ยิ่งละเอียดเท่าไรก็ยิ่งดี
ปิ่งเปิ่น ไม่มีเล่มรอง
บันทึกผู้ฝึกกระบี่เซียนดินทุกคนฝั่งตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องคัดเลือกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เกิดมาก็เหมาะกับสนามรบออกมาเป็นพิเศษ ควรจะจับคู่กันอย่างไร สามารถสร้างผลลัพธ์เฉกเช่นการ ‘แต้มนัยน์ตามังกร’ เหมือนกับของคู่รักเซียนดินคู่นั้นได้หรือไม่
เฉินผิงอันยังยกตัวอย่างอีกสองสามข้อ นั่นก็คือผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดอย่างเฉิงเฉวียน ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินที่เหมือนเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบซึ่งมีความพิเศษอย่างอู๋เฉิงเพ่ย จำเป็นต้องให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ
ติงเปิ่น บันทึกเผ่าปีศาจที่เป็นขอบเขตเซียนดินเช่นเดียวกัน
ระหว่างที่เฉินผิงอันอธิบายเกี่ยวกับสมุดเล่มนี้ น้ำเสียงของเขาเน้นหนักจริงจังอย่างมาก บอกว่าการที่ดึงเผ่าปีศาจขอบเขตนี้ออกมาโดยเฉพาะก็เพราะผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างกลุ่มนี้สมควรตายมากที่สุด อีกทั้งเมื่อเทียบกับปีศาจใหญ่แล้วก็ฆ่าได้ง่าย และในอดีตก็ง่ายที่ทางฝั่งกำแพงเมืองปราณกระบี่จะมองข้ามไม่สนใจ หรือควรจะพูดว่าไม่ให้ความสำคัญมากพอ อีกทั้งสงครามในอดีตก็จำเป็นต้องให้บุคคลที่มีพลังการต่อสู้อันดับสูงๆ จับคู่เข่นฆ่ากันเองมากกว่า ถึงมีใจแต่ก็ไร้กำลัง ยากมากที่จะแบ่งสมาธิมาสนใจได้
แต่หากจะคิดคำนวณกันขึ้นมาจริงๆ สงครามในบางช่วง พลังสังหารของสัตว์เดรัจฉานกลุ่มนี้อาจมองดูเหมือนไม่สะดุดตา ทว่าหากลองทบทวนกระดาน ไล่เรียงสถานการณ์รบทั้งหมดแบบย้อนกลับ ยิ่งสงครามครั้งหนึ่งยืดเยื้อไปนานเท่าไร พลังพิฆาตที่กองกำลังระดับกลางของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่ บางทีอาจน่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจใหญ่บางตนด้วยซ้ำ
หากพูดตามคำของเฉินผิงอัน ก็คือฆ่าเผ่าปีศาจกลุ่มนี้ คุ้มค่ามากที่สุด การออกกระบี่ของเหล่าผู้อาวุโสเซียนกระบี่ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงเกินไป แล้วก็สามารถฉกฉวยผลงานการสู้รบที่ไม่ธรรมดามาได้ สะสมน้อยเป็นมาก ไม่ฆ่าก็เสียเปล่า
เห็นได้ชัดว่าให้ความสำคัญกับ ‘ติงเปิ่น’ เล่มนี้อย่างถึงที่สุด เขาถือในมือไว้นานมาก ไม่ยอมวางลงเสียที เวลานี้เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “ดังนั้นติงเปิ่นเล่มนี้ หากพวกเราสามารถเขียนเค้าโครงที่ค่อนข้างจะละเอียดออกมาได้ อาศัยรายละเอียดที่แม่นยำอย่างถึงที่สุดมาอนุมานเรื่องราวที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็สามารถหันกลับไปเปิดอ่านเจี่ยเปิ่นเล่มหลักและเล่มรองใหม่อีกครั้ง แล้วเชิญพวกผู้อาวุโสที่มีพลังพิฆาตสูงสุด ออกกระบี่เร็วสุดมา ให้พวกเขาหาโอกาสสังหารผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่อยู่บนสมุดเล่มนี้ นี่คือแผนการที่เห็นผลทันตาที่สุดสำหรับสายอิ่นกวานของพวกเราตอนนี้ ดังนั้นทุกท่านลองตรองดูให้ดี ทุกนามแฝงทุกรายงานบนสมุดติงเปิ่นก็คือผลงานทางการศึกที่จริงแท้แน่นอนที่สุดของทุกท่าน!”
เสวียนเซินถาม “หากผู้อาวุโสเซียนกระบี่ต่างคนต่างมีเหตุผล ไม่ยอมออกกระบี่ล่ะ? หากกระบี่บินที่ส่งข่าวไปของพวกเราไม่ได้ผลด้วยเหมือนกัน จะทำอย่างไร? บนสนามรบ สองฝ่ายสะสมความอาฆาตแค้นกันมานานมากแล้ว ข้าแค่พูดถึงหมื่นหนึ่งที่อาจไม่คาดฝัน ถ้าหากเซียนกระบี่ฝ่ายพวกเราหมายหัวศัตรูคู่แค้น แล้วยืนกรานที่จะจับคู่ต่อสู้กับคนคนนั้นให้จงได้ ไม่ยินดีฟังคำสั่งของพวกเรา จะไม่กลายเป็นว่าพวกเราเกิดปัญหาภายในกันเองก่อนหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มบาง “มาดใหญ่เกินไป ไม่ยินดีจะย้ายรัง หรือไม่ก็ใช้เหตุผลว่าไม่กล้าละจากหน้าที่โดยพลการมาปฏิเสธพวกเจ้าอย่างละมุนละม่อม หรือเกิดสถานการณ์อย่างที่เจ้าเสวียนเซินเอ่ยถึง ทุกท่านก็เอาสถานะของผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานออกมาใช้ นี่คือคำสั่งทหาร หากยังไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเรื่องเดิมก็ไม่ควรทำซ้ำสาม หลังจากใช้กระบี่บินแจ้งข่าวไปเตือนเซียนกระบี่แล้วสองครั้ง ก็ไม่ต้องพูดกันให้เปลืองน้ำลายอีก ข้าย่อมจะเชิญเซียนกระบี่ที่มีมาดใหญ่ยิ่งกว่า พลังสังหารสูงยิ่งกว่าไปขอร้องให้พวกเขาออกกระบี่เอง หากเชิญไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ขอร้อง!”
บรรยากาศเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียดเล็กน้อย
แม้ว่าถ้อยคำของใต้เท้าอิ่นกวานที่อายุน้อยผู้นี้จะฟังดูเหมือนคำหยอกล้อ แต่ในความเป็นจริงแล้วต้องไม่ได้เป็นเรื่องที่ผ่อนคลายอะไรเลย
อดีตใต้เท้าอิ่นกวานคนก่อนก่อกบฏ มีสองเซียนกระบี่ติดตามไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งจั่วโย่วยังบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้ขวัญและกำลังใจของทางฝั่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ดิ่งฮวบลงเหว เป็นเรื่องจริงที่แม้แต่คนตาบอดก็ยังมองเห็น หากยังเกิดเรื่องไม่คาดฝันอีกก็คงไม่ต่างจากการราดน้ำมันลงบนกองเพลิง
เฉินผิงอันวางสมุดเล่มนั้นลง ยิ้มกล่าวว่า “แต่ละคนมัวมองข้าอยู่ทำไม ใต้เท้าอิ่นกวานผู้ยิ่งใหญ่ต้องคอยวิ่งไปส่งข่าวด้วยตัวเอง เข้าท่าหรือ? ข้าขายหน้ายังไม่นับเป็นอะไรได้ แต่หากทุกท่านต้องขายหน้า มโนธรรมในใจข้าคงไม่สงบ ถูกหรือไม่ พี่กู้? นี่ใช่คำพูดที่มีความเป็นธรรมไหม?”
กู้เจี้ยนหลงพยักหน้ารัวๆ ราวไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก
เฉินผิงอันหุบยิ้ม “ตอนนี้พวกเจ้าคงยังไม่รู้ถึงน้ำหนักของสี่คำว่า ‘สายของอิ่นกวาน’ อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คือสี่คำนี้นี่แหละที่ตัดสินเป็นตายของคนได้โดยไม่ต้องมีเหตุผล!”
เฉินผิงอันเอ่ย “ในใจคลางแคลง ไม่เป็นไร สามารถรอดูไปได้เลย ถึงอย่างไรข้าก็ไม่กลัวที่จะเอาหัวของเซียนกระบี่ท่านหนึ่งมาพิสูจน์จริงเท็จของเรื่องนี้อยู่แล้ว ส่วนพวกเจ้า มัวมากังวลกับเรื่องพวกนี้ทำไม? ฟ้าถล่มลงมา ลำพังเพียงแค่สิบสองคนในสายอิ่นกวานพวกเรา แน่นอนว่าใครที่เป็นอิ่นกวาน คนนั้นก็ต้องแบกรับเอาไว้”
เฉินผิงอันหยิบสมุดว่างเปล่าเล่มใหม่สุดขึ้นมา ก็คือ ‘อู้เปิ่น’ ซึ่งตามหลังติงเปิ่น
อู้เปิ่น บันทึกสถานการณ์ของสงครามสามครั้งก่อน กลยุทธโจมตีเมืองของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ทุกเรื่องต้องลงบันทึกอย่างละเอียด การกระจายตัวของกองกำลังทหาร สนามรบเล็กๆ หกสิบแห่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ความเร็วในการผลัดเปลี่ยนโยกย้ายกองกำลัง ลักษณะของการโจมตีเมืองคงความหนักแน่นอยู่ตลอดเวลา หรือว่ามักจะเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์อยู่เสมอ ล้วนต้องบันทึกลงในสมุดให้หมด
นี่จึงเป็นเหตุให้สมุดเล่มนี้จะต้องหนามากอย่างแน่นอน อีกทั้งเนื้อหาด้านในจะต้องมีการเพิ่มเข้าไปมากขึ้นเรื่อยๆ
จี่เปิ่น
เขียนผลได้ผลเสียทั้งหมดของผู้ฝึกกระบี่สิบสองท่านในสายอิ่นกวาน ทุกเรื่องต้องถูกบันทึกลงในสมุดเล่มนี้อย่างไม่มีตกหล่น
นี่คือสมุดบันทึกคุณความชอบเล่มหนึ่ง แล้วก็เป็นตำราถามใจเล่มหนึ่ง
คนที่เขียนมีเพียงคนเดียว แน่นอนว่าต้องเป็นเฉินผิงอันใต้เท้าอิ่นกวานคนใหม่ และผู้ที่สามารถเปิดตำราเล่มนี้ได้ก็มีเพียงเฉินผิงอันเท่านั้น
เกิงเปิ่น
บันทึกชื่อของผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่รบตาย หรือไม่ก็กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ถูกทำลาย
สมุดเล่มนี้ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่บางเหมือนกัน
เติ้งเหลียงถาม “ผู้ฝึกกระบี่ที่รบตายและกระบี่บินที่เสียหายในสองศึกก่อนหน้านี้ พวกเราควรจะรีบบันทึกลงไปด้วยหรือไม่?”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ไม่ต้อง วันหน้าค่อยเขียนเพิ่มเติมเข้าไป สมุดเล่มนี้มีเพียงตอนที่พวกเราว่างเท่านั้นถึงจะเอาเวลามาเขียนได้”
คนมีชีวิตมักจะสำคัญกว่าคนที่ตายไปแล้วเสมอ
นี่ก็คือสงคราม
เติ้งเหลียงพยักหน้ารับ ไม่มีความเห็นต่าง อีกทั้งยังแอบถอนหายใจโล่งอก
หากเฉินผิงอันตอบคำถามข้อนี้ผิด ถ้าอย่างนั้นจิตใจของผู้ฝึกกระบี่ทุกคนซึ่งรวมถึงตัวของเติ้งเหลียงเองที่กว่าจะมารวมเป็นหนึ่งได้ไม่ใช่เรื่องง่าย คงต้องแตกสลายไปในทันที
ทุกคนล้วนเป็นคนฉลาด ไม่ว่าเฉินผิงอันจะเป็นใต้เท้าอิ่นกวานคนใหม่หรือเถ้าแก่รองที่แบกสถานะลูกศิษย์คนสุดท้ายสายเหวินเซิ่ง หากไม่อาจสยบพวกเขาได้ทุกเรื่องใน ‘ฟ้าดินเล็ก’ แห่งนี้ อีกทั้งไม่ทำให้คนอื่นยอมศิโรราบทั้งกายและใจ ถ้าอย่างนั้นอย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ลำพังเพียงแค่จี่เปิ่นเล่มนี้ก็เป็นเรื่องตลกใหญ่เทียมฟ้าแล้ว สายอิ่นกวานที่ตอนนี้เพิ่งจะเป็นรูปเป็นร่างก็จะยิ่งเป็นแค่เครื่องประดับที่มีข้อเสียมากกว่าข้อดี
ด้วยเหตุนี้ฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ มีเพียงผู้ที่ฝึกฝนจิตใจได้แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นถึงจะใช้เหตุผลสยบผู้คนได้
นับแต่โบราณมากำแพงเมืองปราณกระบี่ก็มีคำกล่าวที่มองดูเหมือนชวนตลกขบขัน แต่แท้จริงกลับโหดร้ายอย่างถึงที่สุด
และผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างก็มักจะพร่ำพูดประโยคหนึ่งว่า ‘ข้าร้ายกาจกว่าจงหยวน’
ต้องรู้ว่าเซียนกระบี่ผู้เฒ่าท่านนั้นคือคนที่รบเคียงบ่าเคียงไหล่เฉินชิงตูมานานที่สุด ฐานะสูงที่สุดตามหลังหลงจวินและกวนจ้าว ถูกขนานนามว่าเป็นบุคคลที่มีหวังว่าจะฝ่าทะลุ ‘คอขวดใหญ่เทียมฟ้า’ ของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยาน
ในสงครามอันโหดร้ายที่เผ่าปีศาจใหญ่กรูกันขึ้นมาเต็มหัวกำแพงเมืองครั้งนั้น ก็คือเขาคนเดียวที่พกกระบี่ สังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานสองตนติด จากนั้นก็ร่วมมือกับเฉินชิงตู ถึงสามารถโจมตีให้เผ่าปีศาจล่าถอยกลับไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้
หากดูตามผลงานด้านการสู้รบ จงหยวนย่อมสามารถแกะสลักตัวอักษรได้ อีกทั้งยังแกะสลักได้ถึงสองตัว เพียงแต่ว่าเขาตายไปแล้ว จึงไม่อาจแกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพงเมืองได้อีก
เซียนกระบี่ผู้อาวุโส เซียนกระบี่ใหญ่ท่านหนึ่งที่ตายไป ในเมื่อแม้แต่กระบี่ยังเรียกออกมาไม่ได้ แล้วจะร้ายกาจได้แค่ไหนกันเชียว? ไม่ร้ายกาจเลยแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันวางสมุดเปล่าเล่มที่อยู่ในมือลง
เกิง ก็คือการเปลี่ยนแปลง เก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วงรอคอยฤดูใบไม้ผลิมาเยือน
คือตัวอักษรหนึ่งที่เดิมทีความหมายดีงาม แต่กลับกลายเป็นความเพ้อฝันที่ใหญ่เทียมฟ้า
เฉินผิงอันพูดถึงซินเปิ่น เหรินเปิ่นและกุ่ยเปิ่นเล่มสุดท้ายต่ออีกครั้ง
ซินเปิ่น
รวบรวมความเสียหายในการต่อสู้ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
เหรินเปิ่น
คำนวณทรัพย์สมบัติทั้งหมดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ซึ่งรวมถึงหอกระบี่ หอภูษาและหอโอสถเป็นหนึ่งในนั้น และยังต้องเน้นไปที่ตระกูลเยี่ยนและตระกูลน่าหลันที่รับผิดชอบเรื่องการค้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วย
ทำสงครามในแต่ละครั้ง นอกจากการเผาผลาญกองกำลังทหารของทั้งสองฝ่ายแล้ว ยังสู้กันที่กำลังทรัพย์สิน เงินเทพเซียนและวัตถุดิบวิเศษอย่างที่มองไม่เห็นอีกด้วย
กุ่ยเปิ่น
ทุกครั้งในขณะที่ทำสงคราม คนทั้งสิบสองคนของสายอิ่นกวานล้วนสามารถทำการประเมิน อนุมาน คาดเดาสงครามโจมตีและป้องกันครั้งถัดไปได้ ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นของตัวเอง ขอแค่มีความคิดหรือข้อคิดที่ได้จากประสบการณ์ใดๆ ก็สามารถเขียนลงบนกระดาษได้ทุกเมื่อ แล้วนำมามอบให้กวอจู๋จิ่ว ก่อนที่เฉินผิงอันจะเป็นคนสรุปรวบรวม
เฉินผิงอันวางสมุดทั้งหมดเอาไว้ แล้วเอ่ยว่า “พูดเรื่องที่สองและเรื่องที่สามเสร็จไปแล้ว ต่อจากนี้ก็ควรพูดเรื่องที่หนึ่งได้แล้ว ก่อนหน้านี้การแบ่งหน้าที่ของหลินจวินปี้ ช่วงก่อนหน้าไม่มีปัญหาใดๆ เพียงแต่ว่าในเมื่อสถานการณ์ตอนนี้มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ควรปรับเปลี่ยนตามไปด้วย และนี่ก็จะเป็นกุญแจที่สำคัญที่สุดของสายอิ่นกวานพวกเราในอนาคต พวกเราไม่อาจใช้การไม่เปลี่ยนแปลงมารับมือสารพัดการเปลี่ยนแปลงเหมือนศึกพิทักษ์และโจมตีอย่างก่อนหน้านี้ได้อีกแล้ว จำเป็นต้องให้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งทุกการเปลี่ยนแปลงล้วนต้องเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากการที่สายอิ่นกวานของพวกเราร่วมแรงร่วมใจกันระดมความคิด การส่งข่าวผ่านกระบี่บินทุกครั้งของพวกเราสิบสองคน ล้วนจำเป็นต้องทำให้ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นฝ่ายได้เปรียบ!”
สุดท้ายเฉินผิงอันก็วาดวง ตัดแบ่ง ขีดเส้นจำกัดหน้าที่ของคนทั้งสิบสองคนอย่างละเอียด และนอกจากหน้าที่รับผิดชอบแต่ละอย่างของผู้ฝึกกระบี่แล้ว ทุกคนล้วนต้องจับตามองภาพรวมของสถานการณ์การต่อสู้ไม่ให้คลาดสายตา จะเอาแต่จับจ้องเฉพาะพื้นที่ไม่กี่ไร่ของตัวเองไม่ได้ หากไม่เรียกร้องทั้งสิบสองคนอย่างเข้มงวดเช่นนี้ ก็ง่ายที่จะสร้างผลประโยชน์ในขอบเขตเล็กๆ แต่กลับส่งผลต่อความเสียหายให้แก่สนามรบขนาดใหญ่ทางฝั่งตัวเอง สำหรับสายของอิ่นกวาน นี่จะกลายเป็นบัญชีเลอะเลือนที่มองดูคล้ายว่ามีผลงาน แต่แท้จริงแล้วกลับยากที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบได้ ค่าตอบแทนที่ใหญ่ยิ่งกว่านั้นก็คือผู้ฝึกกระบี่นับร้อยนับพันคนฝั่งของตนที่ต้องรบตายไปอย่างไร้ซึ่งความจำเป็น
‘วีรบุรุษฟันโจร อยู่ใต้ปลายพู่กัน’
สุดท้ายเฉินผิงอันคลี่ยิ้ม ค้อมเอวหยิบพัดพับขึ้นมา คลี่พัดพับไม้ไผ่หยกออก ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ขอเชิญทุกท่านมาร่วมคิดบัญชีเล่นงานใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปพร้อมกับข้า หาเงินจะนับเป็นความสามารถอะไรได้? จะหาก็ต้องหาหัวปีศาจใหญ่ทั้งหลายมาเป็นกำไร!”
จนกระทั่งบัดนี้หลินจวินปี้ถึงจะยอมรับเฉินผิงอันทั้งกายและใจได้อย่างแท้จริง
ไม่เสียแรงที่เป็นอาจารย์ของอาจารย์ชุยท่านนั้น
การสืบทอดของทั้งสาย เน้นย้ำในกิจการและคุณความชอบอย่างสูงสุด!
เฉินผิงอันหุบพัดพับ ยิ้มมองไปทางผังหยวนจี้ เอ่ยชื่ออีกฝ่ายโดยตรง “ผังหยวนจี้ จำไว้ว่าบนสมุดอี่เปิ่นเล่มหลัก ให้เขียนว่า ‘เซียวสวิ้น ชื่อเล่นเจิ้งอวิ้น ผู้ฝึกกระบี่คอขวดขอบเขตบินทะยาน กระบี่แห่งชะตาชีวิตไม่เป็นที่แน่ชัด’ ตัวอักษรพวกนี้อย่าได้บันทึกลงบนสมุดเจี่ยเปิ่นเล่มหลักเด็ดขาด เกี่ยวกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของคนผู้นี้ หากเจ้ามีเบาะแส แน่นอนว่าสามารถเขียนเพิ่มลงไปในสมุดให้เป็นข้อมูลอ้างอิง และข้าก็จะได้เขียนบันทึกคุณความชอบให้เจ้าในสมุดจี่เปิ่น”
ผังหยวนจี้หน้าซีดขาว เพียงพยักหน้ารับไม่เอ่ยคำใด