“เว่ยจาง” หันซังเกอขานนามนี้อย่างไม่ลังเลใจ
“แม่ทัพติงหย่วน เว่ยจาง?” องค์หญิงหนิงหวาพูดขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ
หันซังเกอยิ้มบาง แล้วพยักหน้า
“บุรุษผู้นี้ พึ่งพิงได้จริงหรือ” องค์หญิงใหญ่แสดงความสงสัยออกมาอีกครั้ง
“ท่านแม่ หากไม่ใช่ว่าในใจของน้องสาวมีคนที่โปรดปรานแล้ว ลูกก็อยากจะให้เขากลายเป็นน้องเขยของลูกเช่นกัน” หันซังเกอมองดูสีหน้าขององค์หญิงใหญ่ที่กำลังแปรเปลี่ยนไป และมองสีหน้าที่ตกตะลึงของน้องสาว จึงกระตุกมุมปากแล้วยิ้มอย่างลุ่มลึกมากขึ้น “เรื่องนี้ลูกกับบิดาเคยปรึกษาหารือกันแล้ว เพียงแค่บิดาเองก็มีความเห็นเดียวกันกับลูก และหวังว่าน้องสาวจะได้ออกเรือนกับบุรุษที่นางรักขอรับ”
“พี่ชายใหญ่!” หันหมิงชั่นทั้งเขินอายและโกรธเคือง นางเหลือบตามองไปทางหันซังเกอเพียงครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปทำท่าทางออดอ้อนให้กับมารดาของตน “ท่านแม่ ท่านดูพี่ชายพูดเข้าสิ!”
องค์หญิงใหญ่หนิงหวายิ้มเล็กน้อย “เป็นอะไรไปเล่า แม่เองก็คิดเช่นเดียวกันกับบิดาของเจ้า และก็กับพี่ชายของเจ้า เจ้าอายุมากเยี่ยงนี้แล้ว พวกเราก็ไม่ได้เร่งเร้างานสมรสของเจ้า เพราะอยากจะให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่เจ้าปรารถนาไม่ใช่หรือไร”
“ท่านแม่!” ดวงหน้าของหันหมิงชั่นแดงระเรื่อขึ้นมาทันที จากนั้นจึงได้วางถ้วยน้ำชาในมือลง นางเหยียดกายลุกขึ้นแล้ววิ่งไปด้านหน้า
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาและบุตรชายส่งยิ้มให้กัน จากนั้นถอนหายใจ “นางเอายาขี้ผึ้งพวกนั้นกลับมาจากคุณหนูเหยา และบอกว่ามันสามารถทำให้แผลเป็นของนางจางลงได้ เฮ้อ…”
“เรื่องนี้ลูกรู้ดี เวลานี้พวกเรารู้จักคุณหนูเหยาแล้ว ท่านแม่ยังกังวลใจอะไรอีก น้องสาวก็บอกกับลูก คุณหนูเหยามีวิธีที่จะทำให้แผลเป็นบนใบหน้าของนางหายไปได้ แต่เป็นเพราะนางกลัวว่าจะต้องเจ็บตัว ทว่าลูกคิดว่ายาขี้ผึ้งของคุณหนูเหยาต้องได้ผลแน่นอน ท่านแม่ไม่ต้องกังวลใจ ตอนนี้เรื่องที่เร่งรีบที่สุด ก็คือจัดการและวางกำหนดการเรื่องของเว่ยจางเสียก่อนดีกว่า”
หลังจากที่องค์หญิงหนิงหวาได้ยินคำพูดของบุตรชาย จึงพยักหน้า “เจ้ากับบิดาเจ้าได้เห็นชอบคนผู้นั้นแล้ว แม่เองก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก เพียงแต่ว่าเหยาหย่วนจือเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก! อีกอย่าง ถ้าพวกเราไปยุ่งเกี่ยวกับเขา…” องค์หญิงหนิงหวายกยิ้ม ด้วยสีหน้าที่เจือด้วยความดูแคลน
หันซังเกออุทานขึ้นเล็กน้อย “ท่านแม่ พวกเราไม่ควรให้ความสำคัญกับเหยาหย่วนจือ ทว่าควรให้ความสำคัญกับคุณหนูรองเหยาต่างหาก!”
องค์หญิงหนิงหวาทอดพระเนตรไปยังหันซังเกออย่างประหลาดใจ จากนั้นก็ค่อยๆ เข้าใจในความหมายของบุตรชาย เว่ยจางเองก็คือคนของตนเอง และเหยาเยี่ยนอวี่ก็เป็นคนที่จวนเจิ้นกั๋วกงต้องการข้องเกี่ยวด้วย คำๆ นี้ฟังอย่างไรก็รู้สึกคาดคิดไม่ถึง ทว่าพอนึกคิดอย่างถี่ถ้วน เหยาเยี่ยนอวี่คือผู้ที่เก่งกาจในฝีมือการแพทย์อย่างไร้เทียมทาน จึงไม่ได้เป็นสิ่งที่เข้าใจยาก
ต่อมา หันซังเกอจึงพูดเสริมขึ้น “อีกทั้งลูกเองก็รู้ว่าเว่ยจางมีใจให้คุณหนูเหยา แม้กระทั่งวันนั้นที่คุณหนูเหยาได้ทำการรักษาบาดแผลของลูก มีดเล่มเล็กชุดนั้น เว่ยจางได้สั่งทำขึ้นโดยเฉพาะ และคิดไว้ว่าจะส่งมอบให้คุณหนูเหยาตั้งนานแล้ว ถึงแม้ตอนนี้พวกลูกยังไม่รู้ว่าคุณหนูเหยาคิดอย่างไร ทว่าหากนางสามารถสมรสกับเว่ยจาง เว่ยจางก็คงต้องมอบความจริงใจและทำดีกับนางอยู่แล้ว”
“นี่ถือว่าดี” องค์หญิงหนิงหวาถอนหายใจ “สำหรับสตรีคนหนึ่งแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตนี้ก็คือสามารถออกเรือนให้กับบุรุษที่จริงใจและรักใคร่ในตนเอง เหตุที่แม่อยากถามเรื่องนี้ให้ลึกลงไปก็แค่อยากจะลองมาคิดคำนวณดูว่าเรื่องนี้เหมาะสมหรือไม่ แน่นอนว่าทุกฝ่ายต่างก็ได้รับในสิ่งที่ตนเองต้องการ จึงจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เรื่องนี้แม่จะเป็นฝ่ายไปจัดการเอง เจ้าวางใจเถอะ”
“สิ่งที่ท่านแม่รับปาก ลูกก็ต้องไว้วางใจอยู่แล้ว”
หลังจากที่หันหมิงชั่นออกจากตำหนักขององค์หญิงใหญ่ นางยังไม่ได้กลับเรือนของตนเอง แต่กลับไปเรือนบุปผาของจวนเจิ้นกั๋วกง
เฟิงเซ่าเชินเป็นคุณชายที่สุภาพเรียบร้อยและสง่างาม หันซังเย่ว์กลับเป็นบุรุษที่ฝึกฝนวิชาการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก แน่นอนว่าต้องไม่ชื่นชอบใน ‘จือฮูเจ่อเหยี่ย[1]’ อะไรพวกนี้อยู่แล้ว ดังนั้นทั้งสองจึงไม่พูดไม่จาแล้วแยกย้ายกัน เฟิงเซ่าเชินไปหาพี่สาวของตนเอง เพื่อพูดคุยเสวนากัน หันซังเย่ว์ทำได้เพียงสวมใส่กางเกงผ้าไหมตัวบางแล้วฝึกมวยอยู่ในเรือนบุปผา
ตอนที่หันหมิงชั่นเข้าไปก็เห็นหันซังเย่ว์เพิ่งจะฝึกหมัดมวยจนเสร็จไปหนึ่งรอบ หลังจากดึงหมัดและเท้าที่มีแรงอันแข็งแกร่ง เขาก็หายใจลากยาวอย่างเหน็ดเหนื่อย จากนั้นตอนที่เขากำลังจะหันหลังไปเอาผ้าซับเหงื่อก็เห็นน้องสาวของตนเอง เขาจึงยิ้มขึ้นทันที “ไม่ไปเล่นหมากล้อมกับท่านแม่แล้วหรือ เหตุใดตอนที่พี่ใหญ่เข้าไปเจ้าก็วิ่งออกมาด้วยล่ะ”
“พี่ชายรอง” หันหมิงชั่นเอาผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือของสาวใช้ไปซับหยาดเหยื่อตรงหน้าผากให้กับหันซังเย่ว์ แล้วฉีกยิ้มอย่างสดใสออกมา
“อืม” หันซังเย่ว์รักใคร่ในน้องสาวคนนี้มาโดยตลอด และเหตุเพราะตอนเด็กๆ นางได้รับบาดเจ็บตรงใบหน้าแล้วทิ้งรอยแผลไว้ ทำให้ยิ่งรู้สึกรักใคร่นางกว่าเดิม แม้กระทั่งวาจาที่รุนแรง เขายังไม่เคยพูดกับนางแม้แต่ครั้งเดียว
หันหมิงชั่นหันไปมองหน้าสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ เพียงครู่หนึ่ง สาวใช้มีไหวพริบจึงค้อมตัวลงแล้วถอยออกจากเรือนไป หันหมิงชั่นจึงขยับเข้าไปใกล้ข้างหูหันซังเย่ว์ และเอ่ยพูดด้วยเสียงค่อย “เมื่อครู่พี่ใหญ่ได้พูดคุยกับท่านแม่ บอกว่าอยากจะให้ท่านแม่เป็นแม่สื่อให้แม่ทัพติงหย่วนกับคุณหนูเหยา”
ใบหน้าที่มีรอยยิ้มของหันซังเย่ว์ชะงักไปทันที แล้วเขาก็ทำสีหน้าที่เบิกบานขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็พูดว่า “ก็ดี เว่ยจางเป็นบุรุษที่น่าเชื่อถือและน่าศรัทธา ถ้าหากได้สมรสกัน เขาต้องปฏิบัติตัวดีกับคุณหนูเหยาแน่นอน”
หันหมิงชั่นจับจ้องใบหน้าของหันซังเย่ว์ไว้ ดูจนจะทนดูไม่ไหว จากนั้นนางก็นิ่งเงียบไปสักพัก แล้วค่อยถอนหายใจพลางพูดขึ้น “พี่ชายรอง ข้ารู้สึกว่าหากพี่ไปคุยความในใจของพี่ให้ท่านแม่ฟัง ท่านก็คงจะพิจารณาความคิดของพี่ชายก่อนแน่นอน”
หันซังเย่ว์ยิ้ม แล้วเอาผ้าเช็ดหน้าในมือของหันหมิงชั่นที่กำลังเช็ดหยาดเหงื่อตรงซอกคอของตนไป จากนั้นก็กล่าวขึ้น “ทุกอย่างเกี่ยวกับพี่ก็ให้ท่านแม่เป็นคนจัดการเถอะ”
“พี่ชายรอง?” หันหมิงชั่นถูกรอยยิ้มนั้นของเขาทำให้รู้สึกเจ็บปวดในใจ หากปล่อยคนที่เขามีใจให้คนอื่น ก็คงจะไม่สามารถหวนคืนได้
“เมื่อครู่พี่ได้ยินพวกสาวใช้บอกว่าดอกเหมยในสวนด้านหลังผลิบานแล้ว ชั่นเอ๋อร์จะให้พี่รองพาเจ้าไปเด็ดดอกไม้มาใส่ในแจกันหรือไม่”
หันหมิงชั่นยิ้มอย่างทำอะไรไม่ได้ จากนั้นจึงได้ละทิ้งเรื่องที่อยู่ภายในจิตใจ แล้วหันไปขานเรียกสาวใช้ “มาปรนนิบัติคุณชายรองเปลี่ยนเสื้อผ้า”
จากนั้นจึงมีสาวใช้ที่อยู่ตรงข้างชั้นวางกระถางดอกไม้รีบถือเสื้อคลุมหนัง รองเท้าและอื่นๆ ขึ้นหน้ามา แล้วเริ่มสวมใส่เสื้อผ้าให้คุณชายรองหันจนเสร็จ จากนั้นทั้งสองพี่น้องก็ได้ออกจากเรือนบุปผาที่อบอุ่น แล้วมุ่งหน้าไปยังสวนดอกไม้ด้านหลังเพื่อไปเด็ดดอกเหมย
ทว่าทางฝั่งเฟิงเซ่าเชินที่ออกจากจวนกั๋วกงแล้วหลังจากขึ้นรถม้าและเดินทางกลับบ้านไปครึ่งทาง จู่ๆ เขาก็ขานเรียกคนขับรถม้า “ยังไม่กลับจวน”
ตรงหน้าแอกรถม้ามีเสี่ยวซือผู้หนึ่งที่มีนามว่าหยิ่นเห้อนั่งอยู่ ซึ่งเขาคือบ่าวคนสนิทที่สุดของเฟิ่งเซ่าเชิน หยิ่นเห้อได้ยินคำสั่งของนายตนเอง จึงรีบสั่งให้คนขับรถม้าหยุดรถ แล้วหันไปถามคนในรถม้า “นายน้อยขอรับ ท่านอยากจะไปแห่งใดขอรับ”
เฟิงเซ่าเชินจึงเลิกม่านรถม้าพลางสั่งการ “พวกเราออกนอกเมืองกันเถอะ”
หยิ่นเห้อจึงรีบห้ามปรามขึ้น “เวลานี้ก็ไม่เช้าแล้ว หากนายน้อยยังไม่กลับจวน ฮูหยินผู้เฒ่าคงจะสั่งให้คนมาตามหา หากนายน้อยมีกิจเร่งด่วนอะไร ให้บ่าวไปดีหรือไม่ขอรับ”
เฟิงเซ่าเชินครุ่นคิดสักพัก แล้วพูดขึ้น “ไปเวลานี้ไม่เหมาะสมจริงๆ”
หยิ่นเห้อไม่รู้ว่านายของตนกำลังหมายถึงเรื่องใดที่ไม่เหมาะสม จึงไม่กล้าเอ่ยพูดอะไรขึ้น
“หยิ่นเห้อ เจ้าไปแทนข้าหน่อยเถิด” เฟิงเซ่าเชินจึงเอ่ยพูดไป ในขณะที่มือได้แกะหยกแขวนหนึ่งอันออกมา “ไปบ้านนามู่เย่ว์ที่อยู่ชานเมือง พบคุณหนูเหยา จากนั้นก็เอาสิ่งนี้ให้นาง”
“เอ๊ะ!” หยิ่นเห้อรู้สึกสะดุ้งตกใจ และไม่กล้ายื่นมือไปรับหยกแขวนนั่น จากนั้นถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “นายน้อยขอรับ ท่านกำลังคิดจะทำอะไร” นี่เป็นการลอบให้ของและลอบรับของไว้อย่างไม่เปิดเผย หากเรื่องนี้ถูกคนป่าวประกาศออกไป ไม่เพียงแต่ทำให้ชื่อเสียงคุณหนูเหยาต้องป่นปี้ และมันจะยังเป็นเรื่องไม่ดีกับจวนอัครเสนาบดีอีกด้วย
“เจ้าคนไม่ได้เรื่อง” เฟิ่งเซ่าเชินจึงก่นด่าขึ้น จากนั้นก็ยื่นมือไปจับมือของหยิ่นเห้อ แล้วยัดหยกแขวนในมือเขา “เจ้าแค่ไปแทนข้า และส่งสารให้คุณหนูเหยาแทนข้า”
“ส่ง…สาร?” หยิ่นเห้อแอบโอดครวญ สั่งให้เขาทำอะไรไม่ทำ กลับสั่งให้เขาทำเรื่องเช่นนี้ นายน้อยของเขานั้นหากอยากจะส่งสิ่งของให้สตรีคนอื่นใดก็ไม่เป็นไร เขาว่ากันว่า ‘นงรามงามตรู สมคู่สุชน’ อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอะไรเลย ต่อให้เรื่องนี้จะแพร่งพรายออกไป ด้วยอำนาจที่จวนอัครเสนาบดีมี สามารถส่งเกี้ยวไปสู่ขอสตรีผู้นั้นเข้าจวนมาเป็นอนุภรรยาได้โดยตรง ทว่าเวลานี้คุณหนูเหยาเลื่องชื่อมากเช่นนี้ หากเรื่องนี้ถึงหูฮูหยินผู้เฒ่าและใต้เท้ากับฮูหยิน ความซวยก็คงไม่พ้นตน
[1] จือฮูเจ่อเหยี่ย เป็นหนังสือแบบเรียนไวยากรณ์ภาษาจีนโบราณ