นับตั้งแต่ทะลุมิติมานั้น เหยาเยี่ยนอวี่ก็ใช้ชีวิตอยู่ในเจียงหนาน จะมีโอกาสได้พบเจอกับหิมะตกหนักเช่นนี้ได้อย่างไร การเจอกับอากาศที่มีหิมะโปรยปรายปกคลุมไปทั่วผืนแผ่นดินเช่นนี้ ตั้งแต่ชาติก่อน ตอนที่นางไปดูงานในเมืองที่อยู่ในเขตตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนนั้นเป็นช่วงเทศกาลโคมไฟพอดี ที่นั่นมีเมืองจำลองน้ำแข็งที่แกะสลักอย่างประณีต หลากหลายสีสัน ทว่าเวลานี้ เมื่อหวนคิดกลับไปแล้วนั้นราวกับเป็นเพียงความฝัน
หิมะตกหนักกินเวลานานกว่าหนึ่งวันหนึ่งคืน ทว่ากลับทำให้บรรดาบุตรของขุนนางชั้นสูงในเมืองหลวงมีชีวิตชีวาขึ้นมา
อวิ๋นคุนเฉิงอ๋องซื่อจื่อชวนอวิ๋นหมินองค์ชายสามและอวิ๋นฉีองค์ชายห้าไปล่าสัตว์ด้วยกัน โดยกล่าวว่าเขตล่าสัตว์ป่าภูเขาซีมีสุนัขจิ้งจอกที่เลี้ยงเอาไว้หกถึงเจ็ดปีแล้ว ว่ากันว่าสุนัขจิ้งจอกนั้นมีขนสีแดงเพลิง เมื่อล่าได้แล้วนำมาทำเป็นเสื้อคลุมได้พอดี
อวิ๋นหมินชื่นชอบในการขี่ม้าและยิงธนูตั้งแต่เล็ก ทว่าฮ่องเต้จำต้องไว้อาลัยด้วยความกตัญญูต่อไทเฮา เขาจึงไม่ได้ออกจากเมืองอวิ๋นตูมานานหนึ่งปี สิ่งนี้ทำให้เขาอดทนจนแทบจะหายใจไม่ออกแล้ว และในเวลานี้เมื่อได้ยินคำพูดของอวิ๋นคุนเขาก็ไม่อาจนั่งนิ่งได้ อาศัยเวลาตอนที่ฮ่องเต้เสด็จมาเสวยอาหารที่ตำหนักของเสด็จแม่ของเขา นั่นก็คือจิ้้งเฟยเหนียงเหนียง จึงได้กราบทูลเรื่องที่อยากจะไปล่าสัตว์ในเขตล่าสัตว์ป่าภูเขาซี
ในปีนี้ทุกมณฑลของเจียงหนานล้วนเก็บเกี่ยวได้มากมาย ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้จึงทรงพอพระทัยยิ่งนัก หลังจากที่ได้ฟังคำพูดขององค์ชายสาม ฮ่องเต้ก็ทรงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตรัสขึ้น “เจิ้นเองก็ไม่ได้ยืดเส้นยืดสายมานานแล้ว ทำให้มือและเท้าเกียจคร้านไปหมด โบราณกล่าวไว้ว่าหิมะที่ตกโปรยปรายเป็นสัญญาณของปีแห่งการเก็บเกี่ยว ปีนี้หิมะตกหนัก ไม่ใช่เรื่องที่จะพบเจอง่ายๆ เช่นนั้นทำไมเจิ้นถึงไม่ไปล่าสุนัขจิ้งจอกท่ามกลางหิมะกับพวกเจ้าเล่า เจ้าช่วยไปสั่งการแทนเจิ้น ให้คนในสนามล่าสัตว์เตรียมความพร้อม”
อวิ๋นหมินปลื้มปิติยิ่งนัก เขารีบโค้งตัวลงแล้วขานตอบ “เสด็จพ่อทรงพระปรีชาสามารถ เอ๋อร์เฉินไปประเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เดิมทีเป็นเพียงความสนุกสนานของบรรดาบุตรชายตระกูลสูงศักดิ์ ทว่าเวลานี้กลับกลายเป็นฮ่องเต้ทรงนำขบวนไปล่าสัตว์ เวลานี้ทั่วทั้งเมืองหลวงจึงครึกครื้นขึ้นมา
ขอเพียงเป็นคุณชายในตระกูลอ๋อง กง โหว ปั๋วที่เข้ารับราชการในราชสำนักล้วนเข้าร่วม ทางด้านเชื้อพระวงศ์นั้นมีองค์ชายใหญ่และองค์ชายสามเป็นหลัก เหล่าราชนิกุลนั้นได้แก่อวิ๋นคุนเฉิงอ๋องซื่อจื่อ อวิ๋นเซินจิ่นอ๋องซื่อจื่อและอวิ๋นหังเยี่ยนอ๋องซื่อจื่อ สามพี่น้องตระกูลหัน สามพี่น้องตระกูลซู และยังมีเว่ยจางซึ่งเป็นแม่ทัพติงหย่วนเป็นต้นและบรรดาคหบดีใหม่ล้วนได้รับคำเชิญ
นอกจากนี้ยังมีคุณชายซึ่งเป็นญาติมิตรตระกูลขุนนางเดินทางไปด้วย เฟิงเซ่าเชินซึ่งเป็นคุณชายที่ดูอ่อนโยนนั้นก็ถูกคำพูดเพียงประโยคหนึ่งของอัครเสนาบดีเฟิงทำให้ต้องเข้ามาเป็นหนึ่งในคนของขบวนล่าสัตว์
วันที่สองหลังจากที่หิมะหยุดตก รถม้าของฮ่องเต้เสด็จออกไปทางประตูเมืองฝั่งทิศตะวันตก โดยมีองค์ชายทั้งหลายและเหล่าราชนิกุลตามเสด็จอารักขาท่ามกลางถนนที่เต็มไปด้วยหิมะ พวกเขามุ่งหน้าไปยังเขตล่าสัตว์ป่าภูเขาซี
เขตล่าสัตว์ป่าภูเขาซีอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองอวิ๋น โดยเดินทางออกไปจากถนนเส้นหลักเพียงยี่สิบกว่าลี้ก็ถึงแล้ว เขตล่าสัตว์ป่าแห่งนี้ตั้งขึ้นในหุบเขา โดยมีภูเขาหินล้อมรอบเป็นกำแพง และยังโอบล้อมไปด้วยผืนป่าพงไพร ด้านในเขตล่าสัตว์นั้นมีสัตว์ป่ามากมายที่ขนมาจากหลากหลายถิ่นฐาน โดยเลี้ยงเอาไว้เพื่อให้เหล่าราชนิกุลมาล่าสัตว์โดยเฉพาะ
เมื่อได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ ในค่ายล่าสัตว์จึงได้มีการจัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้ด้วยความเรียบร้อย
ระยะทางยี่สิบกว่าลี้นั้นถือว่าไม่ไกลมาก เมื่อเสด็จประพาสโดยรถม้า จึงใช้เวลาประมาณหนึ่งถึงสองชั่วยามก็ถึงที่หมาย เมื่อกล่าวแล้วคล้ายว่าสวรรค์ทรงเมตตา หลังจากที่หิมะหยุดตรงนั้นท้องฟ้าก็แจ่มใส่ขึ้นมาในทันที เวลานี้หิมะขาวโพลนสะท้อนกับแสงแดดในเหมันต์ฤดู บริสุทธิ์งดงามยิ่งนัก ความงดงามนี้ไม่อาจที่จะพรรณนาได้
ในปีนี้ฮ่องเต้ทรงพระชนมายุห้าสิบกว่าชันษา นับตั้งแต่ขึ้นครองบัลลังก์มานับยี่สิบกว่าปี ฮ่องเต้ทรงมีความสุขุมรอบคอบและระมัดระวัง ปกครองแคว้นต้าอวิ๋นได้สงบไปทั่วหล้า ทั้งยังรบชนะยึดครองผืนแผ่นดินของชนเผ่าที่อยู่ทางทิศตะวันตก เวลานี้ถือเป็นช่วงที่จิตใจฮึกเหิม เมื่อได้พบเจอกับภาพทิวทัศน์ที่งดงามเช่นนี้ แน่นอนว่าฮ่องเต้ทรงปลื้มปิติยิ่งนัก ชั่วขณะนั้นพระองค์จึงไม่ได้ใส่พระทัยกับความเหนื่อยล้าในการเดินทาง รับสั่งให้องครักษ์นำคันธนูมาให้ จากนั้นก็ขึ้นไปบนหลังอาชาแล้วควบอย่างเร่งรีบตรงไปยังภูเขา เหล่าองครักษ์และบรรดาเชื้อพระวงศ์จะมีผู้ใดกล้ารอช้า พวกเขารีบควบอาชาแล้วตามฮ่องเต้ไป
เว่ยจางไม่ถือว่าเป็นคนสนิท แน่นอนว่าเขาไม่ต้องตามเสด็จ เว่ยจางจึงทำเพียงสั่งให้เฮ่อซี ถังเซียวอี้และทหารที่เดินทางตามตนมาทั้งสี่คน “พวกเจ้านำคนไปลาดตระเวนรอบๆ อย่าเอาแต่คิดเรื่องล่าสัตว์ ครานี้ฮ่องเต้ทรงเสด็จมาอย่างกะทันหัน เกรงว่าคนในเขตล่าสัตว์จะบกพร่องในการจัดเตรียมงาน หากพบว่ามีสิ่งใดผิดปกติ ก็ตัดสินใจสั่งให้คนดำเนินการด้วยตนเอง”
เฮ่อซีและพวกรับคำสั่ง จากนั้นต่างก็พาพรรคพวกพี่น้องอีกจำนวนหนึ่งแยกย้ายไปลาดตระเวนพื้นที่โดยรอบ
ทางด้านซูอวี้อันและซูอวี้เสียง ทั้งสองไม่ได้ควบม้าไล่ตามฮ่องเต้ ซูอวี้อันคือหนึ่งในหัวหน้าทหารรักษาการณ์ ความปลอดภัยของฮ่องเต้คือหน้าที่ของเขา เวลานี้เขาที่เพิ่งสั่งการกับทหารเสร็จแล้วเดินมานั้น เมื่อได้ยินคำพูดของเว่ยจาง จึงยิ้มแล้วพูดขึ้น “แม่ทัพเว่ยเซ่าช่างเป็นคนรอบคอบยิ่งนัก”
มือของเว่ยจางประสานเข้าด้วยกัน จากนั้นหันไปทางซูอวี้อัน “ใต้เท้าซู คุณชายสามซู”
ซูอวี้เสียงยิ้มแล้วเอ่ยถามขึ้น “เหตุใดแม่ทัพเว่ยเซ่าจึงไม่ไปล่าสุนัขจิ้งจอกกับฮ่องเต้เล่า ฮ่องเต้ทรงรับสั่งแล้ว หากผู้ใดสามารถล่าสุนัขจิ้งจอกขนสีแดงเพลิงได้นั้น จะทรงพระราชทานรางวัลให้อย่างงาม”
“ข้ากำลังจะไป ไม่รู้ว่าท่านทั้งสองยินดีที่จะไปพร้อมกันหรือไม่”
“หืม? ได้สิ” ซูอวี้เสียงยิ้มแล้วมองไปทางซูอวี้อัน “พี่รอง พี่ว่าอย่างไร”
ซูอวี้อันส่ายหน้า แล้วพูดขึ้น “เวลานี้ข้ามิได้ว่างงานแล้ว ข้าจำต้องพาคนไปลาดตระเวนตรวจตราดูรอบๆ สักพักหนึ่ง เจ้าไปกับแม่ทัพเว่ยเซ่าเถิด ทางขึ้นเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะเช่นนี้ช่างลื่นยิ่งนัก ยามขี่ม้าจงระมัดระวังด้วย”
ซูอวี้เสียงยิ้มแล้วเอ่ยพูด “พี่รองดูถูกข้างั้นรึ”
ซูอวี้อันหัวเราะทว่ากลับไม่ได้กล่าวสิ่งใด แม้ว่าน้องสามของเขาจะไม่ใช่น้องคนสุดท้อง ถัดจากเขายังมีน้องสาวอีกคน แต่ทว่าน้องสาวคนเล็กเติบโตและถูกเลี้ยงดูอยู่เบื้องหน้าองค์หญิงต้าจั่งเช่นกัน ท่านแม่จึงรักใคร่และตามใจน้องชายคนนี้เป็นพิเศษ ด้วยเหตุนี้เรื่องรักรักใคร่ใคร่ของน้องชายนั้นยังพอทำเนา ทว่าเรื่องขี่ม้ายิงธนูนั้นเขาทำได้เพียงธรรมดาสามัญเท่านั้นจริงๆ หากไม่ใช่เพราะมีเว่ยจางไปด้วย การขี่ม้าในหุบเขาที่เต็มไปด้วยหิมะนั้น เขาไม่กล้าให้น้องชายพาองครักษ์อีกสองคนไปกันเพียงลำพังแน่
เว่ยจางขี่ม้าเคียงคู่ไปกับซูอวี้เสียง ทั้งสองมุ่งหน้าเข้าไปในป่า พวกเขาทั้งสองคนหนึ่งคือคุณชายที่อ่อนโยนไม่ยึดถือในกฎเกณฑ์ ส่วนอีกคนคือแม่ทัพคนใหม่ยอดฝีมือ ตามหลักแล้วนั้นหากพวกเขาทั้งสองอยู่ร่วมกันเกรงว่าจะไม่มีสิ่งใดให้พูดคุยเสวนา ทว่ากลับคาดไม่ถึงพวกเขาขี่ม้าไปพลาง พูดคุยไปพลาง ทั้งสองพูดคุยกันอย่างถูกคอยิ่งนัก จนเรื่องล่าสัตว์นั้นเป็นเพียงเรื่องรอง
ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่คำพูดใด ทั้งสองก็ได้เอ่ยพูดถึงพ่อตาของซูอวี้เสียงข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมือง-ใต้เท้าเหยา
เว่ยจางยิ้มแล้วพูดขึ้น “ได้ยินว่าปีนี้ใต้เท้าเหยารับผิดชอบหน้าที่การงานได้เป็นอย่างดี ฮ่องเต้ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะย้ายใต้เท้าเข้าเมืองหลวง”
ซูอวี้เสียงภาคภูมิใจเล็กน้อย “มีมูลนี้อยู่บ้าง ทว่าเรื่องนี้ยังไม่ได้มีพระบัญชาลงมา จึงยังไม่แน่ชัดนัก”
เว่ยจางถือโอกาสนี้กล่าวชมเหยาหย่วนจือเสียสองสามประโยค ทำให้ซูอวี้เสียงยิ่งภาคภูมิใจมากกว่าเดิม จึงกล่าวขึ้น “ทว่าการที่พวกเขาสามารถเข้ามารับราชการในเมืองหลวงนั้น ถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ทุกคนต่างดูแลซึ่งกันและกัน เวลานี้ภรรยาข้าก็ตั้งครรภ์แล้ว นางเอาแต่พูดถึงเรื่องตระกูลฝ่ายแม่ให้ข้าฟังทุกวี่วัน เฮ้อ! นางบ่นจนภายในใจของข้านั้นว้าวุ่นไปหมดแล้ว”
“อ้อ! ที่แท้คุณชายสามก็จะได้เป็นพ่อคนแล้ว! นี่ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก ยินดีด้วยๆ” เว่ยจางยิ้มแล้วประสานมือเข้าด้วยกันเพื่อแสดงความยินดีให้กับซูอวี้เสียง
“ขอบใจเจ้ามาก” ซูอวี้เสียงยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ แล้วเอ่ยถาม “แม่ทัพเว่ยเซ่าเองก็อายุอานามไม่น้อยแล้วกระมัง”
เว่ยจางยิ้ม แล้วพูดขึ้น “ตอนนี้ข้าอายุยี่สิบสองปีแล้ว”
“อืม อายุน้อยกว่าข้าสองปี” ซูอวี้เสียงกล่าว ใบหน้าของเขาเจือไปด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ แล้วพูดขึ้น “ทว่าตอนที่ข้าอายุเท่ากันกับเจ้าในเวลานี้นั้นได้สมรสมีภรรยาแล้ว เวลานี้เจ้ากลับยังคงอยู่เพียงลำพัง เป็นอย่างไร มีสตรีที่ถูกตาต้องใจหรือไม่ อยากจะให้ข้าช่วยสู่ขอให้กับเจ้าหรือไม่”
เว่ยจางยิ้มแล้วประสานมือ “ขอบคุณในความปรารถนาดีของคุณชายสาม หากมี ข้าต้องรบกวนคุณชายให้ช่วยเจรจาสู่ขออย่างแน่นอน”
“เกรงใจแล้ว” ซูอวี้เสียงโบกมือไปมาอย่างไม่ได้ใส่ใจ
เว่ยจางกำลังจะเอ่ยพูดบางอย่าง สายตาคู่นั้นกวาดไปตามหิมะ ปฏิกิริยาทางร่างกายของเขาว่องไวเสียยิ่งกว่าความคิด ยกคันธนูแผลงศรขึ้น ลูกศรสีนิลถูกยิงออกไป หิมะขาวโผลนเปื้อนไปด้วยสีเลือด ปรากฏให้เห็นกระต่ายขาวนอนอยู่บนพื้นหิมะ