“เสด็จย่า อันที่จริงเรื่องพวกนี้พี่เหยาได้เตรียมการไว้หมดแล้ว พวกเราได้ปรึกษาหารือกันไว้แล้ว วันนั้นของกินทุกอย่าง บ้านนาเป็นฝ่ายจัดเตรียมก็เพียงพอแล้ว พี่เหยายังบอกว่าในบ้านนายังมีผลไม้ที่เด็ดจากสวนสดๆ สามารถทำเป็นน้ำผลไม้ดื่มแทนสุราหวานได้ หลานเคยชิมชาผลไม้ที่พี่เหยาต้ม ช่างอร่อยยิ่งนัก”
องค์หญิงต้าจั่งจึงเอานิ้วมือจิ้มที่หน้าผากของซูอวี้เหิงอย่างไม่เต็มใจ แล้วยิ้มพลางตรัสว่า “เจ้าน่ะ! ยังมีนิสัยเป็นเด็กๆ และไม่รู้จักโตเสียที เจ้าไม่ลองคิดดู คนอื่นอาศัยอยู่ในบ้านนาเพื่อรักษาตัว อีกอย่างพวกเขาก็เพิ่งย้ายไปอยู่ที่นั่น นี่ก็ผ่านไปไม่กี่วันเท่านั้น จะให้นางจัดเตรียมทุกอย่างครบถ้วนได้อย่างไรกัน เจ้าไปเยือนที่บ้านนาคนอื่นอย่างกะทันหันเยี่ยงนี้ ไม่รู้ว่าจะนำพาความวุ่นวายไปให้บ้านนานั้นมากน้อยเพียงใด ถึงแม้นางไม่พูดออกมา และก็จะเตรียมการเพื่อเจ้าอย่างตั้งอกตั้งใจ ทว่าในใจก็ยังรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องทำเรื่องให้มันยุ่งยากได้ถึงปานนั้น อีกอย่าง นางยังป่วยไข้อยู่ แล้วยังเป็นแค่แขกผู้พักอาศัยอยู่ในบ้านนานั้นเพียงชั่วคราว เจ้าไปนำพาความเดือดร้อนให้เช่นนี้ เจ้าจะรู้สึกดีได้อย่างไร”
“อาการป่วยของพี่เหยาดีขึ้นแล้วเพคะ!” ซูอวี้เหิงเม้มปาก “นางไม่ชอบสร้างเรื่องสร้างปัญหา มีเรื่องอะไรก็มักจะเก็บซ่อนไว้ในใจ ดังนั้นหลานจึงอยากไปหานาง ทั้งวันนางก็เอาแต่อุดอู้อยู่แต่ในบ้านนา แม้กระทั่งคนที่พูดคุยด้วยก็ยังไม่มี หากผ่านไปเป็นเวลาเนิ่นนาน ก็คงจะทำให้นางอุดอู้จนล้มป่วยก็ได้”
องค์หญิงต้าจั่งอายุปูนนี้ มีเรื่องอะไรบ้างที่ไม่ได้พบเจอและไม่เคยได้ยินมาก่อน สถานการณ์ในตอนนี้ของเหยาเยี่ยนอวี่ นางไม่ถามก็ทรงรู้ดี เพียงแต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนาง จึงไม่สามารถกล่าวมากความได้ ดังนั้นนางจึงยิ้มพลางตรัสขึ้น “นางไม่ชอบสร้างเรื่องสร้างปัญหาก็คงจะมีเหตุผลของนาง ต่อให้เจ้าจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรสหายที่ดีต่อกัน ก็อย่าได้มองข้ามพี่สะใภ้สามของเจ้าไป”
ซูอวี้เหิงพยักหน้าอย่างฉับไว “นี่ก็แน่นอนอยู่แล้ว หลานก็ได้ไปคุยกับพี่สะใภ้สามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พี่สะใภ้สามวานหลานให้ไปเยี่ยมเยียนพี่เหยาบ่อยๆ เวลานี้พี่สะใภ้สามตั้งครรภ์ จึงไม่มีกะจิตกะใจที่จะไปดูแลน้องสาวของตนเอง”
องค์หญิงต้าจั่งหัวเราะเบาๆ “ไหนๆ ก็เป็นเยี่ยงนี้ อาการป่วยของนางก็หายแล้ว เหตุใดถึงไม่รับกลับมาเล่า”
ซูอวี้เหิงได้ยินคำพูดนี้จึงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองไปด้านข้าง พอเห็นว่ามีเพียงสาวใช้คนสนิทแค่สองคนขององค์หญิงต้าจั่งนามว่าจือเซียงและหลานซิน จึงกล่าวด้วยเสียงเบาลง “พี่เหยารู้สึกว่าพักอาศัยอยู่ในจวนโหวนั้นมีเรื่องมากมายที่ทำให้ไม่สะดวก อีกอย่าง นางรู้สึกอึดอัดด้วยเพคะ”
เมื่อคืนตอนที่อยู่บนเตียง คำพูดที่เหยาเยี่ยนอวี่บอกนาง แน่นอนว่านางต้องถามคำถามเดียวกับที่องค์หญิงต้าจั่งทรงถาม เหยาเยี่ยนอวี่จึงตอบนางเช่นนี้
ซูอวี้เหิงรู้ว่านี่เป็นความในใจของนาง ถึงแม้นางจะมีนิสัยที่ตรงไปตรงมา ทว่ากลับไม่ใช่คนโง่เขลา หากพวกนางลองสลับตัวกัน นางคิดว่าถ้านางต้องเจอสถานการณ์เหมือนเหยาเยี่ยนอวี่ ก็คงจะคิดหาวิธีย้ายออกมา แล้วหาสถานที่ที่สงบสุขแล้วใช้ชีวิตตามลำพังไปก่อน แล้วค่อยรอให้บิดาและพี่ชายเตรียมการให้อีกครั้ง
ทว่าบิดาของนางจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร
เมื่อคืนนี้ซูอวี้เหิงได้แอบครุ่นคิดเรื่องนี้สักพักก่อนที่นางจะหลับไปด้วยความงุนงง ตอนนี้นางที่นอนลงบนตักขององค์หญิงต้าจั่ง ก็ได้ครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างจริงจังขึ้นมาพักหนึ่ง ทว่ากลับนึกคำตอบอะไรไม่ออก
ในทำนองเดียวกัน เหยาเยี่ยนอวี่เองก็เคยครุ่นคิดเรื่องนี้เช่นกัน ทั้งยังเคยคิดถึงเรื่องนี้อยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไรเลย สำหรับเรื่องที่ข้าหลวงใหญ่เหยาคิดเช่นไร ก็มีเพียงข้าหลวงใหญ่เท่านั้นที่รู้
ณ เรือนฉีเสียง ในจวนติ้งโหว
เหยาเฟิ่งเกอกำลังพิงอยู่บนตั่งไม้เตี้ยที่อยู่ในห้องโถงหลัก ด้านหลังของนางมีหมอนนุ่มใบใหญ่ยัดไว้ ข้างมือของนางมีถาดผลไม้และถ้วยชาวางอยู่ ในมือกำลังถือจดหมายแล้วกำลังอ่านอย่างตั้งใจ
ตรงหน้าของนางมีบุรุษอายุราวๆ สี่สิบปียืนอยู่ บุรุษผู้นี้สวมใส่ชุดสีกรมท่าที่เป็นเสื้อคลุมที่ทำจากขนและหนังของสุนัขจิ้งจอก ข้างในเป็นเสื้อผ้าชุดยาวที่ทำจากผ้าต่วนสีหมึก ใบหน้าของเขาเป็นทรงเหลี่ยมมีหนวดเคราสั้น เขากำลังยืนตรงอย่างนอบน้อม รอคอยให้เหยาเฟิ่งเกอสั่งการ
เหยาเฟิ่งเกออ่านทุกตัวอักษรที่เขียนอยู่ในจดหมายจนจบ จากนั้นก็ยิ้มบางๆ พลางกล่าวว่า “ลำบากเจ้าแล้วที่ต้องเดินทางมาถึงที่นี่”
บุรุษผู้นี้จึงรีบค้อมตัวลงพลางยิ้มและพูดขึ้น “คุณหนูใหญ่กล่าวเกินจริงแล้วขอรับ การจัดการธุระให้กับนายเป็นหน้าที่ของพวกบ่าวอยู่แล้ว ไม่ลำบากเลยขอรับ”
“เจ้าไปเยี่ยมเยียนหู่พั่วเถอะ ตอนนี้นางกลายเป็นอี้เหนียงของคุณชายสามไปแล้ว” ขณะที่เหยาเฟิ่งเกอกล่าวขึ้น ก็ได้หันไปสั่งหลี่หมัวมัว “สั่งให้ซานหูเอาชาเสวียติ่งหันชุ่ยที่ข้าเก็บไว้ให้พ่อบ้านโจวลิ้มลองหน่อย”
“บ่าวขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งขอรับ” โจวเหลียนรีบค้อมกายน้อมคำนับ “บ่าวขอตัวก่อนขอรับ”
เหยาเฟิ่งเกอพยักหน้า “เจ้าไปพบหน้าบุตรสาวของเจ้าเถอะ ข้าสั่งให้คนเก็บกวาดเรือนนอนแล้ว เจ้าก็พักอยู่ที่นี่สองสามวัน รอให้ข้าเขียนจดหมายตอบกลับ เจ้าค่อยนำกลับไปให้บิดาของข้า”
“ขอรับ” โจวเหลียนจึงค้อมตัวต่ำลงอีกครั้ง จากนั้นก็ติดตามหลี่หมัวมัวออกจากห้องโถงหลักไป ตรงใต้ชายคาของทางเดินด้านนอกที่อยู่ข้างๆ มีหู่พั่วที่คอยอยู่ที่นั่นนานแล้ว พอเห็นพ่อบ้านโจวเดินมาหานางด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก็ย่อตัวลงน้อมคำนับ จากนั้นก็ยิ้มหวานพลางขานเรียกขึ้น “ท่านพ่อ”
“พอเถอะๆ ที่นี่เป็นเรือนของนายหญิง อย่าได้ทำตัวตื่นเต้นเช่นนี้” พ่อบ้านโจวจึงเข้าไปพยุงตัวหู่พั่ว “ไปพูดคุยกันที่เรือนของเจ้าเถอะ”
“อืม” หู่พั่วจึงพาบิดาของตนเองไปยังเรือนเล็กที่อยู่หลังเรือนหลักของตนเองด้วยความดีใจ ตอนนี้หู่พั่วเป็นอนุภรรยาอย่างเป็นทางการแล้ว จึงมีเรือนเป็นของตนเอง
หลี่หมัวมัวสั่งให้คนเอาชาเสวียติ่งหันชุ่ยที่ห่อชาด้วยกระดาษแล้วก็ส่งไปให้หู่พั่ว จากนั้นก็หันหลังเดินกลับเข้าเรือนไปรับใช้เหยาเฟิ่งเกอ
นิ้วมือเรียวยาวดุจหยกของเหยาเฟิ่งเกอกำลังเคาะโต๊ะไม้ประดู่ที่อยู่ข้างมือ จากนั้นจึงถามขึ้น “ของที่เตรียมให้ท่านพ่อเสร็จหรือยัง”
“เรียนนายหญิง เตรียมเสร็จแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้เก็บไว้ที่เรือนข้างคอยให้ท่านไปตรวจดูความเรียบร้อยอยู่เจ้าค่ะ”
“อืม ไปดูกันเถิด” เหยาเฟิ่งเกอพูดแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างช้าๆ หลี่หมัวมัวจึงรีบเดินเข้าไปพยุงนางด้วยความระมัดระวัง
นายและบ่าวค่อยๆ เดินไปที่เรือนข้าง เหยาเฟิ่งเกอถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดขึ้น “ท่านพ่อกล่าวโทษข้าที่ให้น้องสาวไปอาศัยอยู่ที่บ้านนา”
หลี่หมัวมัวได้ยินจึงชะงักไป จากนั้นก็เกลี้ยกล่อมว่า “นี่เป็นเรื่องที่คุณหนูรองดื้อรั้นที่จะทำเอง คุณหนูใหญ่ก็อธิบายกับนายท่านดีๆ นายท่านก็คงไม่โกรธเคืองหรอกเจ้าค่ะ”
“ขอให้เป็นเช่นนั้น” เหยาเฟิ่งเกอพยักหน้า
ในจดหมายกล่าวไว้ว่าเหยาหย่วนจือให้ความสำคัญกับเรื่องที่บุตรีอนุภรรยามีความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์สามารถรักษาอาการป่วยของบุตรีภรรยาเอกของตนให้หายได้ จึงได้กำชับให้เหยาเฟิ่งเกอดูแลเหยาเยี่ยนอวี่ดีๆ อย่าได้ทำให้นางต้องลำบากเด็ดขาด
ในฐานะที่นางได้เป็นบุตรีที่บิดาให้ความสำคัญและโปรดปรานมากที่สุดมาโดยตลอด ก็ย่อมรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย ทว่านางจะทำอะไรได้ ตอนนี้ตนเองได้ออกเรือนและเข้ามาเป็นสะใภ้ของจวนติ้งโหวแล้ว และได้กลายเป็นภรรยาของบุตรชายสามที่ฮูหยินแห่งจวนติ้งโหวรักใคร่มากที่สุด และเยี่ยนอวี่ที่เป็นแค่บุตรีอนุภรรยา…ท่านพ่อจะให้นางแต่งงานกับคนแบบไหนกัน
เหยาเฟิ่งเกอกำลังครุ่นคิดเรื่องในใจ พร้อมกับเดินเข้าไปในเรือนข้างไปด้วย นางมองของที่วางอยู่บนเตียงเตามากมายอย่างเหม่อลอย
หลี่หมัวมัวเอาของล้ำค่าจำพวกวัตถุโบราณ พู่กัน หมึก กระดาษ แท่นหินฝนหมึก ผ้าไหม ผ้าต่วน และของอย่างอื่นที่ตนชื่นชมให้นางดูหนึ่งรอบ พอสังเกตเห็นว่านายหญิงของตนไม่ได้มีใจจดจ่อกับสิ่งของเหล่านี้ จึงถามด้วยความระวังคำพูด “นายหญิงกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องที่คุณหนูสามจะไปที่บ้านนาเพื่อจัดงานประลองพิณอยู่หรือเจ้าคะ”
“อืม ข้ากำลังจะพูดถึงเรื่องนี้” เหยาเฟิ่งเกอได้สติกลับมาทันที จึงกล่าวขึ้น “เหิงเอ๋อร์ต้องการเป็นเจ้าภาพจัดงานประลองพิณที่บ้านนามู่เย่ว์แล้วเชิญเหล่าคุณหนูจากจวนตระกูลสูงต่างๆ ไปเที่ยวเล่นและเปลี่ยนบรรยากาศ ผลไม้ต่างๆ โต๊ะ เก้าอี้ ตลอดจนสิ่งที่จะจัดงานจำต้องครบถ้วน วันรุ่งขึ้นเจ้าพาคนไปหาเยี่ยนอวี่ ไปดูว่าขาดเหลืออะไรก็มาบอกข้า ของที่เก็บตุนอยู่ในเรือนเก็บของ ก็สั่งให้คนขนเอาออกมาเถอะ แล้วสิ่งที่ไม่มีก็รีบออกไปซื้อทันที อย่าได้ทำงานอย่างประมาทจนทำให้เหิงเอ๋อร์ต้องเสียหน้าเด็ดขาด”
หลี่หมัวมัวจึงรีบตอบกลับ “เจ้าค่ะ”
จริงๆ งานเลี้ยงนี้ เป็นเพียงการรวมตัวกันของบรรดาคุณหนูที่เป็นมิตรสหายกันเท่านั้น แต่กลับถูกองค์หญิงต้าจั่งและเหยาเฟิ่งเกอรู้ ผู้ที่มีฐานันดรศักดิ์ที่สูงส่งมักให้ความสำคัญกับงานที่จะจัดขึ้นเป็นอย่างมาก
องค์หญิงต้าจั่งรู้สึกว่าการที่ซูอวี้เหิงเป็นเจ้าภาพจัดงานขึ้นในบ้านนาที่เหยาเยี่ยนอวี่อาศัยอยู่ ก็เพื่อที่จะยกระดับฐานะของเหยาเยี่ยนอวี่ ทว่าฐานะที่เหยาเยี่ยนอวี่มีก็น่ากระอักกระอ่วนใจอยู่ ฐานันดรศักดิ์อย่างองค์หญิงต้าจั่งจึงไม่ยอมให้เด็กผู้หญิงที่มีฐานะที่น่ากระอักกระอ่วนใจเช่นนี้มาทำให้หลานสาวของตนเองต้องเสียหน้า ทันใดนั้น นางจึงยอมทุ่มเงินตำลึงและของที่ใช้ในการจัดเตรียมอย่างเต็มที่ และสั่งให้คนเตรียมงานให้ครบครัน และได้ใช้รถม้าขนของทุกอย่างไปเตรียมงานแต่เนิ่นๆ