“นี่ย่อมขึ้นอยู่กับวาสนาของแต่ละคน” เหยาเฟิ่งเกอส่ายหน้า ไม่ได้พูดสิ่งใดอีก
ณ บ้านนามู่เย่ว์ที่ตั้งอยู่ชานเมือง เหยาเยี่ยนอวี่กำลังมองดูเฝิงหมัวมัวและชุ่ยเวยเก็บข้าวของ รู้สึกหนาวสั่นขึ้นมากะทันหัน จากนั้นนางก็จามอย่างแรง
“เกรงว่าคุณหนูจะเป็นหวัดแล้วกระมังเจ้าคะ” เฝิงหมัวมัววางเสื้อผ้าที่พับเสร็จลง “ให้บ่าวไปต้มน้ำขิงมาให้คุณหนูดื่ม?”
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง” เหยาเยี่ยนอวี่รีบโบกมือ “ข้าไม่เป็นไร”
ทางด้านชุยเวยที่กำลังเก็บห่อผ้าอยู่นั้น นางหยิบชุดมีดเล่มเล็กที่เว่ยจางให้มายื่นไปตรงหน้าของเหยาเยี่ยนอวี่ พร้อมเอ่ยถาม “คุณหนู มีดเหล่านี้ควรจะเก็บเอาไว้กับเข็มเงินของพวกเราหรือไม่เจ้าคะ”
เหยาเยี่ยนอวี่หยิบห่อหนังสามพับมาจากมือของชุ่ยเวย ห่อหนังกวางนิ่มสองชั้นนี้มีรอยแยกเป็นช่องว่าง ซึ่งเอาไว้สำหรับเสียบมีดแต่ละเล่มให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ปลายมีดที่แหลมคมหันออกด้านนอก เผยให้เห็นใบมีดสะอาดและแหลมคมสะท้อนแสงเปล่งประกายสีเงินแวววับ ทำให้เหยาเยี่ยนอวี่หลงใหลจนไม่อาจปล่อยออกจากมือ
ชุ่ยเวยมองดูเหยาเยี่ยนอวี่จับมีดเล็กๆ เหล่านั้นแล้วเหม่อลอย นางจึงรีบพูดย้ำเตือน “คุณหนูระวังหน่อยนะเจ้าคะ มีดเล็กๆ เหล่านี้แหลมคมยิ่งนัก! ประเดี๋ยวจะบาดมือเข้า”
“ไม่หรอก” เหยาเยี่ยนอวี่นึกถึงตนเองเมื่อชาติภพก่อน นางเล่นมีดผ่าตัดมานานกว่าสิบปี นางไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนตอนที่เพิ่งได้จับมีดผ่าตัดเป็นครั้งแรกอีกแล้ว
ชุ่ยเวยหันหลังแล้วเก็บข้าวของอื่นๆ นางทำงานไปด้วยและพูดอย่างยิ้มแย้ม “ว่าไปแล้วท่านแม่ทัพเว่ยเซ่าผู้นี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก เขาพกของเช่นนี้ติดตัว หรือว่าเขาจะใช้สิ่งนี้เป็นอาวุธลับเจ้าคะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ครุ่นคิด จริงด้วย เขาเป็นถึงแม่ทัพ เหตุใดจึงมีของเช่นนี้
สุดท้ายเฝิงหมัวมัวก็ยังคงต้มน้ำขิงมาให้ดื่ม นางหยิบห่อหนังกวางจากมือของเหยาเยี่ยนอวี่ไป จากนั้นวางน้ำขิงลงบนมือของนาง พร้อมเอ่ยถาม “ชุ่ยเวยกล่าวไม่ผิดเจ้าค่ะ สิ่งนี้น่าจะเป็นอาวุธสำหรับป้องกันตัวของท่านแม่ทัพ คุณหนู บ่าวให้คนส่งมีดเหล่านี้ไปคืนเขาดีไหมเจ้าคะ”
“ไม่จำเป็นหรอก” เห็นได้ชัดว่านี่คือมีดผ่าตัดครบชุด อาวุธลับนั้นใช้เพื่อสังหารคน มิได้ใช้เพื่อเลาะกระดูกหรือเส้นเอ็นของคน หากจะกล่าวว่านี่คืออาวุธลับ สู้กล่าวว่าคือเครื่องมือทรมานนักโทษยังจะใกล้เคียงเสียกว่า เพียงแต่เขาที่เป็นผู้บัญชาการทางทหาร ใช้เครื่องมือทรมานนักโทษเพื่อการใด
“หมัวมัว ประเดี๋ยวกลับไปสั่งให้คน…” เหยาเยี่ยนอวี่กล่าวได้เพียงครึ่งหนึ่ง นางก็หยุดพูดกะทันหัน
เฝิงหมัวมัวรอฟังอยู่นานทว่านางกลับไม่พูดต่อ หมัวมัวจึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “คุณหนู? คุณหนูมีสิ่งใดจะสั่งการหรือเจ้าคะ”
“ช่างเถิด” เหยาเยี่ยนอวี่ปรายตามองห่อหนังกวางที่ใส่มีดผ่าตัดเอาไว้ จากนั้นพูดสั่งชุ่ยเวย “เก็บสิ่งนี้ให้เรียบร้อย เก็บไว้รวมกับเข็มเงิน แล้วพกติดตัวตลอดเวลา”
“เจ้าค่ะ” ชุ่ยเวยรีบรับห่อหนังกวางมา จากนั้นเก็บรวมกับเข็มเงินนับสิบเล่มที่เก็บเอาไว้ในถุงผ้าฝ้าย
ทางด้านเหยาเยี่ยนอวี่มองดูเฝิงหมัวมัวเก็บข้าวของมานานกว่าสองวันแล้ว นางนำข้าวของขึ้นไปไว้บนรถม้า จากนั้นทั้งนายและบ่าวทั้งหลายก็ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านนาน้อยวัวจวู และแน่นอน เหยาเยี่ยนอวี่ไม่อาจพาแค่เพียงคนของตนไป นางพาบ่าวรับใช้สี่คนที่อยู่บ้านนามู่เย่ว์ไปพร้อมกัน เหยาเยี่ยนอวี่ได้เปลี่ยนนามของพวกนางเป็นปั้นซย่า ไม่ตง อูเหมยและเซียงหรู รวมถึงบ่าวรับใช้ชายอีกสองคนวัยสิบสามสิบสี่ปี ก็ถูกเปลี่ยนนามเป็นเถียนหลัวและเซินเจียง
ชุ่ยเวยหัวเราะแล้วพูดบอกกับชุ่ยผิง “คุณหนูใกล้จะกลายเป็นผู้หลงใหลในยาสมุนไพรเสียแล้ว นางเปลี่ยนชื่อของบ่าวรับใช้ในเรือนเป็นชื่อของสมุนไพรจนหมด”
ชุ่ยผิงยิ้มแล้วพูดขึ้น “เป็นชื่อของสมุนไพรนั้นดี ข้าชอบ แม้แต่ตัวข้าเองก็อยากจะเปลี่ยนชื่อเป็นสมุนไพรแล้ว”
เฝิงหมัวมัวคลายยิ้ม “ชื่อของเจ้า เมื่อครั้งตอนที่ฮูหยินอนุภรรยามีชีวิตอยู่ ท่านเป็นผู้ตั้งให้กับเจ้า เจ้าจงใช้ชื่อนี้อย่างว่าง่ายต่อไปเถอะ”
นายและบ่าวรับใช้ทั้งหลายนั่งบนรถม้า พวกนางพูดคุยและหัวเราะออกมาจากบ้านนามู่เย่ว์ และเดินทางบนรถม้าที่โยกไปมาไปตามทางบนคันนาจนกระทั่งถึงบ้านนาน้อยวัวจวู บ้านนาน้อยวัวจวูเก็บกวาดทำความสะอาดจนเรียบร้อยดีแล้ว เฝิงโหย่วฉุนเดินนำบ่าวรับใช้ในเรือนแห่งนี้มาคอยต้อนรับที่หน้าประตู
หลังจากที่ทุกคนต้อนรับเหยาเยี่ยนอวี่เข้าไปในเรือนหลักแล้วนั้น บ่าวรับใช้ชายและสาวใช้กว่าสามสิบคนได้น้อมทำความเคารพเหยาเยี่ยนอวี่ที่เรือน ทำให้เหยาเยี่ยนอวี่ตกใจ “เหตุใดจึงมีบ่าวรับใช้มากมายถึงเพียงนี้”
เฝิงโหย่วฉุนเดินเข้าไปหาแล้วพูดอธิบายเป็นคนๆ ให้เหยาเยี่ยนอวี่ฟัง “บ่าวรับใช้สองคนนี้ทำหน้าที่กวาดเรือน ส่วนอีกสองคนคือแม่ครัว และสองคนนี้ทำหน้าที่ซักล้างเสื้อผ้าโดยเฉพาะ คนพวกนี้คือคนสวนที่คอยตัดแต่งสวนในเรือนขอรับ และเจ็ดคนที่อยู่ด้านนี้คือผู้ที่บ่าวหามาทำไร่ช่วงเหมันต์ฤดู อาศัยโอกาสในช่วงนี้ที่ไม่ได้เหน็บหนาวจนเกินไป ให้พวกเขามาไถกลบหน้าดิน เพื่อที่วสันต์ฤดูในปีหน้าจะได้เพาะปลูกได้ดียิ่งขึ้น”
เมื่อกล่าวจบ เขาก็ชี้ไปยังพ่อลูกคู่หนึ่งที่ยืนอยู่ริมสุด พร้อมกล่าวพูด “ทั้งสองคนนี้คือผู้มีความรู้ด้านการเพาะปลูกสมุนไพรที่คุณหนูเคยให้บ่าวหาก่อนหน้านี้ คิมหันต์ฤดูปีนี้เกิดน้ำท่วมทำให้พวกเขาอพยพมาอยู่ที่นี่ ทั้งครอบครัวของพวกเขาเหลือเพียงแค่สองพ่อลูกนี้เท่านั้นขอรับ ในเมืองอวิ๋นไม่มีผู้เพาะปลูกสมุนไพร อีกทั้งพวกเขาทั้งสองก็ไม่มีความสามารถด้านอื่น หนึ่งปีที่ผ่านมานี้พวกเขามีชีวิตอยู่ได้ด้วยการเร่ร่อนเป็นขอทาน เมื่อบ่าวกล่าวว่าอยากจะตามหาคนเช่นนี้ พวกเขาทั้งสองก็รีบมาโดยทันที โดยกล่าวว่าขอเพียงมีข้าวปลาให้กินก็พอ ไม่จำเป็นต้องให้ค่าแรงขอรับ”
เหยาเยี่ยนอวี่กวาดตามองดูพวกเขาอย่างพิจารณา เหล่าสตรีล้วนสวมใส่ผ้าหยาบและแต่งกายอย่างสะอาดสะอ้าน จากนั้นนางก็มองดูนิ้วมือของพวกนาง นอกจากแม่ครัวทั้งสองคนแล้วนั้น นิ้วมือของคนที่เหลือล้วนหยาบกร้าน และยังมีรอยแผลแตกแห้งเนื่องจากอากาศที่หนาวเหน็บ เพียงแค่มองก็รู้ว่าพวกเขาเป็นคนที่มีฐานะยากไร้
จากนั้นเหยาเยี่ยนอวี่ก็กวาดตามองดูเหล่าคนสวนและชาวนา ผู้ที่มีอายุน้อยที่สุดมีอายุสี่สิบปีแล้ว ดวงหน้าของพวกเขาแต่ละคนมีรอยเหี่ยวย่นที่หนาและชัดเจน และเต็มไปด้วยความหยาบกร้าน
ทางด้านสองพ่อลูกคู่นั้นแลดูอ่อนน้อมถ่อมตนยิ่งนัก เพียงแค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าชีวิตของพวกเขายากลำบากและผ่านการสูญสิ้นทุกอย่าง
เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อจากนี้ทุกคนคือคนในเรือนเดียวกัน ข้าเองก็ไม่ใช่คนที่มีนิสัยดุร้าย อีกทั้งเรื่องบางเรื่องข้าก็ไม่ชอบนำมาคิดเล็กคิดน้อย เพียงแต่ข้าเองก็มีขีดความอดทน การเป็นบ่าวรับใช้ ข้อแรกที่พึงกระทำคือต้องมีจิตใจที่ซื่อสัตย์กับนาย และข้อที่สองก็คือต้องทำตามหน้าที่ของตนเอง ขอเพียงแค่พวกเจ้าทำสองข้อนี้ได้ก็ถือว่าดีแล้ว กฎเกณฑ์และมารยาทต่างๆ ก็ไม่ต้องให้ข้ากล่าวพูดมากมาย โดยปกติทั่วไปหากลุงเฝิงไม่อยู่ในเรือน เฝิงหมัวมัวจะเป็นผู้คอยดูแล หากพวกเจ้ามีเรื่องอะไรสามารถบอกกับนางได้โดยตรง ตอนนี้ข้าเหนื่อยแล้ว พวกเจ้าแยกย้ายกันไปทำงานเถอะ”
บ่าวรับใช้ขานรับ จากนั้นแยกย้ายกันไปทำงาน
เมื่อเหยาเยี่ยนอวี่เดินเข้าไปในเรือน นางก็รู้สึกว่ามีลมอุ่นๆ พัดผ่านเข้ามา ด้วยเหตุนี้นางจึงบอกกับชุ่ยเวย “อากาศในเรือนอบอุ่น เจ้าช่วยถอดผ้าคลุมให้ข้าที”
เฝิงหมัวมัวยิ้มแล้วพูดขึ้น “บ่าวบอกให้พวกสาวใช้จุดเตาผิงตั้งแต่เมื่อวานแล้วเจ้าค่ะ”
“เตาผิงนี่ช่างดีนัก!” ชุ่ยผิงเดินตรงไปที่หน้าเตาผิง จากนั้นเอื้อมมือไปเปิดประตูเตาผิงที่ทำขึ้นจากทองแดง เผยให้เห็นกลุ่มเปลวไฟลุกโชนอยู่ข้างใน
เฝิงหมัวมัวยิ้มแล้วพูดขึ้น “ปล่องควันของเตาผิงนี้เจาะผ่านกำแพง ทำให้กำแพงนี้กลายเป็นกำแพงไฟและทำให้ด้านหน้าของกำแพงอบอุ่นขึ้นมา อากาศในเรือนจึงอบอุ่นเป็นธรรมดา”
บ้านนาหลังนี้ แม่ทัพติงหย่วนคนก่อนได้เชิญให้ช่างไม้ที่เลื่องชื่อวาดออกมา ทำให้ทุกมุมของเรือนประณีตงดงาม ดูแล้วน่าสนใจ และอยู่สบาย โดยเรือนหลักเป็นเรือนที่มีทางเข้าและทางออกถึงสามทาง อีกทั้งห้องโถงไม่เพียงแต่โอ่อ่า ทว่ายังสามารถใช้ในการพูดคุยเสวนาและต้อนรับแขกเหรื่อ ทางด้านเรือนปีกทั้งสองข้างซ้ายขวานั้น จัดเตรียมไว้ให้หญิงรับใช้ที่คอยดูแลเรือนหลับนอน ส่วนเรือนทางใต้ใช้สำหรับจัดเตรียมน้ำชาและของว่างรวมทั้งขนมหวาน
เรือนทางด้านหลังมีห้องหลักอยู่ห้าห้องเพื่อให้เจ้าของเรือนอยู่อาศัย ตรงกลางและทางทิศตะวันออกมีผนังกั้นกลางเอาไว้ ด้านนอกจัดวางโต๊ะแปดเซียน เก้าอี้ไม้โบราณ โต๊ะตั้งไปทางหุบเขามีกระถางธูปหินขนาดเล็กวางเอาไว้ และมีฉากผ้าปักลายตั้งไว้ประดับ ทั้งยังมีแจกันลายดอกบ๊วยแต้มหยดน้ำค้างสีชมพูวาดลวดลายทองวางขนาบข้างหนึ่งคู่
เตาผิงอยู่ติดกับผนังกั้นฝั่งซ้ายมือ เมื่อเดินเข้าไปจากประตูที่ถูกกั้นเอาไว้นั้น ที่วางติดกับหน้าต่างทางทิศใต้คือเตียงเตา ที่อยู่ติดกับเตาผิง ด้านบนปูด้วยผ้านวมหนาสีเขียวผืนใหญ่ ทั้งยังมีหมอนอิงหลัง หมอนหนุนศีรษะ หมอนอิงทรงกลม โต๊ะเตี้ยและโต๊ะขาสูง ทุกสิ่งทุกอย่างครบครัน