เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกตะลึงเล็กน้อยอยู่พักหนึ่ง แต่นางสามารถทำได้เพียงอดทนแล้วพูดด้วยเสียงต่ำ “แต่ข้าไม่เคยจับสภาวะของชีพจรแบบนี้มาก่อน จึงไม่รู้ความแตกต่างระหว่างสภาพชีพจรของทารกในครรภ์เพศชายและเพศหญิงว่าเป็นอย่างไร”
เหยาเฟิ่งเกอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ทว่ากลับยิ้มพูดขึ้น “เช่นนั้นเจ้าก็ลองจับชีพจรให้ข้าหน่อยเถอะ ดูว่ามีอาการที่ผิดปกติหรือไม่ ข้าเชื่อมั่นในฝีมือการแพทย์ของเจ้ามากที่สุด เหล่าหมอหลวงที่อยู่ในสำนักหมอหลวงไม่มีใครที่ข้าสามารถไว้วางใจได้เลย”
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงทำได้เพียงยื่นมือไปจับชีพจรของเหยาเฟิ่งเกอ
เหยาเฟิ่งเกอบำรุงรักษาร่างกายได้เป็นอย่างดี ชีพจรก็เต้นอย่างคงที่ แทบจะไม่มีอาการผิดปกติใดๆ เลย สุดท้ายเหยาเยี่ยนอวี่ก็ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “ร่างกายของพี่สาวแข็งแรงดี แค่ต้องบำรุงร่างกายเหมือนอย่างที่ผ่านมาก็พอแล้ว บุตรในครรภ์แข็งแรงดี เพียงแต่ว่าข้าไม่ทราบจริงๆ ว่าเป็นเพศชายหรือเพศหญิง ข้าได้ยินมาว่ามีผู้เชี่ยวชาญทางนรีเวชหลายคนในสำนักหมอหลวง หากพี่สาวอยากรู้ ก็คงต้องหาผู้เชี่ยวชาญในสำนักหมอหลวงมาตรวจอาการแล้วเจ้าค่ะ”
“ไหนๆ เจ้าก็กล่าวเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว” ตอนนี้สิ่งที่เหยาเฟิ่งเกอกังวลมากที่สุดก็คือทารกที่อยู่ในครรภ์ของตนนั้นแข็งแรงดีหรือไม่ และร่างกายของตนเองดีพอที่จะตั้งครรภ์บุตรคนนี้ต่อหรือไม่ สำหรับเรื่องที่บุตรของนางจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงนั้นเป็นเรื่องที่รองลงมา
อย่างไรก็ดี หากนางสามารถมีลูกสาวได้ก็ย่อมมีลูกชายได้เช่นกัน การที่มีลูกสาวก่อนก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีอะไร สถานะของตระกูลเหยาก็มีอยู่ที่นี่แล้ว อีกทั้งตัวนางเองก็ไม่ใช่ฮูหยินของบุตรชายคนโต ตำแหน่งของหลานชายคนโตก็ถูกครอบครองมาเนิ่นนานแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้
สองพี่น้องพูดคุยกันไปสักพัก เหยาเฟิ่งเกอก็เริ่มรู้สึกเมื่อยและเป็นเหน็บชาบริเวณขา เหตุเพราะนั่งนานเกินไป ด้วยเหตุนี้นางจึงยิ้มแล้วกล่าวขึ้น “ทุกคนต่างก็ลือกันว่าสวนดอกเหมยแห่งจวนองค์หญิงใหญ่นั้นงดงามยิ่ง ข้ายังไม่มีโอกาสได้ไปชื่นชม เวลานี้พอนั่งอยู่เช่นนี้ก็รู้สึกเบื่อหน่าย ฉะนั้นก็ออกไปเดินเล่นข้างนอกเถอะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ทำได้เพียงพยุงนางให้ลุกขึ้น โดยมีหันหมิงหลังและหันหมิงเจวี๋ยออกจากเรือนอั้นเซียงไปพร้อมกัน
หันหมิงหลังเป็นแม่นางที่อ่อนโยนและโอบอ้อมอารี ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา จึงเดินตามหลังกลุ่มคนไปอย่างช้าๆ ทว่าหันหมิงเจวี๋ยกลับเป็นแม่นางที่ร่าเริงแจ่มใส ตลอดทั้งทางก็พูดคุยเล่นกับเหยาเยี่ยนอวี่อย่างสนุกสนาน และรวมไปถึงเหยาเฟิ่งเกอที่อยากจะผูกมิตรกับตระกูลหัน แน่นอนว่าต้องแสดงท่าทีที่ญาติดีกับพวกนาง จึงจะเป็นการสานความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกนาง พวกนางทั้งหลายจึงได้เดินชื่นชมสวนดอกเหมยไปด้วยและพูดคุยเล่นกันอย่างครึกครื้น
พอเดินเยี่ยมชมกันไปสักพัก สองพี่น้องเหยาเฟิ่งเกอ และสองพี่น้องหันหมิงหลัง ก็ได้เจอกับองค์หญิงใหญ่หนิงหวาและอวิ๋นเหยาหลานสาวท่ามกลางสวนดอกเหมย องค์หญิงใหญ่หนิงหวาจึงแย้มยิ้มพลางตรัสขึ้น “เหตุใดจึงไม่เห็นชั่นเอ๋อร์และคุณหนูสามซูล่ะ”
หันหมิงหลังจึงรีบทูลกลับ “พี่หญิงรองกับคุณหนูสามซูไปเยี่ยมชมดอกเหมยขาวกลีบเลี้ยงเขียวที่เรือนบุษบาเพคะ”
“โตจนปูนนี้แล้วยังจะซุกซนเช่นนี้อีก!” องค์หญิงใหญ่หนิงหวาแย้มยิ้มแล้วส่ายหน้า “ปกติข้าตามใจนางมากเกินไป นางกลับเสียมารยาททิ้งแขกเหรื่อแล้วไปเที่ยวเล่นของนางตามลำพังเยี่ยงนี้”
เหยาเฟิ่งเกอรีบยิ้มแล้วทูลขึ้น “เมื่อครู่คุณหนูรองชวนพวกหม่อมฉันอยู่เพคะ ทว่าหม่อมฉันเกียจคร้านที่จะขยับตัว และมัวแต่พูดคุยกับน้องสาวของหม่อมฉันจนเพลินไปหน่อยเลยไม่ได้ตามไปเพคะ ไม่ใช่เพราะว่าคุณหนูรองไม่ได้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดีหรอกเพคะ องค์หญิงใหญ่อย่าได้ตำหนิคุณหนูรองเลยเพคะ”
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาจึงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นก็ช่างเถิด ตอนนี้ดอกเหมยกำลังผลิบานงดงาม ข้าสั่งให้คนตัดมาแล้วไปปักใส่ในแจกัน พวกเจ้ามาเยือนที่จวนข้า ก็คงไม่ได้สิ่งของล้ำค่าอะไรกลับไป มีเพียงกิ่งดอกเหมยที่สามารถให้พวกเจ้านำติดไม้ติดมือกลับจวนไป”
เหยาเฟิ่งเกอจึงเห็นสาวใช้จำนวนหกคนที่อยู่ด้านหลังต่างก็อุ้มแจกันดอกไม้ที่งดงาม ข้างในแจกันมีกิ่งดอกเหมยสีเหลือง แดงและสีขาวปะปนกันไป สาวใช้พวกนี้กำลังอยู่ในวัยแรกแย้ม รูปลักษณ์หน้าตาก็งดงามน่ารักชวนหลงใหลยิ่งนัก ยิ่งรวมเข้ากับดอกเหมยที่ถือไว้ใกล้ตัว ทำให้พวกนางดูสดใส สูงส่ง และดูหอมหวนยิ่งนัก ดังนั้นพวกเหยาเฟิ่งเกอจึงรีบน้อมทำความเคารพเพื่อแสดงการขอบคุณ
“เสด็จแม่เพคะ” เฟิงเซ่าอิ่งรีบมาจากด้านข้างอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พยักหน้าให้กับเหยาเฟิ่งเกอด้วยรอยยิ้มแล้วเดินไปอยู่หน้าพระพักตร์องค์หญิงใหญ่ พลางทูลขึ้น “งานเลี้ยงได้จัดเตรียมเสร็จแล้ว เชิญเสด็จแม่รับสั่งได้เลยว่าให้เริ่มงานเลี้ยงสังสรรค์ทันที หรือจะให้คอยก่อนเพคะ”
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาจึงเอ่ยถาม “ทางฝั่งศาลาเซียงเสวี่ยได้จัดเตรียมเสร็จหรือยัง”
เฟิงเซ่าอิ่งทูลกลับ “เพคะ ได้จัดเตรียมสำรับอาหารที่เหมือนกันเสร็จเรียบร้อยแล้วเพคะ ทางฝั่งท่านซื่อจื่อก็กำลังรอฟังรับสั่งจากเสด็จแม่อยู่เพคะ”
องค์หญิงใหญ่จึงตรัสด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็เริ่มงานเถอะ สั่งคนไปตามชั่นเอ๋อร์และเหิงเอ๋อร์ที่เรือนบุษบาหน่อยเถอะ บอกพวกนางสองคน ถ้ายังไม่มาอีก จะมีแต่ของเหลือไว้รอพวกนาง”
เฟิงเซ่าอิ่งสั่งการสาวใช้นามชิวลู่ด้วยสีหน้าที่ประดับรอยยิ้ม “รีบไปเชิญคุณหนูรองและคุณหนูสามซูจากเรือนบุษบามาเร็ว บอกว่าเริ่มงานเลี้ยงสังสรรค์แล้ว”
ชิวลู่จึงขานรับแล้วรีบออกจากที่นั่น
องค์หญิงหนิงหวาทรงตรัสกับเหยาเฟิ่งเกอและเหยาเยี่ยนอวี่ “พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
เหยาเฟิ่งเกอจึงโค้งตัวแล้วทูลกลับ “องค์หญิงใหญ่เชิญเพคะ ฮูหยินท่านซื่อจื่อเชิญเจ้าค่ะ”
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาเดินไปข้างหน้าก่อน เฟิงเซ่าอิ่งพยุงพระองค์อยู่ข้างๆ ส่วนเหยาเฟิ่งเกอก็ตามติดอยู่ข้างหลัง
เหยาเยี่ยนอวี่เพิ่งจะเดินตามพี่สาวไป ก็ถูกอวิ๋นเหยาเอ่ยรั้งไว้ “เจ้า รอก่อน”
“หืม?” เหยาเยี่ยนอวี่หยุดฝีเท้าลง แล้วหันไปมองอวิ๋นเหยา “จวิ้นจู่มีสิ่งใดจะรับสั่งหรือ”
อวิ๋นเหยาเดินไปด้านหน้าสองก้าว จากนั้นก็หันมามองเหยาเยี่ยนอวี่ เพื่อสื่อให้นางเดินตามไป
หันหมิงหลังยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วพูดขึ้น “คุณหนูเหยา พวกเราเข้าไปก่อนนะ”
หันหมิงเจวี๋ยแอบเหลือบมองอวิ๋นเหยา แล้วมองเหยาเยี่ยนอวี่อย่างเป็นห่วงเป็นใย เหยาเยี่ยนอวี่ส่งสายตาปลอบโยนให้นาง แล้วยิ้มอ่อนๆ พลางเอ่ยขึ้น “ทั้งสองท่านเชิญก่อนเถอะ ข้าจะตามไปทีหลัง” กล่าวจบนางจึงหันหลังเดินตามอวิ๋นเหยาไป
หันหมิงเจวี๋ยยังอยากจะกล่าวอะไรออกมา กลับถูกพี่สาวของนางหันหมิงหลังดึงรั้งไว้ แล้วเดินจากไป
เหยาเยี่ยนอวี่เดินไปตรงหน้าอวิ๋นเหยา แล้วคำนับด้วยความเคารพ จากนั้นก็เอ่ยอย่างใจเย็น “เมื่อครู่เยี่ยนอวี่เองที่ทำไม่ถูกต้อง ข้าพูดจาไม่ดีกับจวิ้นจู่ ขอจวิ้นจู่อย่าได้ถือสา”
อวิ๋นเหยาพ่นเสียงฮึขึ้นจมูก ไม่ได้เอ่ยต่อคำพูดเหยาเยี่ยนอวี่ ทว่ากลับเอ่ยถามโดยตรง “เจ้ามีใจให้แม่ทัพติ้งหย่วนหรือไร”
เหยาเยี่ยนอวี่นิ่งงันไปชั่วขณะ แล้วเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใดจวิ้นจู่ถึงกล่าวเช่นนี้”
อวิ๋นเหยาแสยะยิ้มเยาะอย่างเหยียดหยาม “อย่าเสแสร้งอวดดีทำเป็นไม่รู้สิ ถ้าเจ้าชอบเจ้าก็บอกว่าชอบ ถ้าเจ้าไม่กล้าแม้แต่จะยอมรับมัน เจ้าจะคู่ควรกับเขาได้อย่างไร”
เหยาเยี่ยนอวี่เอ่ยถามอย่างขบขัน “ข้าจะคู่ควรกับเขาหรือไม่ มันเกี่ยวข้องอะไรกับจวิ้นจู่หรือ”
“จะไม่เกี่ยวข้องได้อย่างไร!” วันนี้อวิ๋นเหยาดูเหมือนจะไม่ค่อยมีความอดทน นางจึงโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที “ข้าจะบอกเจ้า เว่ยจางเป็นคนที่ข้าหมายปอง ทางที่ดีที่สุด เจ้าควรอยู่ห่างจากเขาเอาไว้!”
เหยาเยี่ยนอวี่นิ่งงันไปทันที จากนั้นก็ยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นได้โปรดวางใจเถอะจวิ้นจู่”
“ให้ข้าวางใจ?” อวิ๋นเหยาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน
“ข้าไม่ได้มีใจให้ใคร และยิ่งไม่คิดจะแย่งชิงบุรุษกับจวิ้นจู่ แม่ทัพติ้งหย่วนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้า ดังนั้นจวิ้นจู่ได้โปรดวางใจเถอะ” เหยาเยี่ยนอวี่กล่าวจบ ก็น้อมคำนับอวิ๋นเหยาแล้วหันหลังเดินจากไป
สำหรับเหยาเยี่ยนอวี่ การถูกกล่าวหาในลักษณะเช่นนี้ถือเป็นความอัปยศอดสูอย่างยิ่ง นางถามตนเองว่าได้ปฏิบัติตามกฎระเบียบมาโดยตลอด และไม่เคยล้ำเส้นเกินครึ่งก้าว ตอนนี้ต่อให้นางระมัดระวังตัวเองมาโดยตลอด สุดท้ายเพื่อแลกกับการดูถูกและเหยียดหยามเช่นนี้? ช่างเป็นเรื่องตลกเสียจริง!
อวิ๋นเหยายืนอยู่ใต้ต้นดอกเหมยที่กำลังบานและมองไปที่เหยาเยี่ยนอวี่ที่เดินจากไป นางฮึดฮัดอย่างขุ่นเคืองใจ จึงยกมือขึ้นไปหักกิ่งดอกเหมยแล้วโยนลงบนพื้น จากนั้นก็ยกเท้าขึ้นแล้วขยี้มันอย่างแค้นเคือง จนกลีบดอกเหมยที่ประดุจหยกงดงามและหอมหวนจมลงไปในดินโคลน
“จวิ้นจู่?” เฟิงเซ่าอิ่งขานเรียกด้วยเสียงเบา จนทำให้อวิ๋นเหยาที่กำลังเคียดแค้นใจได้สติกลับมา “เหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่นี่ รีบเข้าไปเถอะ”
อวิ๋นเหยามองเฟิงเซ่าอิ่งอย่างเย็นชา แล้วทำเสียงฮึขึ้นจมูกไม่พอใจ ทว่าไม่ได้เอ่ยพูดสิ่งใดออกมา
“เรื่องใดกันที่ทำให้จวิ้นจู่ไม่พึงพอใจ” เฟิงเซ่าอิ่งถามขึ้นด้วยความหวังดี
อวิ๋นเหยายังคงทำสีหน้าเย็นชา และไม่เอ่ยวาจาใดๆ