“นางไม่ยอมพบหน้าเจ้า หรือว่าไม่ยอมให้เจ้าเห็นนางกันแน่” ท่านซื่อจื่อตระกูลซูจึงเอ่ยพูดขึ้นอย่างตรงประเด็น
ซูอวี้เสียงเหมือนถูกพี่ใหญ่ของเขาแทงไปหนึ่งแผล จึงเสียเลือดไปเกือบครึ่งตัวอย่างกะทันหัน แล้วเขาก็ได้ถอนหายใจออกมาอย่างหดหู่ “พี่ใหญ่ ในสายตาของท่าน ข้าแย่มากเลยหรือ”
“นับว่าไม่เลว หากพูดถึงเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก? ก็ถือว่าสง่างาม หากว่าด้วยการศึกษา? ก็ถือว่าธรรมดาทั่วไป หากว่าด้วยทักษะการขี่ม้ายิงธนู? เอ๊ะ ครั้งนี้ที่ไปล่าสัตว์ป่า เจ้ายิงสัตว์ป่าอะไรกลับมาได้บ้าง”
“พี่ใหญ่!” ซูอวี้เสียงเปิดผ้าห่มแล้วลุกขึ้นจากเตียงในทันที
ซูอวี้ผิงหัวเราะออกมาด้วยเสียงเรียบเฉย และไม่ได้พูดอะไรอีก
“พี่ใหญ่ ท่านว่าเว่ยจางทำเช่นนั้นหมายความว่าอะไร” ซูอวี้เสียงทำสีหน้าที่หม่นหมองพลางดึงผ้านวลฝ้ายสีฟ้าลวดลายบุษบามากอดไว้ในอ้อมกอด เพราะว่านี่เป็นผ้านวลฝ้าย มันจึงหนักเกินไป คุณชายสามตระกูลซูมีฐานะที่สูงส่ง ทำให้เขารู้สึกห่มแล้วไม่สบายจริงๆ
“เจ้าหมายถึงอะไร” ซูอวี้ผิงแสร้งทำท่าทางไม่รู้เรื่อง เขาเกิดมามีนิสัยที่ไม่ชอบซุบซิบนินทาผู้ใด มีเรื่องบางอย่าง ถึงแม้จะเห็นทุกอย่างกับตา ทว่ากลับไม่เคยคิดมาก ต่อให้ผ่านการครุ่นคิดแล้ว ก็ไม่เคยพูดให้มากความ
“ข้าคิดว่าเขาค่อนข้างพิเศษกับน้องสาวภรรยาของข้า และมีดเล่มเล็กชุดนั้น…พี่ใหญ่ว่าเขาเอามันมาจากไหน เยี่ยนอวี่เห็นในพริบตาแรกก็รู้สึกโปรดปรานแล้ว?” ซูอวี้เสียงขบริมฝีปากอย่างไม่พอใจ “อย่าบอกว่าเจ้านั่นมีใจให้กับน้องสาวภรรยาของข้าเข้าให้แล้วนะ?”
ซูอวี้ผิงถามกลับเสียงเรียบ “มีใจแล้วจะกระไรไป บุรุษที่ยังไม่ได้สมรสและสตรีที่ยังไม่ออกเรือน นี่เป็นคู่สร้างคู่สมที่สวรรค์ทรงบันดาลมาให้ หรือว่าเจ้ายังคงคิดจะให้น้องสาวภรรยาของเจ้าเป็นอนุภรรยาเจ้า?”
“เป็นอนุภรรยาของข้ามีอะไรไม่ดี สินสมรสออกเรือนของนางยังอยู่ในเรือนของข้าอยู่เลย” ซูอวี้เสียงพึมพำอย่างไม่พอใจ และก่นด่าคำหยาบออกมา “ให้ตายเถอะ! ต่อให้ไม่ใช่อนุภรรยาของข้า นั่นก็คือน้องสาวเมียข้า หากจะให้ใครไปเป็นคู่ครอง ก็ย่อมไม่ตกทอดถึงไอ้สารเลวเว่ยจางแน่นอนอยู่แล้ว! ข้าคุณชายสามยังอยู่นี่!”
ซูอวี้ผิงหัวเราะเสียงเรียบ “ดูสิ ใกล้จะเป็นพ่อคนอยู่แล้ว กลับยังทำตัวมีนิสัยเหมือนเด็กไปได้! พูดจาเหลวไหล หากไม่ระวังปาก แล้วคำพูดเหล่านี้แพร่งพรายออกไป ก็คงทำให้ชื่อเสียงของตนต้องป่นปี้ อีกอย่าง ภรรยาของเจ้ายังอยู่ดีมีสุข เจ้าอย่าหาเรื่องอะไรจะดีกว่า”
ที่กล่าวมาก็มีเหตุผล ซูอวี้เสียงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปมองซูอวี้ผิงอย่างไม่พอใจ เขารู้และเข้าใจในหลักเหตุผลนี้ ทว่าเหตุใดเขาจึงไม่พอใจเช่นนี้!
ตลอดทั้งคืน ผู้ที่ลำบากที่สุดก็คือภรรยาของหันซังเกอ เฟิงเซ่าอิ่ง
เฟิงเซ่าอิ่งมาดูแลเหยาเยี่ยนอวี่สักพัก พอเห็นว่าเหยาเยี่ยนอวี่หลับสนิท จึงกำชับแม่นมของตนเองจางซื่อให้คอยปรนนิบัติรับใช้อย่างใกล้ชิด ส่วนตนเองก็รีบไปเรือนรับรองหลักเพื่อไปดูแลสามี
แผลของหันซังเกอถูกเหยาเยี่ยนอวี่รักษาด้วยความใส่ใจ นางได้ใช้ผงยาปรุงสูตรยาแก้อักเสบและยาห้ามเลือดของสมัยโบราณที่นางเตรียมไว้พร้อมสรรพ จึงทำให้อาการอักเสบของบาดแผลได้รับการควบคุม รวมไปถึงหันซังเกอฝึกฝนวิชาการต่อสู้แต่เล็ก และถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี ร่างกายของเขาจึงแข็งแรง อาการไข้ขึ้นสูงที่ผ่านมาก็ค่อยๆ ลดลงไป
เฟิงเซ่าอิ่งแตะหน้าผากของหันซังเกอ จากนั้นจึงรู้สึกโล่งอกเล็กน้อย คิ้วงามที่ขมวดของนางก็ค่อยๆ คลายออก
จวบจนฟ้าสาง หันซังเกอก็ฟื้นขึ้นมาเพราะรู้สึกหิว ตอนที่เขาลืมตาขึ้นก็เห็นภรรยานั่งพิงอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงนอน เขาจึงตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็ขานเรียกด้วยเสียงแหบพร่า “ฮูหยิน?”
เฟิงเซ่าอิ่งได้ยินเสียงจึงสะดุ้งตื่นทันที “ท่านซื่อจื่อ? ท่านพี่ตื่นแล้ว! รู้สึกอย่างไรบ้าง ขายังเจ็บอยู่หรือไม่”
“ไม่เป็นอันใดแล้ว เจ้ามาได้อย่างไร? เห็นเจ้าอยู่ในสภาพนี้ เจ้าเฝ้าข้ามาทั้งคืนแล้วหรือ” หันซังเกอเองก็ได้เหยียดกายขึ้นมานั่ง แผลของเขาอยู่ตรงข้อเท้า ท่านั่งเช่นนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบแต่อย่างไร
เฟิงเซ่าอิ่งสะดุ้งตกใจ จึงรีบกดไหล่ของสามีไว้ พร้อมกับห้ามปรามขึ้น “ท่านพี่อย่าขยับเรื่อยเปื่อยสิ ระวังโดนแผล”
“แผลแค่นี้ไม่ถือว่าเป็นอะไร แค่ว่า…เหตุใดแผลถึงไม่รู้สึกเจ็บเท่าไรแล้ว” หันซังเกอพยายามรู้สึกถึงความเจ็บปวดตรงแผล กลับรู้สึกแปลกพิลึก เมื่อวานเพิ่งได้รับบาดเจ็บ วันนี้บาดแผลกลับหายดีแล้วหรือ หรือว่า…เกิดเรื่องอื่นขึ้น? พอนึกถึงขาข้างนี้ของตนเองไม่มีความรู้สึกแม้แต่ความรู้สึกเจ็บปวด ใจของหันซังเกอจึงค่อยๆ หม่นหมองลง
เฟิงเซ่าอิ่งจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนคร่าวๆ ขึ้นหนึ่งรอบ สุดท้ายก็อุทานขึ้น “ต้องขอบคุณคุณหนูรองเหยาแล้วจริงๆ! นางเป็นผู้มีบุญคุณอย่างยิ่งของเรา”
หันซังเกอจึงได้รู้ว่าตนเองได้รับบาดเจ็บตรงเส้นเอ็นและถูกเหยาเยี่ยนอวี่เชื่อมต่อจนหาย จึงได้หมุนตัวเพื่อจะก้าวลงจากตั่งไม้ด้วยความตื่นเต้น
“โธ่! ท่านพี่กำลังทำอะไร!” เฟิงเซ่าอิ่งจึงรีบกดลำตัวของเขาไว้ แล้วพูดขึ้นอย่างร้อนใจ “ตอนนี้ท่านพี่ยังลงมาเหยียบบนพื้นไม่ได้! ต่อให้คุณหนูเหยามีทักษะการแพทย์ที่ล้ำเลิศมากเพียงใด ก็ไม่ใช่เทวดา คงไม่อาจเป่าลมหายใจเพียงหนึ่งครั้งก็ทำให้ท่านพี่หายปลิดทิ้งได้!”
“คุณหนูเหยาอยู่แห่งใด ข้าจะไปกล่าวคำขอบคุณนางด้วยตนเอง!” หันซังเกอจับมือของเฟิ่งเซ่าอิ่งไว้ แล้วอุทานอย่างพึงพอใจ “ฮูหยิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ากลัวมากเพียงใด! ข้าไม่กลัวว่าจะบาดเจ็บ ไม่กลัวว่าจะหลั่งเลือด ข้ากลัวเพียงว่าชาตินี้ข้าจะกลายเป็นผู้พิการ ขาเป๋ และกลายเป็นคนไร้ประโยชน์! ตอนนี้ดีแล้ว ข้ายังสามารถฝึกวรยุทธ์ได้เหมือนก่อน และยังสามารถติดตามท่านพ่อไปสังหารข้าศึกศัตรูที่สนามรบ…ช่างเป็นเรื่องที่ดีเยี่ยมมากจริงๆ!”
“คุณหนูเหยายังหลับอยู่! หากท่านพี่จะกล่าวขอบคุณก็รอให้นางตื่นก่อน!” เฟิงเซ่าอิ่งมองสามีของตนที่เป็นผู้บัญชาการทหารที่องอาจและโหดเหี้ยม ทว่าตอนที่เขาดีใจกลับเหมือนเด็กน้อยที่ไม่รู้จักโต ทันใดนั้นนางจึงรู้สึกใจอ่อน จึงจับมือเขาพร้อมกับเปรยขึ้น “ใช่แล้ว! ท่านพี่ยังสามารถโปรดปรานเรื่องราวการรบ และยังสามารถออกรบสังหารศัตรู ท่านพี่วางใจเถอะ แค่คุณหนูเหยากำชับว่า หลังจากเจ็ดวันที่แผลหายดีแล้วจึงจะเริ่มขยับได้ จากนั้นยังต้องทำอะไร…กายภาพบำบัด ใช่แล้ว คุณหนูเหยายังบอกว่า การฟื้นฟูสมรรถภาพเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง”
“ข้ารู้แล้ว” สำหรับเรื่องบาดเจ็บฟกช้ำดำเขียวหันซังเกอไม่เคยรู้สึกประหลาดใจอยู่แล้ว ผู้ที่กระดูกหักก็ต้องรอให้กระดูกติดกันถึงจะทำการนวด แล้วค่อยๆ ทำให้ร่างกายได้รับการฟื้นฟู
“ดียิ่ง!” เฟิงเซ่าอิ่งสัมผัสใบหน้าของสามีอย่างทุกข์ใจ พอนึกถึงเหตุการณ์อันตรายที่เกิดขึ้นเมื่อวาน จึงอดไม่ได้ที่จะตาแดงก่ำขึ้นมา “วันข้างหน้าก็ต้องระวังตัวหน่อย!”
“อืม ข้ารู้แล้ว” ระหว่างที่กล่าวขึ้น ท้องของท่านซื่อจื่อหันร้องโครกครากสองครั้ง
เฟิงเซ่าอิ่งรีบถามขึ้น “หิวแล้วหรือ”
“อืม” หันซังเกอรู้สึกว่าท้องไส้ของตนเองกำลังปั่นป่วน พอนึกถึงตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนเที่ยงวันนี้ แม้กระทั่งน้ำหยดเดียวยังไม่ได้เข้าปากเลย
“ข้าสั่งให้คนไปต้มโจ๊กแล้ว ข้าจะไปยกมาให้ท่านพี่เดี๋ยวนี้” เฟิงเซ่าอิ่งเหยียดกายลุกขึ้นอย่างดีใจ จากนั้นก็ไปยกโจ๊กมาให้หันซังเกอด้วยตัวเอง
ฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น ระฆังยามเช้าของวัดต้าเจวี๋ยเคาะดังขึ้นอย่างตรงเวลา เป็นเสียงที่ดังก้องไปทั่ววัด เมื่อคืนทุกคนที่นอนพักอยู่ในวัดจึงทยอยกันตื่นนอน ทุกคนต่างก็ไปล้างหน้า แต่งตัวและจัดการกิจส่วนตัว หลังจากที่จัดการกับตนเองแล้วเสร็จจึงไปเยี่ยมหันซังเกอ
หันซังเย่ว์มาเป็นคนแรก ตอนที่เข้ามาก็เห็นหันซังเกอนอนพิงอยู่บนตั่งไม้และกินโจ๊กอยู่ เขารู้สึกตื่นเต้นดีใจไปชั่วขณะ จนไม่อาจเอ่ยคำพูดใดๆ ออกมาเป็นเวลานาน
จากนั้นก็ตามมาด้วยอวิ๋นคุน แล้วยังมีเจิ้นกั๋วกง ผ่านไปสักพัก องค์ชายใหญ่อวิ๋นจิ่น องค์ชายสาม องค์ชายสี่และคนอื่นๆ ก็มาด้วย ทุกคนล้วนเห็นหันซังเกอนอกจากมีสีหน้าที่ขาวซีดเล็กน้อย ก็สามารถพิงอยู่บนตั่งไม้แล้วเสวนาได้อย่างสนุกสนาน ไม่เหมือนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด ทุกคนต่างก็รู้สึกแปลกใจอย่างมาก
เจิ้นกั๋วกงเห็นบุตรชายตนเองอยู่ในสภาพเยี่ยงนี้ หัวใจดวงนี้จึงวางลงไปอยู่ในท้องได้ เพราะเหตุนี้จึงพูดขึ้น “ที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ที่ควรพักอาศัยอยู่นาน รอสักครู่ทุกคนก็เก็บของกลับเมืองหลวงกันเถอะ”
หันซังเกอพยักหน้าแล้วถามขึ้น “คุณหนูเหยาล่ะ ข้าอยากจะไปขอบคุณนางเสียหน่อย”
เฟิงเซ่าอิ่งยังเป็นสตรีที่ยังสาว จึงไม่สะดวกที่จะปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางบุรุษจำนวนมาก แม่นมของนางจางซื่อที่ยืนรับใช้อยู่ข้างๆ ได้ยินหันซังเกอเอ่ยถาม จึงรีบตอบกลับ “คุณหนูเหยายังคงหลับอยู่เจ้าค่ะ”