พอองค์หญิงใหญ่หนิงหวาคิดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมา
เวลานี้ หากเหยาเยี่ยนอวี่สามารถรักษารอยแผลเป็นบนดวงหน้าของหันหมิงชั่น แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่น่าปิติยินดีอย่างยิ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ องค์หญิงใหญ่หนิงหวาคงจะเป็นคนเลือกเด็กหนุ่มที่มีฐานันดรศักดิ์สูงส่งทั่วทั้งเมืองอวิ๋นแล้วสิ
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาจึงปรึกษากับสะใภ้และบุตรีของตนว่าควรจะตอบแทนตระกูลเหยาและเหยาเยี่ยนอวี่เช่นไร จากนั้นองค์หญิงใหญ่ก็ได้ตัดสินใจให้เฟิงเซ่าอิ่งนำของกำนัลไปเข้าพบเหยาเฟิ่งเกอที่จวนติ้งโหว ทางด้านหันหมิงชั่นก็นำของกำนัลล้ำค่าอีกส่วนหนึ่งไปยังบ้านนามู่เย่ว์ที่อยู่นอกเมือง ทั้งยังได้เตรียมของกำนัลอีกจำนวนหนึ่ง โดยให้หันซังจี่ หลานชายของเจิ้นกั๋วกงนำไปให้ที่จวนข้าหลวงใหญ่เหยาแห่งเจียงหนาน
จวนที่เฟิงเซ่าอิ่งต้องไปนั้นใกล้ที่สุด นางนั่งรถม้าจากจวนเจิ้นกั๋วกงออกมาเพียงสองเค่อ[1]ก็ถึงจวนติ้งโหวแล้ว
นางยื่นป้ายยศ พร้อมบอกฐานันดรศักดิ์และเหตุผลในการมาเยือน ทำให้ผัวจื่อผู้ดูแลจวนติ้งโหวรีบเดินเข้ามาต้อนรับในทันที ผัวจื่อพาเฟิงเซ่าอิ่งไปยังศาลาบุปผาในสวนของลู่ฮูหยินที่อยู่ภายในเรือนจวนติ้งโหว
บังเอิญเวลานี้ลู่ฮูหยินไม่อยู่ที่เรือนพอดี นางพาซุนฮูหยินน้อยไปเสวนาด้านการค้าที่จวนองค์หญิงต้าจั่ง ผัวจื่อผู้ดูแลจวนพลันเข้าไปรายงานเหยาเฟิ่งเกอ เมื่อตอนที่เฟิงเซ่าอิ่งเดินเข้าไปในประตูฉุยฮวา เหยาเฟิ่งเกอจับมือของซานหูไว้และเดินออกมาต้อนรับอย่างยิ้มแย้ม
เฟิงเซ่าอิ่งเห็นเช่นนั้นจึงรีบสาวเท้าเดินเร็วขึ้น นางยิ้มแล้วจับมือของเหยาเฟิงเกอเอาไว้ พร้อมกล่าวขึ้น “เกรงใจถึงเพียงนี้ไปไยกัน”
ฝ่ายตรงข้ามเป็นถึงฮูหยินกั๋วกงซื่อจื่อ จากคุณงามความดีของหันซังเกอ วันข้างหน้าตอนที่สืบทอดวงศ์ตระกูลย่อมไม่ถูกลดตำแหน่งแน่นอน ในอนาคตเฟิงเซ่าอิ่งต้องเป็นฮูหยินท่านกั๋วกงเป็นแน่ หากจะกล่าวถึงฐานันดรศักดิ์นี้ ก็ย่อมสูงกว่าฮูหยินติ้งโหวหนึ่งขั้น เหยาเฟิ่งเกอจะไม่เกรงใจนางได้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้ ฮูหยินทั้งสองจึงจูงมือกันเดินเข้าประตูไปอย่างเกรงอกเกรงใจต่อกัน หลังจากที่นั่งลง น้ำชาหอมกรุ่นก็ถูกยกมาต้อนรับ
คนหนึ่งกล่าวคำขอบคุณไม่หยุด กล่าวถึงบาดแผลของสามีตนเองหายดีแล้ว และทั้งหมดล้วนเป็นเพราะน้องสาวยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ อีกทั้งองค์หญิงใหญ่หนิงหวายังกล่าวอีกว่าให้ตนเป็นตัวแทนในนามของคนทั้งจวนกั๋วกงขอบคุณฮูหยินน้อยและใต้เท้าเหยาทั้งครอบครัวอย่างซาบซึ้งในน้ำใจ ของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ไม่เพียงพอต่อบุญคุณครั้งนี้ ได้โปรดรับเอาไว้ เพื่อเป็นสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
ส่วนอีกคนก็กล่าวว่าท่านกั๋วกงและองค์หญิงใหญ่เกรงใจเกินไปแล้ว จวนติ้งโหวและจวนกั๋วกงมีสัมพันธ์ที่ดีกันมาโดยตลอด อีกทั้งองค์หญิงต้าจั่งและองค์หญิงใหญ่เป็นน้าหลานกัน การกล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ จะทำให้แลดูเหมือนเป็นคนนอก หากจะเอ่ยพูดถึงความสัมพันธ์ ทั้งสองตระกูลก็ถือว่าเป็นญาติกัน การช่วยเหลือซึ่งกันและกันถือเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว
เหยาเฟิ่งเกอคือคนเจียงหนาน แม้ว่านางจะมาอยู่ในเมืองอวิ๋นได้สามถึงสี่ปีแล้ว ทว่ายามที่เอ่ยนั้นจะยังคงมีสำเนียงที่อ่อนหวานของคนเจียงหนาน นางมีรูปโฉมงดงาม อีกทั้งยามที่เอ่ยวาจานั้นมีชั้นเชิงและลึกซึ้ง และยังกล่าวอีกว่าท่านซื่อจื่อเป็นเสาหลักของแคว้นรับผิดชอบหน้าที่อันใหญ่หลวง การที่เขาได้รับบาดเจ็บ พวกนางเองก็เป็นห่วงยิ่งนัก และพวกนางเองก็อยากจะไปเยี่ยมเยียนมาโดยตลอด แต่เกรงว่าทางจวนจะไม่สะดวก เช้าวันนี้ฮูหยินเพิ่งตำหนิว่านางเกียจคร้านและเสียมารยาท
ฮูหยินตระกูลชั้นสูงทั้งสองคนนั่งตรงกันข้ามกัน พวกนางพูดอ้อมค้อมเป็นวงกว้าง และเสวนากันตั้งแต่เรื่องสภาพอากาศจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างญาติมิตร แล้วยังเอ่ยถึงพลานามัยขององค์หญิงต้าจั่งตลอดจนถึงสารทุกข์สุขดิบของเหล่าคุณหนูคุณชาย ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองจากแรกเริ่มที่พูดคุยกันอย่างเกรงอกเกรงใจ ตอนนี้กลับกลายเป็นสนิทสนมขึ้นมา หลังจากเห็นว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันแล้ว เหยาเฟิ่งเกอจึงทอดถอนหายใจออกมา
ด้วยเหตุนี้ เฟิงเซ่าอิ่งจึงเอ่ยถาม “เหตุใดพี่สาวจึงไม่มีความสุขเช่นนี้” เมื่อครู่ทั้งสองเสวนากันถึงเรื่องอายุ เหยาเฟิ่งเกอมีอายุมากกว่าเฟิงเซ่าอิ่งกว่าครึ่งปี ด้วยเหตุนี้เฟิงเซ่าอิ่งจึงเรียกเหยาเฟิ่งเกอว่าพี่สาว
เหยาเฟิ่งเกอถอนหายใจอย่างแรง จากนั้นกล่าวขึ้น “ข้ากำลังกังวลใจกับน้องสาวของข้าที่คอยทำให้ข้ารู้สึกเป็นห่วงบ่อยๆ”
“คุณหนูรอง?” เฟิงเซ่าอิ่งฉงนสงสัยไม่เข้าใจ
“ใช่แล้ว” เหยาเฟิ่งเกอหัวเราะเยาะตัวเอง “อันที่จริงข้าไม่จำเป็นต้องพูด เจ้าเองก็คงจะเข้าใจดี นางเป็นเพียงสตรี ร่ำเรียนสิ่งอื่นใดก็ย่อมดีไปหมด ทว่ากลับไปร่ำเรียนทักษะด้านการแพทย์ เฮ้อ! นี่คงจะเป็นดวงชะตาของนางแล้วกระมัง”
“ร่ำเรียนทักษะด้านการแพทย์…” เฟิงเซ่าอิ่งใคร่จะกล่าวว่าการร่ำเรียนทักษะด้านการแพทย์มีสิ่งใดไม่ดี ทว่านางไม่กล้าพูดออกมา
หากนึกย้อนกลับไป พอกล่าวถึงต้นกำเนิดทักษะด้านการแพทย์ ก็มาจากหมอไสยศาสตร์ หากจะนึกย้อนกลับไปนานกว่าเดิม ต้นกำเนิดก็มาจากแม่มด ในตอนหลัง ผู้ร่ำเรียนในแต่ละแขนงวิชาก็ได้ศึกษาถึงความเร้นลับของชีวิต วิชาพวกนี้จึงค่อยๆ กลายเป็นทักษะด้านการแพทย์ขึ้นมา
ในราชวงศ์ต้าอวิ๋นที่ยิ่งใหญ่ มีนักปราชญ์มากมายที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการแพทย์ นักปราชญ์เหล่านั้นสามารถจ่ายยา ตรวจชีพจรและฝังเข็ม ทว่าพวกเขาเพียงแค่ศึกษาทักษะด้านการแพทย์เท่านั้น หากในเรือนมีคนล้มป่วยก็ยังคงเชิญหมอไปตรวจชีพจรและจ่ายยา เหตุเพราะในสายตาของนักปราชญ์เหล่านี้ ผู้เป็นหมอต้องพบเจอกับอาการเจ็บป่วยและบาดแผลอยู่ทุกวี่ทุกวัน ถือเป็นงานที่ต้องคอยดูแลรับใช้ผู้อื่น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ใช่งานที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรีอะไรอยู่แล้ว
อีกทั้ง นับตั้งแต่โบร่ำโบราณ น้อยนักที่จะมีสตรีซึ่งเข้าใจศาสตร์ด้านการแพทย์นี้ แม้ว่าในสำนักหมอหลวงจะมีนางกำนัลที่เข้าใจด้านการแพทย์ ทว่าพวกนางก็เป็นเพียงบ่าวรับใช้ และไม่อาจกล่าวสิ่งใดออกมาได้ ทว่าบุตรีของขุนนางเช่นเหยาเยี่ยนอวี่ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ มีเพียงคนเดียวในราชวงศ์ต้าอวิ๋นแห่งนี้
และในความเป็นจริง การที่สตรีมีความรู้และทักษะด้านการแพทย์ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร เพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่ได้นำไปช่วยรักษาผู้คน หากนางถูกเลี้ยงดูอยู่แต่ในเรือน ก็คงไม่มีผู้ใดล่วงรู้ เมื่อถึงอายุที่สมควรแก่การสมรสก็จะออกเรือนกับบุรุษตระกูลที่ดี นางก็ยังคงสามารถมีชีวิตที่สงบสุขกับสามีและบุตร สำหรับทักษะด้านการแพทย์นี้ก็เป็นเพียงศิลปะแขนงหนึ่งที่เหมือนดั่งฉิน หมากล้อม การเขียนอักษรและวาดภาพ เรียนรู้เอาไว้ก็ไม่ได้เสียหายอย่างไร
ทว่าไม่เหมือนกับเหยาเยี่ยนอวี่
นางมีทักษะทางการแพทย์ที่ไร้เทียมทาน อีกทั้งเป็นเพราะการบาดเจ็บของหันซังเกอ จึงทำให้ลูกหลานตระกูลชั้นสูงทั่วทั้งเมืองอวิ๋นล้วนได้เห็นตอนที่นางรักษาอาการบาดเจ็บของหันซังเกอ หลังจากนี้เกรงว่านางอยากจะมีชีวิตที่สงบสุขก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป
เมื่อเฟิงเซ่าอิ่งนึกถึงสิ่งเหล่านี้ ภายในใจของนางก็รู้สึกผิด หากไม่ใช่เพราะนางช่วยรักษาสามีของตน นางก็คงไม่ต้องมีปัญหาที่ยุ่งยากเช่นนี้
เหมือนก่อนหน้านี้ นางช่วยรักษาท่านย่าของตนอย่างเงียบๆ ท่านแม่และคนในจวนช่วยนางเก็บความลับนี้ไว้ คนในแคว้นต้าอวิ๋นล้วนไม่รู้เรื่องนี้ นางยังคงสามารถรอออกเรือนกับผู้อื่นอย่างสงบสุข
หากคนที่นางช่วยรักษาในคราวนี้ไม่ใช่สามีของตน แต่เป็นสตรีอย่างอวิ๋นยั่ง เช่นนี้ก็คงจะไม่กระทบต่อชื่อเสียงของนางมากเท่าใด หากเป็นเช่นนี้นางก็ยังคงออกเรือนได้อย่างราบรื่น
ทว่า…
อย่างไรก็ตาม คนที่นางช่วยรักษาในคราวนี้คือหันซังเกอ คือแม่ทัพหนุ่มแห่งแคว้นต้าอวิ๋น ทั้งยังเป็นถึงเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อผู้อยู่ในช่วงวัยที่เปี่ยมด้วยพลังและความแข็งแกร่ง
สตรีวัยแรกแย้ม ใช้กรรไกรตัดกางเกงของบุรุษ เผยให้เห็นหน้าแข้งของเขา ทั้งยังรักษาบาดแผลให้กับเขา…
เสียงถอนหายใจของเหยาเฟิ่งเกอ ทำให้เฟิงเซ่าอิ่งมีความคิดผุดขึ้นมามากมาย ภายในใจของนางยากที่จะสงบลง
หลังจากที่เฟิงเซ่าอิ่งออกมาจากจวนติ้งโหวนางก็มีเรื่องหนักอกหนักใจยิ่งนัก
นางขึ้นรถม้า เมื่อเห็นสีหน้าของเฟิงเซ่าอิ่งไม่สู้ดีนัก ชุนอวี่สาวใช้ข้างกายของนางจึงเอ่ยถามขึ้น “ฮูหยินไม่สบายตรงไหนหรือเจ้าคะ เหตุใดสีหน้าจึงซีดเซียวเพียงนี้”
เฟิงเซ่าอิ่งถอนหายใจเบาๆ นางไม่ได้สนใจความเป็นห่วงเป็นใยชุนอวี่ เพียงแต่ออกคำสั่งด้วยเสียงเรียบ “ประเดี๋ยวเลี้ยวตรงปากทางด้านหน้า ข้าจะไปจวนจวิ้นจู่”
ชุนอวี่ขานรับ จากนั้นบอกกับคนขับรถม้าด้านหน้า นางหยิบตะกร้าหวายออกมาจากหีบภายในรถม้า แล้วเปิดฝาออก ด้านในคือกาน้ำชาเบญจรงค์ลายทอง ชุนอวี่หยิบกาน้ำชาออกมา จากนั้นหยิบถ้วยน้ำชาออกมา แล้วรินน้ำชาประมาณครึ่งถ้วยพลางยื่นให้กับเฟิงเซ่าอิ่ง “ฮูหยินเจ้าคะ จิบชาโสมเสียคำหนึ่งเถอะเจ้าค่ะ”
เฟิงเซ่าอิ่งรับน้ำชามาจิบอย่างเงียบๆ ดวงหน้าของนางยังคงนิ่งเฉยและไม่เอ่ยคำพูดใดๆ ออกมา
ชุ่นอวี่และชิวลู่ไม่รู้ว่านายหญิงของตนกำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ พวกนางก็ไม่กล้าเอ่ยถามให้มากความ ด้วยเหตุนี้ทั้งนายและบ่าวจึงนั่งเงียบตลอดจนไปถึงหน้าประตูจวนหลิงซีจวิ้นจู่ เมื่อบ่าวเฝ้าประตูเห็นรถม้าของคุณหนูตนเอง พลันเปิดประตูด้านข้างและให้รถม้าเข้ามา
จากนั้นก็มีคนรีบเข้าไปรายงาน และมีคนออกมาต้อนรับด้วยความดีใจ “น้อมคำนับคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”
[1] เค่อ เป็นหน่วยบอกเวลาของจีน หนึ่งเค่อเท่ากับสิบห้านาที