“เล็งได้อย่างแม่นยำจริงๆ!” ซูอวี้เสียงปรบมือชื่นชม
“คุณชายสามเอ่ยชมเกินจริงแล้ว” เว่ยจางยิ้มบางๆ ทักษะการยิงธนูให้กระต่ายหนึ่งตัวตาย สำหรับเขาแล้วไม่ได้ถือว่ายอดเยี่ยมอย่างไร
ซูอวี้เสียงกำลังจะพูดอะไรขึ้นต่อ พงไพรที่อยู่ลึกเข้าไปก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น “ทางโน้นๆ! คุณชาย กระต่ายป่าตัวนั้นวิ่งไปทางโน้นแล้วขอรับ…เอ๊ะ? ตายแล้วหรือ”
เว่ยจางเงยหน้าขึ้นมองคนกลุ่มนั้น ทหารคุ้มกันที่อยู่ในชุดสีเขียวสองสามนายกำลังล้อมรอบคุณชายที่สวมใส่เสื้อผ้าชั้นดี คุณชายผู้นั้นมีใบหน้าดุจหยกรูปงาม รับกับริมฝีปากสีชาดและฟันขาวเรียงรายอย่างงดงาม แล้วกำลังขี่ม้าสีแดงประดู่ เขาดูรูปงามดุจบุปผา
“โธ่ ที่แท้ก็คือคุณชายเฟิงนี่เอง” ซูอวี้เสียงเห็นอย่างชัดเจนว่าคือใคร จึงค่อยๆ คลี่ยิ้มพลางทักทาย
พอเฟิงเซ่าเชินเห็นซูอวี้เสียง จึงประสานมือทั้งสองข้างเป็นการทักทายกลับ “ที่แท้ก็คือท่านพี่เหวินติ้ง (‘เหวินติ้ง’ เป็นนามเชิงอักษรศาสตร์ของซูอวี้เสียง)” สิ้นคำพูด เฟิงเซ่าเชินก็เหลือบตามองเว่ยจาง ราวกับเขาไม่รู้ว่าบุรุษที่ดูมีอำนาจผู้นี้คือใคร ใครคือผู้บัญชาการทหารผู้นี้ ใบหน้าหล่อเหลานั้นเคล้าด้วยความสับสน
ซูอวี้เสียงจำต้องแนะนำให้เฟิงเซ่าเชินรู้จัก “คุณชายเฟิง ท่านนี้คือแม่ทัพติ้งหย่วน เว่ยเสี่ยนจวิน”
“อ้อ!” เฟิงเซ่าเชินแย้มยิ้มพลางคารวะ “ได้ยินนามอันเลื่องชื่อของท่านแม่ทัพเว่ยมานานแล้ว เพียงแค่ไม่มีวาสนาได้เจอะเจอ วันนี้พอได้มาพบเจอกัน ตัวจริงของท่านสมดั่งคำร่ำลือจริงๆ”
เว่ยจางคารวะตอบกลับตามมารยาท “แค่คำเล่าลือเรื่อยเปื่อยเท่านั้น คุณชายเฟิงเอ่ยชมเกินจริงแล้ว”
พูดตามความจริง ครั้งนี้เว่ยจางก็รู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย เขาคือผู้บัญชาการทหารผู้ซึ่งควบม้าในสนามรบและสังหารข้าศึก เขามาเขตล่าสัตว์ป่าครั้งนี้ ก็แค่มาตามมารยาทที่ถูกสหายชวนมา แต่แม้ว่าเขาจะมาร่วมกิจกรรมเพียงเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น ก็นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอกับบุรุษที่แสนสุภาพอ่อนโยนทั้งสองคนนี้ที่นี่
เมื่อครู่ตอนที่เสวนากับซูอวี้เสียง แน่นอนว่าเขาต้องมีจุดประสงค์ของตนเอง ทว่าพอได้พบเจอกับเฟิงเซ่าเชิน บุรุษที่เป็นปัญญาชนใฝ่รู้ผู้อ่อนแอ เพียงแค่เอ่ยปากพูดก็สามารถกล่าวคำพูดออกมาเป็นกลอนสี่กลอนหกแล้ว อีกทั้งยังเป็นคำกล่าวที่ทำให้ลิ้นพัน จำต้องเปลืองสมองในการรับฟัง ทำให้เขาไร้ซึ่งความอดทนที่จะฟังต่อไป
ยามที่ฮ่องเต้ทรงล่าสัตว์ ล้วนมีองครักษ์อยู่ด้านหน้าผู้มีหน้าที่คอยไล่ต้อนพวกฝูงสัตว์ที่เป็นเหยื่อให้ออกมา องครักษ์ด้านซ้ายมือและขวามือจะมีหน้าที่คอยคุ้มครองป้องกันอยู่แล้ว ส่วนด้านหลังก็ยังมีกลุ่มคนคอยส่งเสียงร้องให้กำลังใจ โดยรวมนั้นแทบจะไม่ต้องคอยกังวลอะไรเลย ดังนั้นทุกอย่างที่เกิดขึ้นจึงทำให้พระองค์ทรงพอพระทัยยิ่งนัก
พอตกเย็น ทุกคนจึงติดตามฮ่องเต้ไปพักอาศัยอยู่ในค่ายล่าสัตว์ป่า ฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้นำกวางป่าของตนมาล้างและถลกหนังออก จากนั้นก็เอาถ่านเผา และก็แบ่งปันผลพลอยได้จากการล่าสัตว์ป่าครั้งนี้ให้กับเหล่าองค์ชายและคุณชายที่มีฐานันดรศักดิ์สูงส่ง ฮ่องเต้ทรงปิติยินดีอย่างยิ่ง ทุกคนจึงมาร่วมเพลิดเพลินกับปี้เซียะ กลุ่มคนเหล่านี้จึงร่วมสนุกสนานกันจนถึงช่วงเวลาเที่ยงคืน แล้วค่อยแยกย้ายกันไปพักผ่อน
วันถัดมาฮ่องเต้ยังมีแผนการว่าจะไปล่าสัตว์ ทว่าทางเมืองหลวงกลับส่งสารเร่งด่วนมาว่าในราชสำนักมีเรื่องเร่งด่วนที่รอคอยพระบัญชาจากพระองค์ ฮ่องเต้จึงแย้มยิ้มกับเหล่าบรรดาองค์ชายพลางตรัสขึ้น “เจิ้นจะกลับไปก่อน พวกเจ้าล่าสัตว์อยู่ที่นี่กันต่ออีกสักสองสามวันเถอะ หากผู้ใดได้สัตว์มามากที่สุด เจิ้นจะตบรางวัลอย่างงามให้กับคนคนนั้น”
เหล่าองค์ชายเห็นด้วยอย่างพร้อมเพรียงกัน องค์ชายใหญ่เสนอว่าจะติดตามฮ่องเต้กลับเมืองหลวงด้วย ฮ่องเต้จึงแย้มยิ้มพลางตรัสว่า “เจิ้นมีทหารรักษาการณ์คอยคุ้มกัน ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าคอยติดตามกลับหรอก ตอนเจิ้นมาก็ได้ให้คำมั่นสัญญากับฮองเฮาว่าจะล่าสุนัขจิ้งจอกขนสีแดงเพลิงกลับไปให้นางไปทำเป็นถุงมือ ตอนนี้ ภาระหน้าที่จะตกเป็นของพวกเจ้า หากผู้ใดล่าสุนัขจิ้งจอกขนสีแดงเพลิงได้ เจิ้นจะตบรางวัลให้อย่างงาม”
เหล่าองค์ชายจึงรู้สึกตื่นเต้นกับคำสั่งนี้ ทุกคนต่างก็รู้สึกคันไม้คันมือ และจะต้องได้สุนัขจิ้งจอกขนสีแดงเพลิงมาครอบครองให้ได้ บัดนี้ ในสายตาของเหล่าองค์ชาย สุนัขจิ้งจอกขนสีแดงเพลิงตัวนี้ไม่ได้เป็นเพียงสุนัขจิ้งจอกธรรมดาๆ อีกต่อไป
เว่ยจางจึงยิ่งไม่มีใจที่จะล่าสัตว์อีกต่อไป ในความคิดของเขา การล่าและฆ่าสัตว์ป่าเพื่อที่จะแสดงความสามารถของตนออกมา แท้จริงแล้วมันเป็นเรื่องที่ไร้สาระยิ่งนัก หากมีความสามารถจริงๆ ก็ควรไปสังหารศัตรูในสนามรบ การนำอาวุธมาไว้ในมือแล้วไปฆ่าสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยๆ ที่อ่อนแอตัวหนึ่ง จะถือว่าเป็นวีรบุรุษได้อย่างไรกัน
หลังจากที่น้อมส่งฮ่องเต้เสร็จสิ้น องค์ชายใหญ่จึงรับสั่งให้เหล่าพี่น้องของตนมารวมตัวกัน เพื่อแบ่งหน้าที่ในการออกล่า บอกว่าวันนี้จำต้องล่าสุนัขจิ้งจอกขนสีแดงเพลิงหนึ่งตัวแทนเสด็จพ่อเพื่อที่จะนำไปทำถุงพระหัตถ์ให้เสด็จแม่ให้ได้
บรรดาองค์ชายต่างฝ่ายต่างไม่ยอมแพ้ใครก็เป็นเรื่องธรรมดา ต่างแยกย้ายกันพาพระญาติและพระสหายที่เป็นราชนิกุลและเป็นบุตรขุนนางชั้นสูงแยกย้ายไปออกล่าสัตว์
เฟิงเซ่าเชินติดตามองค์ชายใหญ่อวิ๋นจิ่น ตอนที่องค์ชายทรงมีพระชันษาหกพรรษา พระมารดาขององค์ชายก็สิ้นพระชนม์ จึงมีเฟิงฮองเฮาทรงเลี้ยงดู เฟิงฮองเฮาเองก็ไม่มีบุตรเป็นของตนเอง จึงได้ทอดพระเนตรองค์ชายใหญ่เป็นดั่งบุตรในพระอุทรของตนเอง เฟิงเซ่าเชินติดตามเขาจึงไม่ใช่เรื่องแปลกพิลึกอะไร
ส่วนซูอวี้อันก็ได้นำกองกำลังทหารรักษาการณ์ติดตามฮ่องเต้กลับเมืองหลวงไปแล้ว ซูอวี้ผิงจึงต้องดูแลซูอวี้เสียง พวกเขาทั้งสองพี่น้องติดตามองค์ชายสี่อวิ๋นจั๋ว เหตุเพราะเสียนเฟยที่ให้กำเนิดองค์ชายสี่เป็นญาติกับลู่ฮูหยิน ถือว่าเป็นญาติที่เป็นลูกพี่ลูกน้องฝั่งมารดา
อีกอย่างหลายปีมานี้องค์ชายสี่ก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จึงกลายเป็นบุรุษที่ทั้งสุขุมและองอาจ ซ้ำยังมีกิริยาท่าทางคล้ายคลึงกับตอนที่ฮ่องเต้ทรงพระเยาว์ จึงได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้อย่างมาก และเขาเองก็ถูกฮ่องเต้เรียกไปเข้าเฝ้าในห้องทรงพระอักษรอยู่บ่อยครั้ง มีผู้คนในราชสำนักไม่น้อยเห็นว่าองค์ชายสี่เป็นผู้ที่มีวาสนา หลายปีมานี้แม้กระทั่งจวนติ้งโหวยังแอบเข้าข้างและกลายเป็นพรรคพวกของอวิ๋นจั๋ว
ทางฝั่งหันซังเกอและหันซังเย่ว์ ทั้งสองพี่น้องไม่อยากเข้าฝ่ายใดและไม่อยากจะตีสนิทกับองค์ชายใดทั้งนั้น พวกเขายังคงสถานะที่เป็นคนกลางในเหล่าบรรดาองค์ชายทั้งหลาย ดังนั้นจึงได้ติดตามอวิ๋นคุนและชักชวนเว่ยจางออกล่าสัตว์ด้วยกัน บุรุษทั้งสี่คนเลยออกล่าไปพร้อมๆ กัน
ด้วยเหตุที่ไม่อยากจะเกี่ยวข้องอะไรกับเหล่าองค์ชาย หันซังเกอและคนอื่นๆ จึงเดินบนถนนที่ไม่ใช่ถนนสายหลัก ตลอดทางพวกเขาที่เคยเคียงบ่าเคียงไหล่กันสังหารศัตรูจึงได้พูดคุยเล่นกันอย่างสนุกสนาน ถึงแม้หนทางจะคดเคี้ยวที่เต็มไปด้วยต้นไม้ดอกหญ้า และบางช่วงของถนนก็ไม่ง่ายต่อการขี่ม้าเสียเลย ทว่ากลับทำให้พวกเขารู้สึกท้าทายและสนุกไปอีกแบบ
ระหว่างที่เสวนากัน หันซังเย่ว์ก็สังเกตเห็นกวางตัวหนึ่ง มันกำลังมองซ้ายมองขวาอยู่กลางพุ่มไม้ และเหมือนจะได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอะไรบางอย่าง จึงทำให้มันเตรียมเผ่นหนี
“ชู่ววว” หันซังเย่ว์พลันสั่งให้ทุกคนหยุดคุย จากนั้นก็ยกมือขึ้นพลางดึงลูกศรมาจากด้านหลัง แล้วก็ยกคันธนูขึ้นพลางเล็งเป้า
หันซังเกอและเว่ยจางเห็นกวางอันงดงามตัวนั้น สุดท้ายก็มองหน้ากันพลางแลกยิ้มใส่กัน ต่างฝ่ายต่างให้ม้าหยุดวิ่งและหยุดพูด รอให้หันซังเย่ว์ยิงลูกธนูออกไปก่อน
ดั่งที่คาดกวางตัวนั้นฉลาดหลักแหลมและมีไหวพริบยิ่งนัก ทันใดนั้นมันจึงหันหลังแล้ววิ่งหนีหายไปในท่ามกลางผืนป่าในเหมันต์ฤดู เหลือไว้เพียงรอยเท้าของมันเท่านั้น
“ตาม!” หันซังเกอออกคำสั่ง พวกเขาต่างก็เร่งม้าไล่ตามไป
หลังจากที่ไล่ตามไปสักพัก กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของกวางน้อยตัวนั้น เว่ยจางจึงจับเชือกบังเหียนม้าไว้แล้วโค้งลำตัวลงเพื่อสังเกตมองที่พื้น จึงเห็นรอยเท้าของกวางปะปนกับรอยเท้าของสัตว์ป่าอีกหลายๆ ชนิด จนยากที่จะแบ่งแยกว่าเป็นรอยเท้าของสัตว์ตัวใด ทันใดนั้นก็ยิ้มพลางกล่าว “น่าเสียดายจริงๆ ตามไม่ทันเสียแล้ว”
“โธ่เอ๊ย! น่าเสียดายจริงๆ” หันซังเย่ว์อุทานด้วยความผิดหวัง “ข้ายังอยากจะจับมันไปเลี้ยงในสวนของจวนอยู่เลย”
หันซังเกอคลี่ยิ้มจางๆ “กวางในจวนยังน้อยอยู่อีกหรือ”
“แต่กวางที่อยู่ในจวนไม่มีตัวใดที่งดงามเท่าตัวนั้น” หันซังเย่ว์โปรดปรานกวางยิ่งนัก ทุกครั้งที่ล่าสัตว์ก็สนใจแต่ตัวกวางเท่านั้น หลังจากที่ยิงให้มันบาดเจ็บ แล้วจะจับกลับค่ายไปทำการรักษาก่อน จากนั้นก็พากลับจวนไปเลี้ยงไว้ พฤติกรรมเช่นนี้ของเขาเคยถูกองค์หญิงหนิงหวาซึ่งเป็นมารดาของเขารู้สึกขบขัน เพราะอุปนิสัยอันแปลกพิลึกของเขา
“ไม่ได้ ข้าต้องลงไปตามหาดู” ขณะที่พูด หันซังเย่ว์ก็รีบหมุนตัวลงจากม้าแล้วก็เริ่มแยกแยะรอยเท้าที่อยู่บนพื้นหิมะ จากนั้นก็เดินไปตามทิศทางของรอยเท้ากวาง
“ระวังหน่อย” หันซังเกอจึงรีบกระโดดลงจากหลังม้าแล้วตามไป “ข้าดูแล้วมีรอยเท้าของหมีสีนิลที่นี่ด้วย”
“คุณชายรอง รีบขึ้นหลังม้าเถอะ” เว่ยจางก็รู้สึกว่าที่นี่ใกล้เหว ไม่ไกลก็คงจะมีถ้ำ อีกอย่างที่นี่ยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้ดอกหญ้าหลากหลายสายพันธุ์ เหล่าสัตว์ป่าคงจะชื่นชอบสถานที่แห่งนี้มากที่สุด หากมีสัตว์ป่าดุร้ายอะไรออกมาก็คงจะทำให้ลำบาก
หันซังเย่ว์ดื้อรั้นที่จะไปตามหากวางตัวนั้น เสี่ยวซือที่คอยติดตามเขาจึงทำได้เพียงจูงม้าแล้วตามเขาไป เว่ยจางติดตามอยู่ด้านหลังอย่างระมัดระวังตัว และสังเกตมองการเคลื่อนไหวรอบทิศตลอดเวลา คนหลายคนจึงเดินไปข้างหน้าเพื่อตามหากวางตัวนั้น พอเดินไปสักระยะ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากในป่าลึก
“เสียงอะไร” หันซังเกอขมวดคิ้วถามเว่ยจาง